บทที่ 10 ปู่หลานตระกูลเหลย
“ผู้ฝึกยุทธ์?”
ในสายตาหนุ่มน้อย ฉายประกายดุเดือด
ขณะที่พูด ก็กดช่วงเอวลงต่ำ มือขวาผลักออก พร้อมกระแสลมฝ่ามืออันดุดัน ตรงไปที่ซี่โครงขวาของพิหยางหยาง
“เหลยหยวน ได้โปรดออมมือ!”
ผู้เฒ่าได้ยินเสียงก็ตะคอกลั่น แต่สายไปเสียแล้ว
หนุ่มน้อยบุกโจมตีอย่างรุนแรง ฝ่ามือขวาพร้อมด้วยกระแสลมทรงพลัง ฟาดใส่ซี่โครงหน้าอกพิหยางหยางไปแล้ว
พิหยางหยางหรี่ตาสองข้าง มือซ้ายโบกสะบัด ราวกับแค่ขับไล่แมลงวันอย่างเรื่อยเปื่อย หนึ่งฝ่ามือสะบัดออกไป
“อย่าบุ่มบ่าม!” ผู้เฒ่าตวาดลั่นอีกครั้ง
เขารู้ทักษะของหลานชายตนเป็นอย่างดี ถึงแม้จะเป็นนักฝึกบู๊ ก็ยากที่จะหยุดฝ่ามือเดียวของเขาได้!
“ตู้ม!”
เสียงกระแทกกระทั้นหนึ่งดังขึ้น ผู้เฒ่าและสาวน้อยที่ยืนห่างสิบเมตรรู้สึกได้ถึงอากาศปั่นป่วนอันตราย
ทั้งสองเสียขวัญมาก ผู้นั้นถูกเหลยหยวนโจมตี เกรงว่าคงกระดูกหักเส้นเอ็นขาดไปแล้ว
เงาร่างหนึ่งโฉบกระเด็นออกมา เสียง “โครมคราม……” โกลาหลดังขึ้นสักพัก ต้นไผ่จำนวนหนึ่งถูกเงาที่บินโฉบมาชนจนแตก!
“จบเห่แล้ว!”
ผู้เฒ่ากับสาวน้อยจิตใจหนักอึ้งพร้อมกัน
“เหลยหยวน……บอกแล้วไงว่านายอย่าหุนหันพลันแล่น นายก็ไม่ฟัง ถ้าเกิดทำร้ายผู้บริสุทธิ์……”
ผู้เฒ่าพูดได้ครึ่งเดียว ทันใดนั้นเหมือนมีคนอุดลำคอไว้ มองตรงหน้าด้วยใบหน้าประหลาดใจ
คนที่ยืนอยู่ ไม่ใช่เหลยหยวนผู้เป็นหลานชายเขา แต่เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่สุภาพเรียบร้อย หล่อเหลามีภูมิฐาน
ผู้เฒ่ามองไปยังร่างเงาที่บินโฉบออกไปด้วยความประหลาดใจ หลายวินาทีก่อนจะรู้สึกตัว “นี่เป็นไปไม่ได้!”
คนที่ถูกทำร้ายจนกระเด็นออกไปเมื่อครู่ เป็นเหลยหยวนหลานชายของเขาเนี่ยนะ?
นี่จะเป็นไปได้อย่างไร?
เหลยหยวนเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านฝึกบู๊ นักบู๊ธรรมดาไม่มีทางขัดขวางการจู่โจมของเขาได้!
เมื่อครู่ชายหนุ่มนั่นสะบัดมืออย่างสบายใจเฉิบ เหลยหยวนกลับขวางไม่อยู่เนี่ยนะ?
ขณะนี้เหลยหยวนเหงื่อแตกพลั่กทั่วร่าง ล้มนั่งบนต้นไผ่ที่แตกกระจาย ขณะมองพิหยางหยางอย่างเหลือเชื่อ
ใต้หล้ามีพลังน่าสะพรึงเช่นนี้ด้วยเหรอ?
การสะบัดมือของพิหยางหยางเมื่อครู่ ทำให้เขารู้สึกว่าฝ่ามือตนเหมือนตีกำแพงเหล็ก หากใช้คำว่ามดแดงคิดเขย่าต้นไม้ใหญ่มาบรรยาย นั่นเป็นคำชมเชยสำหรับเขาด้วยซ้ำ
“คุณปู่ น้องสาว พวกคุณรีบหนีไปซะ!”
เหลยหยวนตะโกนอย่างกระสับกระส่าย
ผู้เฒ่าส่ายหน้า แล้วพูดกับหญิงสาว “เซียงหงไปประคองพี่ชายเธอขึ้นมา”
หญิงสาวเหลยเซียงหงเดินไป เหลยหยวนยังอยากพูดบางอย่าง แต่ผู้เฒ่าโบกมือปัดแล้วพูดขึ้น “เขาไม่ใช่มือสังหาร ถ้าเขาต้องการสังหารฉันจริง ถึงฉันคิดหนีก็หนีไม่พ้น”
แขนขวาเหลยหยวนปวดบวมเหลือเกิน ออกแรงไม่ได้เลย แต่เขารู้สึกได้ว่าแขนของตนไม่ได้หัก
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายควบคุมพลัง ได้ถึงขั้นพลิกแพลงตามใจนึกเลยด้วย
เขาพลิกตัวยืนขึ้นมา มองพิหยางหยางอย่างเย็นชา แล้วเอ่ยถามเสียงเข้ม “นายเป็นใครกันแน่ มาทำอะไรที่นี่?”
พิหยางหยางมองเขาอย่างงุนงงเล็กน้อย เอ่ยถามขึ้น “ที่นี่ไม่ใช่เขตหวงห้ามสักหน่อย ทำไมฉันจะมาไม่ได้?”
เหลยหยวนถลึงตาโตจ้องเขม็งพิหยางหยาง ดูคล้ายเตรียมป้องกันการโจมตีฉับพลันจากเขา
ผู้เฒ่านัยน์ตาทอประกายระยิบระยับ มองพิหยางหยางพร้อมพยักหน้าเบาๆ เดินมาตรงหน้าเขา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ผู้เฒ่านามเหลยถิง ไม่ทราบว่าสหายหนุ่มนามว่าอะไร?”
“พิหยางหยาง”
ถึงแม้จะถูกโจมตีโดยไม่รู้สาเหตุ แต่เขาเห็นผู้เฒ่าคนนี้ ไม่เพียงแต่พลังออร่าไม่ธรรมดา พูดจายังถ่อมตัวและอบอุ่น ความเดือดดาลภายในใจก็ลดลงทีละนิด
“เมื่อครู่เหลยหยวนจาบจ้วงยิ่งนัก ฉันขออภัยคุณพิแทนเขาด้วย”
ผู้เฒ่าโน้มร่างคารวะ ด้วยท่าทีที่จริงใจ
“คุณปู่ คุณ……”
“หุบปาก!”
ไม่รอให้เหลยหยวนเอ่ยคำ เหลยถิงก็ตวาดอย่างโกรธเกรี้ยวหนึ่งที
พิหยางหยางพูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่ต้องหรอกครับ เขาก็ไม่ได้ทำร้ายฉัน”
พูดจบ ก็หันหลังเตรียมเดินจากไป
“กรุณาคอยเดี๋ยว!”
พิหยางหยางเพิ่งเดินออกไปสองก้าว เหลยถิงก็ตะโกนออกไป แล้วรีบก้าวอ้อมไปตรงหน้าเขา
“มีธุระ?”
เหลยถิงควักนามบัตรสีทองใบหนึ่งออกมาจากตัว สองมือยื่นให้ แล้วพูดขึ้นด้วยใบหน้าคาดหวัง
“ไม่ทราบว่าสหายหนุ่มอยากผูกมิตรด้วยไหม?”
น้ำเสียงเขาถ่อมตน เจือด้วยนัยเฝ้าปรารถนาโดยไม่คาดคิด
เหลยหยวนกับเหลยเซียงหงนิ่งงันเป็นหุ่นไก่
คุณปู่เป็นฝ่ายผูกมิตรกับชายหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่งก่อน?
โตจนป่านนี้ เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นปู่ของตัวเอง อยากคบค้าสมาคมกับหนุ่มคนหนึ่งอย่างนอบน้อมถ่อมตนเช่นนี้
อย่างไรก็ตาม หากมองให้กว้างทั่วทั้งมณฑลฉู่หนาน ตระกูลอิทธิพลชั้นยอดที่ต้องการสร้างความสัมพันธ์กับตระกูลเหลย ต่อแถวจากที่นี่ไปถึงใจกลางเมืองได้เลย
“ผูกมิตร?”
โดยไม่คาดคิด คิ้วพิหยางหยางขมวดเล็กน้อย แล้วเอ่ยด้วยเสียงเฉยชา “ไม่สนใจ”
ปู่หลานสามคนแข็งเป็นหินอย่างพร้อมเพรียง
นี่เป็นสามคำที่ระทึกขวัญที่สุดที่พวกเขาได้ยินในตลอดหลายปีมานี้
ไม่สนใจ!
ชิงเจียงมีประชากรเกือบยี่สิบล้านคน ผู้ที่ทำให้เหลยถิงเห็นเป็นเพื่อนก่อนได้นั้น สามารถนับได้เพียงฝ่ามือเดียว
ไม่กี่คนนั้นล้วนเป็นเจ้าพ่อที่ทรงอำนาจสูงสุดในชิงเจียง
ผลคือเหลยถิงเป็นฝ่ายต้องการคบค้าสมาคมก่อน แลกมาด้วยสามคำอันเย็นชาจากพิหยางหยาง: ไม่สนใจ!
นี่ถ้าแพร่งพรายออกไป เกรงว่าจะตกตะลึงกรามค้างทั้งเมือง
“นายว่ายังไงนะ? นายหยุดเดี๋ยวนี้!”
เห็นพิหยางหยางก้าวเท้ายาวออกไป เหลยเซียงหงก็กระทืบเท้า แล้วตะโกนด้วยความโมโห
เมื่อครู่นี้แม้ว่าเธอจะคิดว่าเหลยหยวนไม่ควรลงมือบุ่มบ่าม แต่เมื่อเห็นพิหยางหยางเมินเฉยต่อคุณปู่ตนแบบนี้ ก็โมโหแล้ว
พิหยางหยางเหมือนไม่ได้ยิน หันหลังเดินไป
“นาย……”
เหลยเซียงหงโกรธจนหน้าซีดไปหมด กำลังจะไล่ตามไป พิหยางหยางพลันหันร่างมา สายตาหยุดที่ร่างเหลยถิง
“ผู้เฒ่าเหลย วรยุทธ์นั้นคุณอย่าฝึกฝนจะดีที่สุด ไม่เช่นนั้น สุดท้ายจะบาดเจ็บถึงแก่ชีวิต”
เมื่อพูดคำนี้ออกไป สีหน้าเหลยถิงเปลี่ยนแปลงฉับพลัน จากนั้นก็ถอนหายใจเบาหวิว
“สหายหนุ่มสามารถมองโรคแฝงในตัวฉันออก ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ไม่ปิดบังสหายหนุ่ม ด้วยเหตุนี้เอง ฉันถึงได้มาที่ชิงเจียง แต่ใครจะไปรู้ว่า……”
ขณะพูด ก็ส่ายหน้าถอนหายใจยาวเหยียดอีกครั้ง
“มาชิงเจียงเพราะเรื่องนี้?”
พิหยางหยางไม่ค่อยเข้าใจ
“มุ่งหน้ามาครั้งนี้ ก็เพื่อขอพบท่านปรมาจารย์เทียนหยาง……”
พิหยางหยางแววตาทอประกายวิบวับ “ท่านปรมาจารย์เทียนหยาง? แต่ฉันได้ยินมาว่าเขาเสียชีวิตไปแล้วเมื่อสามปีก่อน”
เหลยถิงส่ายหน้าเล็กน้อย ถอนใจหนึ่งครั้งก่อนพูดขึ้น “ท่านปรมาจารย์หยั่งรู้ยากเกินคาดเดา สามัญชนจะคาดเดาได้อย่างไร ท่านปรมาจารย์มีบุญคุณช่วยชีวิตฉัน เมื่อฉันเยาว์วัย เคยได้รับบาดเจ็บสาหัส เป็นท่านปรมาจารย์ที่ลงมือรักษา ถึงรอดชีวิตมาได้……”
แววตาพิหยางหยางทอประกายวิบวับ ห้วงลึกนัยน์ตาฉายแววสงสัยเล็กน้อย
เขามองปราดเดียวก็ดูออก บนตัวเหลยถิงมีแผลเก่า และผ่านมาหลายสิบปีแล้ว
เพียงแต่ บาดแผลเขาไม่ใช่รักษาไม่ได้ ด้วยวิชาแพทย์ของอาจารย์ท่านปรมาจารย์เทียนหยาง ตอนนั้นสามารถรักษาให้หายสนิทได้
แต่เพราะเหตุใดถึงต้องทิ้งภัยแฝงนี้ไว้?
พิหยางหยางก้าวไปข้างหน้าสองก้าว รับนามบัตรบนมือเหลยถิงมา ยัดลงไปในกระเป๋ากางเกงอย่างลวกๆ “อาการบาดเจ็บของคุณอาจจะไม่ได้มีแค่ท่านปรมาจารย์เทียนหยางเท่านั้นที่รักษาได้”
เหลยถิงตะลึงงัน จากนั้นก็ยิ้มขมขื่นพร้อมส่ายหน้า “คุณพิ ฉันหาหมอมาหลายแห่ง ไม่ดีขึ้นเลย เกรงว่าต้องให้ท่านปรมาจารย์ลงมือรักษาถึงจะรอดพ้นได้”
ขณะพูด ก็กระแอมไอเบาหวิวอีกสองสามครั้ง
พิหยางหยางไม่พูดอะไรเพิ่ม หันตัวแล้วเดินขึ้นเขา
“คุณปู่ โลกนี้มีคนหลงระเริงแบบนี้ได้ยังไงกัน ไม่เห็นตระกูลเหลยของเราอยู่ในสายตาเนี่ยนะ!”
เห็นพิหยางหยางเดินไปไกล เหลยเซียงหงโกรธเคืองไม่เบา รู้สึกเสียเกียรติสุดขีด
“พี่ชายเธอขวางกระบวนท่าธรรมดาของเขาไม่ได้ เพียงพอที่จะพิสูจน์ความแข็งแกร่งของเขา คนประเภทนี้ถึงแม้จะหลงระเริง นั่นเพราะเขาฝีมือให้หลงระเริงจริงๆ”
เหลยถิงถอนหายใจหนึ่งที ละสายตากลับมา แล้วเอ่ยด้วยความปลง
“น่าเสียดาย ตระกูลเหลยฉันไร้วาสนาในการคบหาคนผู้นี้……”
พูดจบ ก็โบกมือปัดอย่างเศร้าสลด “ลงเขากันเถอะ”
“คุณปู่ ในเมื่อท่านปรมาจารย์เทียนหยางไม่อยู่แล้ว ไม่งั้นเรากลับเมืองหลวงกันเถอะ?”
มาถึงตีนเขา เหลยเซียงหงเอ่ยโน้มน้าว
“ไม่ พรุ่งนี้เป็นงานหมั้นตระกูลเย่ ไหนๆ ฉันก็มาชิงเจียงแล้ว งั้นแวะไปสักหน่อย”
เหลยหยวนพูดขึ้นอย่างเหยียดหยาม “ตระกูลเย่กระจอกๆ ตระกูลหนึ่ง คู่ควรให้คุณปู่ไปสนับสนุนด้วยตัวเองเหรอ? ท่านเป็นหัวหน้าพรรคเฟิงเหลย ถึงจะเป็นตระกูลเศรษฐีแห่งเมืองหลวง ก็ยังไม่ได้รับเกียรตินี้!”
“อย่างไรแล้วตระกูลเย่ก็เป็นตระกูลอันดับหนึ่งในชิงเจียง หลายปีมานี้ เจ้าบ้านตระกูลเย่มาขอพบฉันหลายครั้ง ต้องการกราบเป็นศิษย์ตระกูลเหลยฉัน พรุ่งนี้ถือโอกาสนี้ไปดูสักหน่อย ว่าตระกูลเย่มีคุณสมบัตินี้หรือไม่”
สายตาเหลยถิงสงบนิ่ง กระบวนความคิดโผบินไปเหนือฟ้า แล้วเอ่ยพึมพำ “แต่ละตระกูลใหญ่ในชิงเจียงล้วนมีตาหามีแววไม่ ใครจะไปคาดคิดว่าท่านปรมาจารย์เทียนหยางพเนจรที่ทำนายโชคชะตาผู้หนึ่ง จะเป็นจิ่วเหยีย เจ้าสำนักของสำนักจิ่วเสวียน ผู้สั่นสะเทือนใต้หล้าจริงๆ”
“ปัจจุบันชื่อจิ่วเหยียไม่ได้ปรากฏมานาน แต่ไม่ทราบว่าท่านปรมาจารย์เทียนหยางแสร้งเสียชีวิตแล้วเดินทางไปที่ใด แล้วถ่ายทอดหน้าที่ให้ผู้ใดกันนะ……”