บทที่ 9 กอริลลาแอฟริกา
ณ ห้องทำงานท่านประธานซูซื่อ กรุ๊ป
“ประธานซู คุณทำแบบนี้ ไม่เสี่ยงเกินไปเหรอคะ?”
เลขานุการเจิ้งลี่มองซูเสวี่ยฉิงที่ตรวจอ่านข้อมูลบริษัทอย่างตั้งใจอยู่ตลอด สุดท้ายก็อดถามขึ้นอย่างเป็นห่วงไม่ได้
“ทำไมเหรอ?”
ซูเสวี่ยฉิงถามขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ โดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นด้วยซ้ำ
เจิ้งลี่พูดขึ้นอย่างลังเล “คุณสุ่มจดทะเบียนสมรสกับผู้ชายคนหนึ่ง นี่ถ้าลือออกไป จะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์คุณมากเลย เกรงว่า……”
ซูเสวี่ยฉิงแววตาทอประกายวิบวับ “ผู้ชายคนนี้ฉันไม่ได้สุ่มมา เขาเคยช่วยชีวิตฉันไว้ครั้งหนึ่งเมื่อห้าปีก่อน อีกอย่างฉันกับเขาแค่แต่งงานกันปลอมๆ ……”
“แต่ตอนนี้ซูซื่อ กรุ๊ปต้องการเงินลงทุนกับความร่วมมือจากตระกูลเย่มากนะคะ พรุ่งนี้เป็นงานหมั้นคุณกับคุณชายเย่ รับรู้กันทั้งเมือง ถ้าตระกูลเย่รู้เรื่องนี้ จะเกิดผลที่ตามมายังไง?”
ในน้ำเสียงเจิ้งลี่ ดูกังวลเล็กน้อย
“ฉันไม่สนมากขนาดนั้นหรอก ต่อให้โลกใบนี้ไม่มีผู้ชายแล้ว ฉันก็ไม่มีทางแต่งกับเย่เฟิงหลิ่ว!”
ในที่สุดซูเสวี่ยฉิงก็วางเอกสารในมือลง เงยหน้าขึ้นมองไปยังเจิ้งลี่ ด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว
“พี่ลี่ ในเวลานี้ พี่คงไม่ได้เลือกยืนฝั่งตรงข้ามฉันหรอกนะ?”
เจิ้งลี่รีบพูดขึ้น “ไม่มีทาง ไม่ว่าจะตอนไหน ฉันก็ยืนข้างประธานซูเสมอ”
“งั้นก็ดี ผ่านด่านวันพรุ่งนี้ไปก่อน เรื่องวันหลังค่อยว่ากันทีหลัง”
ซูเสวี่ยฉิงเผยยิ้มเล็กน้อย แล้วคว้าเอกสารขึ้นมาอีกครั้ง
แววตาเจิ้งลี่ฉายแวววิตกกังวลเล็กน้อย ปากขยับ คำพูดมาถึงริมฝีปากแล้ว แต่สุดท้ายก็กลืนลงไป
เธอรู้ดี ซูเสวี่ยฉิงกระทำสิ่งต่างๆ รวดเร็วและเฉียบขาด คำไหนคำนั้นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
และด้วยเหตุนี้เอง เธอถึงสามารถนั่งบัลลังก์ท่านประธานซูซื่อ กรุ๊ปได้
“หวังว่าอุปสรรคในวันพรุ่งนี้ จะไม่สาหัสเกินไปนัก……”
เธอได้แต่ภาวนาเงียบๆ อยู่ในใจ
พิหยางหยางเดินเข้าไปในล็อบบี้บริษัทอีกครั้ง พนักงานทุกคนล้วนมองเขาด้วยสีหน้าแปลกประหลาด
“สวัสดีค่ะคุณผู้ชาย”
ผู้จัดการล็อบบี้เติ้งจิ้งเดินมา กล่าวทักอย่างเคารพ
คนอื่นเห็นดังนั้น ก็ทักทายอย่างเคารพนบนอบตามเช่นกัน
ไม่ว่าอย่างไร สถานะผู้ชายคนนี้ก็ไม่ธรรมดา สนิทสนมกับท่านประธานของพวกเขา การประจบเอาใจไม่มีทางเกิดผลร้าย
พิหยางหยางพยักหน้าอย่างมีมารยาท ถือเป็นการตอบรับ
มาถึงห้องทำงานซูเสวี่ยฉิง ยังไม่ได้เอ่ยปาก ซูเสวี่ยฉิงก็ยิ้มแก้มปริทันที ลุกขึ้นไปทักทาย
“กลับมาแล้วเหรอ พอดีเลย ไปกินข้าวกลางวันกันเถอะ”
ในเวลานี้ เป็นเวลาอาหารกลางวันพอดี
“ประธานซู ฉันจะไปเอาอาหารมาเสิร์ฟให้พวกคุณ”
เจิ้งลี่เดินมาพูด
“ไม่ต้อง เราจะไปกินที่โรงอาหารพนักงาน”
“ฮะ?”
เจิ้งลี่ตะลึง จากนั้นก็เข้าใจทันที “โอเค ฉันจะไปเตรียมการเดี๋ยวนี้”
ในฐานะท่านประธานซูซื่อ กรุ๊ป ในยามปกติจะไม่ไปที่โรงอาหารพนักงานง่ายๆ
คราวนี้เพื่อประสิทธิภาพของโชว์ ต้องไปกินข้าวกลางวันที่นั่นด้วยตัวเอง แน่นอนว่าเจิ้งลี่เข้าใจว่าควรทำเช่นไร
“ไม่ต้องหรอก ฉันกินอะไรนิดหน่อยข้างนอกก็ได้”
พิหยางหยางไม่ยอมเป็นหุ่นเชิด เอ่ยปฏิเสธ
ซูเสวี่ยฉิงคว้าแขนเขาอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วพูดข้างหูเขา “คุณอย่าลืม เราเซ็นข้อตกลงกันแล้ว!”
พิหยางหยางกำลังจะแก้ต่าง ตรงเอวพลันรู้สึกเจ็บเหมือนโดนหยิก อดไม่ได้ที่จะร้อง “โอ๊ย”
“โอเค โอเค ฉันจะไป……”
“ถูกต้องแล้ว……”
มือซูเสวี่ยฉิงที่หยิกเนื้ออ่อนตรงเอวคลายออก แล้วยิ้มกว้างพูดขึ้น
“ยัยนี่ หยิกแรงซะขนาดนี้……”
พิหยางหยางขมวดคิ้ว เมื่อสักครู่นั้น ความเจ็บมาแบบไม่ทันป้องกันตัวเลย
เมื่อร่างทั้งคู่ปรากฏหน้าประตูทางเข้าโรงอาหาร พนักงานทุกคนก็ยืนตรง กล่าว “สวัสดีครับ/ค่ะประธานซู” ต่อเนื่องกันเป็นระลอก
“ใกล้ชิดหน่อย!”
ทันใดนั้นพิหยางหยางก็รู้สึกว่าถูกหยิกตรงเอวอีกครั้ง จึงรีบเอื้อมมือไปโอบเอวเธอ
แต่เขารู้สึกได้ เมื่อมือเขาสัมผัสเอวเธอ เธอสั่นไหวนิดหน่อยอย่างเห็นได้ชัด
อย่างไรแล้วซูเสวี่ยฉิงโตจนป่านนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกชายแปลกหน้าคนหนึ่งโอบอย่างใกล้ชิดขนาดนี้
บรรดาพนักงานมองจนตะลึงงันกันหมด
เนี่ยนะท่านประธานจอมเผด็จการหยิ่งผยองในความคิดพวกเขา?
ดูเหมือนว่า ความรักจะสามารถเปลี่ยนแปลงคนคนหนึ่งได้จริงๆ
อาหารมื้อนี้ พิหยางหยางกินเหมือนนั่งอยู่บนสักหลาดเข็ม
เพราะเขารู้สึกได้ มีสายตานับไม่ถ้วนกำลังจ้องมองเขาอยู่ เหมือนเขาเป็นกอริลลาที่ส่งมาจากแอฟริกา
แต่ซูเสวี่ยฉิงกลับกินอย่างเชื่องช้าไม่รีบร้อน กว่าจะรอเธอกินเสร็จ เขาถึงแอบโล่งใจเงียบๆ
“ถ้าตอนบ่ายไม่มีอะไรทำ ก็ไปพักผ่อนที่ห้องทำงานฉันสิ”
หลังจากเช็ดริมฝีปากแล้ว ซูเสวี่ยฉิงก็พูดกับพิหยางหยาง
“ไม่ ฉันยังมีธุระต้องจัดการต่อ……”
พิหยางหยางรีบปฏิเสธ ขืนอยู่บริษัทต่อ ตนอาจจะถูกสายตาคนเหล่านี้ละลายได้
“งั้นก็ได้ พี่ลี่ พี่พาเขาไปที่โรงจอดรถ ให้เขาเลือกมาสักคัน”
ยังดีที่ซูเสวี่ยฉิงไม่ได้ฝืนให้เขาอยู่ต่อ แต่ไปสั่งการเจิ้งลี่
“ค่ะ ประธานซู”
เจิ้งลี่ตอบรับหนึ่งคำ จากนั้นก็พูดกับพิหยางหยางว่า “คุณพิ เชิญมากับฉัน”
ตามเจิ้งลี่มาถึงโรงจอดรถ ตามด้วยประตูม่านม้วนค่อยๆ เลื่อนขึ้น พิหยางหยางเบิกตาโพลง
ในโรงจอดรถ มีรถหรูจำนวนสองแถวจอดกันเป็นระเบียบเรียบร้อย ไมบัค เบนท์ลีย์ บีเอ็มดับเบิลยู เมอร์เซเดส-เบนซ์ มีทุกอย่างที่ต้องการ
นี่เหมือนมางานนิทรรศการรถหรูเลย
“คุณพิ เชิญเลือกมาหนึ่งคัน”
เจิ้งลี่หันไปมองพิหยางหยางที่ตกใจจนเหวอ จึงขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น
พิหยางหยางได้สติกลับมา แล้วเอ่ยขึ้นอย่างกระอักกระอ่วน “มีที่ราคาถูกหน่อยไหม?”
ถึงแม้เขาจะชอบรถหรู แต่ถึงอย่างไรก็ขับรถคนอื่น จะอวดโชว์เกินไปไม่ได้
“รถราคาถูก? ถึงจะมีก็ให้คุณขับไม่ได้หรอก”
เจิ้งลี่พูดขึ้นโดยไม่ลังเลสักนิด
“ทำไมล่ะ?”
พิหยางหยางอึ้ง ฉันอยากขับรถที่ราคาถูกหน่อยก็ไม่ได้เหรอ?
“เพราะตอนนี้คุณคือสามีประธานซู รถราคาถูก ไม่เหมาะกับสถานะของคุณ อีกอย่างหนึ่ง นับจากนี้ไปคุณมีหน้าที่คอยรับส่งประธานซูเข้างานเลิกงาน รถราคาถูก คุณคิดว่ามันเหมาะไหม?”
เจิ้งลี่พูดจาอย่างมีเหตุผลฉะฉาน
พิหยางหยางตกใจ “อะไรนะ? คุณจะบอกว่าต่อไปฉันต้องเป็นคนขับรถให้ประธานซูของพวกคุณ?”
“คุณไม่ยินยอม? คุณต้องรู้ไว้นะ คนมากมายเพื่อได้เป็นคนขับรถให้ประธานซู ไม่เอาเงินสักแดงเดียวด้วยซ้ำ!” เจิ้งลี่เอ่ยอย่างสู้ไม่ถอย
แต่พิหยางหยางไม่แคร์สักนิด “อะไรวะเนี่ย นั่นเพราะพวกเขาโง่……”
“เลิกพูดเพ้อเจ้อ รีบเลือกมาหนึ่งคัน” เจิ้งลี่เหมือนรำคาญนิดๆ แล้ว สายตาดูค่อนข้างดุร้าย
“แล้วจะให้ฉันเลือกอะไรอีก?” พิหยางหยางเบ้ปาก ถือโอกาสชี้ไปที่มูลซานน์คันหนึ่ง “เอานี่ละกัน”
เจิ้งลี่ถอดกุญแจดอกหนึ่งจากพวงกุญแจในมือโดยทันที แล้วยื่นให้พิหยางหยาง
จากนั้นก็พูดขึ้น “คุณตาถึงมากจริงๆ นี่รถคันใหม่ เพิ่งหิ้วกลับมา ขับไปไม่กี่ครั้ง”
พิหยางหยางขึ้นรถ แล้วขับออกไปจากโรงจอดรถ
ตอนอยู่ตระกูลฉิน เขาได้แต่ขับอาวดี้คันที่ใกล้จะเป็นเศษซาก
มาเซอร์ราติที่ฉินอวี้เจี๋ยซื้อมาใหม่ กระทั่งไม่ให้เขาแตะต้องมันแม้แต่น้อย
แต่ตอนนี้ ภรรยาตามข้อตกลงผู้หนึ่ง กลับให้เขาขับมูลซานน์ คิดดูแล้วก็น่าขำจริงๆ
ความจริงแล้วตอนบ่ายเขาไม่มีธุระอะไรเลย
เพียงแต่เขาไม่อยากอยู่ซูซื่อ กรุ๊ป เผชิญกับสายตาแปลกประหลาดพวกนั้น
ยิ่งไปกว่านั้น อย่างไรซะเขากับฉินอวี้เจี๋ยก็เป็นสามีภรรยากันมาสามปี วันนี้หย่ากัน ในใจรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง อยากหาสถานที่แห่งหนึ่งสงบเงียบสักหน่อย
รถยนต์ขับออกมาจากซูซื่อ กรุ๊ป ขับตรงออกมาจากเขตเมือง แล้วขับไปยังเขาหลัวฮั่น
ตามที่อาจารย์พูด เขาถูกอาจารย์เก็บมาจากเขาแห่งนี้ ตอนนั้นเขายังไม่ครบห้าขวบ
ฉะนั้นตั้งแต่เขาจำความได้ ก็ชอบไปที่ยอดเขานั่งบนหินหลัวฮั่นคนเดียว แล้วไตร่ตรองคำถามบางอย่าง
ฉันมาจากที่ไหน พ่อแม่ฉันเป็นใคร?
คำถามเหล่านี้ เขาก็เคยถามท่านปรมาจารย์เทียนหยางอาจารย์ของเขามานับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่เคยได้รับคำตอบอย่างเป็นทางการ
วันนี้เห็นจดหมายฉบับนั้น นึกว่าอาจารย์จะบอกประวัติชีวิตเขาในนั้น แต่ผลคือยังไม่ได้บอกอะไร
เขาไม่เข้าใจมาโดยตลอด เพราะเหตุใดอาจารย์ถึงไม่บอกเขาเกี่ยวกับประวัติชีวิตเขา
ทั้งยังต้องการให้เขาอยู่ตระกูลฉินต่อ เป็นเขยแต่งเข้าผู้ไม่ได้รับความเป็นธรรม
แถมพูดกับเขาว่า หากตระกูลฉินไม่ทอดทิ้งเขา เขาห้ามทิ้งตระกูลฉินโดยเด็ดขาด
ตอนนี้ตระกูลฉินไล่เขาออกจากบ้านแล้วจริงๆ
แต่ทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ในการคำนวณของอาจารย์ จวบจนถึงวันนี้ เขาอยู่ในตระกูลฉินเป็นเวลาสามปีพอดี ไม่ขาดไม่เกิน
รถยนต์จอดใต้เขา กำลังเตรียมขึ้นเขา โทรศัพท์เขาดังขึ้นฉับพลัน
เขามองแวบหนึ่ง คิ้วสองข้างขมวดเล็กน้อย แต่ก็รับสาย
“คุณพิ ฉันเพิ่งได้รับข้อมูล อยากละลาบละล้วงยืนยันสักหน่อย……”
โทรศัพท์ปลายสาย มีเสียงค่อนข้างถ่อมตนและระมัดระวังเสียงหนึ่งดังขึ้น
พิหยางหยางพูดขึ้นอย่างเฉยชา “ว่ามาสิ”
“ฉันได้ยินคนพูดว่าคุณเพิ่งหย่ามา นี่เรื่องจริงไหม?”
โทรศัพท์ปลายสาย ผู้เฒ่าอายุห้าสิบต้นคนหนึ่ง เอ่ยถามด้วยเสียงสั่นเทิ้มเล็กน้อย
ถ้ามีคนเห็นภาพเหตุการณ์นี้ จะต้องตะลึงกรามค้างเป็นแน่
เพราะผู้เฒ่าท่านนี้ ก็คือเมิ่งชิ่งเฟิงประธานของหอการค้าเถิงหลง ผู้ชื่อเสียงเลื่องลือแห่งชิงเจียง!
“อืม ข่าวคุณรวดเร็วดีนะ……เพราะเรื่องนี้ ตั้งใจโทรหาฉันโดยเฉพาะเลย?”
พิหยางหยางกลับไม่ได้ประหลาดใจอะไร เพราะเขาทราบความสามารถของอีกฝ่ายดี
พูดจบก็วางสายไป แล้วเดินไปตามทางคดเคี้ยววัชพืชที่รกเกลื่อนเส้นหนึ่ง มุ่งไปยังยอดเขา
เมิ่งชิ่งเฟิงที่อยู่ปลายสายโทรศัพท์ไม่ได้โกรธเคืองเนื่องจากพิหยางหยางวางสายไป กลับเผยรอยยิ้มผ่อนคลายด้วยซ้ำไป
“เหล่าเมิ่ง เขาหย่าแล้ว ทำไมคุณดีใจซะขนาดนี้?”
บนโซฟา นางสตรีอายุสามสิบต้นผู้หนึ่ง มองเมิ่งชิ่งเฟิงอย่างไม่ค่อยเข้าใจนักพลางเอ่ยถาม
“เธอจะรู้อะไร?” เมิ่งชิ่งเฟิงยิ้มอ่อนพูดขึ้น “ถ้าคุณพิไม่ได้หย่า ในงานมหกรรมหอการค้าปีนี้ ฉันจะลงทุนให้ตระกูลฉินร้อยล้าน เพราะเห็นแก่หน้าเขา”
“แล้วมันยังไง? ยังไงก็เป็นการลงทุน ลงทุนให้ตระกูลฉินไม่ดียังไงเหรอ?”
นางสตรีลูบท้องตนเองแผ่วเบา พลางถามด้วยความสงสัย
เมิ่งชิ่งเฟิงเผยความเหยียดหยามออกมาเล็กน้อย ส่ายหน้าเบาๆ แล้วพูดขึ้น “ตระกูลฉิน……ฉันละหมั่นไส้จริงๆ! ถ้าไม่ใช่เพราะคุณพิ เกรงว่าตระกูลฉินคงล้มละลายไปนานแล้ว……”
……
ขณะนี้ ท่ามกลางป่าไผ่บนไหล่เขาหลัวฮั่น ผู้เฒ่าผมหงอกคนหนึ่งกำลังมองหน่อไม้ที่เพิ่งงอกออกมาจากพื้นด้วยความสนอกสนใจอย่างยิ่ง
ข้างกาย มีสาวน้อยหน้าตางามสง่าคนหนึ่ง และชายหนุ่มตัวตั้งตรงร่างกายราวกับหอกพร้อมใบหน้าเด็ดเดี่ยวคนหนึ่งยืนอยู่
“คุณปู่ ในเขาลมแรง เรากลับเร็วหน่อยดีกว่าไหม?”
ผู้เฒ่าเปล่งเสียงไอเบาหวิวสองครั้ง สาวน้อยรีบเข้าไปพยุงเขาทันที แล้วพูดอย่างเป็นห่วง
“ไม่เป็นไร ปู่ยังไม่อ่อนแอถึงขั้นต้านลมไม่ไหว”
ผู้เฒ่าหัวเราะหึๆ โบกมือปัด ดูหายใจหอบเล็กน้อย
“น้องสาว ไม่ต้องกังวลหรอก ปู่เป็นนักฝึกบู๊ ถึงจะอายุมากแล้ว สมรรถภาพร่างกายก็ไม่ใช่คนทั่วไปจะเทียบได้”
หว่างคิ้วชายหนุ่มเผยความหยิ่งผยองเล็กน้อย ขณะที่พูดนั้น ก็เหมือนระแวดระวังกับการเคลื่อนไหวรอบตัว
สาวน้อยสวมเดรสสีแดง พลิ้วไหวท่ามกลางสายลมอ่อน อรชรสง่างาม
ด้วยการเสริมให้เด่นจากเดรสสีแดงเพลิง ผิวขาวกระจ่างใสยิ่งดูงดงามสดใสตราตรึงใจ
ได้ยินคำพูดชายหนุ่ม คิ้วก็ขมวดมุ่นเล็กน้อย หันไปจ้องเขาหนึ่งทีอย่างตำหนิ แล้วพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “นายพูดมาก นายไม่รู้เหรอว่าแผลเก่าบนตัวปู่ มันสาหัสขึ้นในช่วงนี้น่ะ……”
ยังพูดไม่จบ ชายหนุ่มพลันตะคอกดังกึกก้อง “ใคร!”
ตามด้วยเสียงตะคอก ร่างกายเขาบินโฉบออกไปทันที พุ่งกระโจนไปนอกป่าไผ่
พิหยางหยางกำลังเดินขึ้นเขา เส้นทางเล็กผ่านป่าไผ่สามารถขึ้นเขาได้
แต่เขาเพิ่งเข้าป่าไผ่ ข้างหูมีเสียงตะโกนลอยมา พร้อมเงาร่างหนึ่งโฉบกระโจนมาหาในเวลาเดียวกัน
เขาก้าวหลบไปด้านข้างสองก้าวด้วยสัญชาตญาณ แล้วมองไปยังหนุ่มน้อยที่จู่โจมตน