บทที่ 6 จิ่วเหยีย
พิหยางหยางไม่ได้ตื่นตกใจ และไม่ได้หันศีรษะ
ชายผู้หนึ่งอายุราวห้าสิบ ไว้เคราสั้น ผมหงอก รูปร่างท้วม กำลังยืนด้านข้าง สายตาจ้องมองเขาอย่างเฉยชา
“จิ่วเหยีย?”
พิหยางหยางอึ้งเล็กน้อย ดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจใคร่รู้
“ลุงฝู นี่มันเรื่องอะไรกัน? อะไรคือจิ่วเหยีย?”
พิหยางหยางชูแหวนในมือขึ้นมา แล้วเอ่ยถามอย่างสงสัย
ผู้นี้ชื่อลุงฝู เมื่อก่อนเป็นผู้ติดตามอาจารย์
หลังจากอาจารย์เสียชีวิต ลุงฝูก็อยู่ที่นี่ เฝ้าที่พักหลังนี้
“แหวนวงนี้คือสัญลักษณ์สถานะของเจ้าสำนักของสำนักจิ่วเสวียน ในยุทธจักรเจ้าสำนักของสำนักจิ่วเสวียนได้รับสมญานามว่าจิ่วเหยีย”
พิหยางหยางอึ้งเล็กน้อย แล้วถามขึ้น “สำนักจิ่วเสวียน? กล่าวเช่นนี้ แสดงว่าอาจารย์ฉันเขา……เป็นเจ้าสำนักของสำนักจิ่วเสวียน?”
ความตกตะลึงในใจเขาหาที่เปรียบไม่ได้ เขาติดตามอาจารย์ตั้งแต่อายุไม่กี่ขวบ รู้ว่าเขาถูกเรียกว่าท่านปรมาจารย์เทียนหยาง แต่ไม่รู้มาก่อนเลยว่าเขามีสถานะดังกล่าวด้วย
ลุงฝูเดินมาช้าๆ สองมือประสาน น้อมตัวอย่างลึกซึ้ง แล้วพูดเสียงขรึม “นี่คือคำสั่งเสียของท่านปรมาจารย์ จิ่วเหยียกรุณาสวมแหวน”
พิหยางหยางแววตาเปล่งประกายวิบวับ แม้ว่าภายในใจจะมีข้อสงสัยมากมาย แต่เขาก็ยังสวมแหวนวงนี้เข้าไปในนิ้วนางมือซ้ายของตนอย่างเนิบนาบ
คำสั่งเสียอาจารย์ ไม่กล้าฝ่าฝืน
พูดไปก็แปลก แหวนวงนี้ดูแล้วทั้งหนาทั้งเทอะทะ แต่สวมลงบนนิ้วเขา กลับแนบสนิทพอดี ราวกับวัดขนาดสั่งทำขึ้น
นอกจากนี้ บนแหวนสีดำสนิท แสงทองปรากฏขึ้นเลือนราง ราวกับมังกรทองตัวหนึ่งพันรอบ
ลุงฝูคุกเข่าลง “ตึ้ง” แล้วกล่าวอย่างเคารพ
“ยินดีด้วยจิ่วเหยีย นับแต่นี้เป็นต้นไป คุณคือเจ้าสำนักลำดับที่สิบเจ็ดของสำนักจิ่วเสวียน ต่อไปนี้ ฝูหรัวไห่ก็คือผู้ติดตามของจิ่วเหยีย มีเรื่องอะไร รับสั่งได้เสมอ”
พิหยางหยางสะดุ้งโหยง รีบประคองเขาขึ้นมา แล้วเอ่ยถาม “ลุงฝู สำนักจิ่วเสวียนนี่มันสำนักอะไรกันแน่?”
ฝูหรัวไห่นิ่งเงียบ การแสดงออกทางสีหน้าดูเคารพเลื่อมใส และเคร่งขรึม
หลังจากนั้นสักพัก เขาถึงพูดขึ้นเสียงเข้ม “ศาสตร์ลึกลับในใต้หล้าเป็นของจิ่วเสวียน แพทย์ ยุทธ์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ศีลธรรม ทักษะวิชา……ครอบคลุมทุกอย่าง มีเพียงสำนักจิ่วเสวียนเท่านั้นที่ได้รับความเคารพสูงสุด”
ในใจพิหยางหยางตกตะลึงเล็กน้อย เหลือบมองแหวนดำสนิทวงนั้นบนนิ้ว ดูไม่น่าเชื่อเลย
“ที่แท้……อาจารย์ฉันก็สุดยอดขนาดนี้?!”
เขาพึมพำหนึ่งประโยค “แล้วทำไมไม่มีใครเรียกเขาว่าจิ่วเหยีย?”
ลุงฝูกล่าวด้วยความเคารพอย่างสูง “สถานะจิ่วเหยีย มีเพียงบุคคลสำคัญในสำนักจิ่วเสวียนเท่านั้นถึงจะทราบ หลังจากคุณรับตำแหน่งเจ้าสำนักแล้ว ก็ไม่อนุญาตให้เผยสถานะของตนเองตามใจชอบ นี่คือกฎของสำนัก!”
พิหยางหยางขมวดคิ้ว “ลึกลับขนาดนี้เชียว……คงไม่ใช่กลัวศัตรูอะไรหรอกใช่ไหม?”
มิน่าล่ะเจ้าสำนักสุดยอดขนาดนี้ อาจารย์ไม่เคยกล่าวถึงกับเขามาก่อนเลย ที่แท้ก็มีกฎสำนักอย่างนี้นี่เอง
เพียงแต่ อาจารย์ในฐานะเจ้าสำนักของสำนักจิ่วเสวียน หลายปีมานี้ก็ไม่เห็นเขาจะเก่งกาจมากเท่าไร วิชาแพทย์สูงนิดหน่อย การต่อสู้เยี่ยมนิดหน่อย
และที่น่าขันคือ เพื่อเปลี่ยนโชคชะตาให้ตระกูลฉิน ได้สละชีวิตชราของตนเองไปแล้ว
ทว่าลุงฝูงไม่ได้ตอบคำถามเขา แค่ยืนตรงแสดงความเคารพอยู่ด้านข้าง
ฉับพลันนั้น พิหยางหยางดวงตาสว่างไสว เอ่ยถามด้วยดวงตาสุกสกาว “ลุงฝู งั้นสำนักนี่รวยมากเลยใช่ไหม?”
ลุงฝูอึ้งเล็กน้อย จากนั้นก็ชี้ไปที่ในกล่องไม้
ในกล่องไม้ มีจดหมายฉบับหนึ่งวางอยู่ด้วย
บนซองจดหมาย อักษรไม่กี่ตัวเขียนเอาไว้: พิหยางหยางเปิดด้วยตนเอง
ในใจพิหยางหยางตื่นเต้นเล็กน้อย สูดหายใจลึกหนึ่งเฮือก ก่อนจะหยิบจดหมายฉบับนั้นขึ้นมา
พิหยางหยาง นายกับตระกูลฉิน สามปีสิ้นสุดวาสนา วันนี้สืบทอดหน้าที่ของฉัน บริหารดูแลสำนักจิ่วเสวียน……
เห็นไม่กี่ประโยคแรก พิหยางหยางตกใจทันที แอบคิดอย่างลับๆ “ที่แท้อาจารย์ก็ทำนายได้นานแล้ว ฉันอยู่ตระกูลฉินได้แค่สามปี ก็จะถูกไล่ออกมา……”
“ฉันรู้ในใจนายมีข้อสงสัยมากมาย ถ้าอยากทราบคำตอบ วันที่สิบห้าเดือนสิงหาคมปีนี้ มุ่งหน้าไปที่เกาะวิญญาณ ทุกอย่างก็จะเปิดเผยเอง อ้อ จริงสิ อาจารย์เพื่อเลี้ยงดูนาย เหน็ดเหนื่อยมาชั่วชีวิต สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายไปมหาศาล ถูกบีบจนไร้ทางเลี่ยง ยืมเงินค่านมผงกับเจ้าของเกาะวิญญาณมานิดหน่อย ตอนนายไปเกาะวิญญาณ จำไว้ว่าช่วยอาจารย์ชำระเงินคืนด้วย……”
เขารอไม่ไหวที่จะอ่านประโยคหลัง แต่พออ่านถึงช่วงหลัง สีหน้ามืดมนก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
“เฮ้ย ไม่ใช่แค่ไม่มีเงิน แต่ยังติดหนี้คนอื่น?”
เขารีบตรวจดูซองจดหมาย เห็นในนั้นมีกระดาษโน้ตไม่กี่ใบอย่างที่คิดไว้
“หมื่นล้าน?”
เขาถือโอกาสสุ่มหยิบมาดูหนึ่งใบ เห็นจำนวนเงินในนั้น เขาแทบกระเด้งขึ้นมา!
นี่คือยืมเงินมานิดหน่อย?
ที่สำคัญ กระดาษโน้ตยังมีอีกหลายใบ ทุกใบจดจำนวนเงินที่กู้ยืมมา ทำให้เขาแทบพังทลาย
“อาจารย์เอ๊ย ท่านหลอกกูซะได้ นมผงอะไรดื่มหมดไปแสนกว่าล้านกันล่ะ……”
ในมือกำลังถือบันทึกกู้ยืมไม่กี่ใบ ด้วยท่าทางหมดแรงจะใช้ชีวิตต่อไป
เงินเยอะขนาดนี้ จะเอาอะไรไปคืน?
ขณะที่กำลังสิ้นหวัง นอกประตูพลันมีเสียงกระสับกระส่ายเสียงหนึ่งดังขึ้น “ไม่ทราบว่าหมอเทวดาพิอยู่บ้านไหม?”
สีหน้าฝูหรัวไห่นิ่งค้างเล็กน้อย มองไปนอกประตู
พิหยางหยางล็อกกล่องไม้อีกครั้ง หิ้วขึ้นมาแล้วเดินออกไป
หน้าประตูลานบ้าน หญิงสาวอายุราวยี่สิบต้นคนหนึ่ง กำลังชะโงกศีรษะมองมาด้านใน
หญิงสาวสวมเดรสสีขาว สวยงามบริสุทธิ์ ดูแล้วเหมือนเป็นนักเรียน
เพียงแต่บนใบหน้าเธอ เผยความกระสับกระส่าย
“เธอเป็นใคร มาหาฉันมีธุระอะไร?”
ทันทีที่หญิงสาวเห็นพิหยางหยาง สีหน้าก็ฉายแววตื่นเต้นระคนดีใจออกมาเล็กน้อย
“คุณคือหมอเทวดาพิ?”
“ฉันแซ่พิ” พิหยางหยางตอบอย่างเฉยชา
“โอ้ ฉันชื่อกู้เทียนซวง จู่ๆ คุณปู่ฉันป่วยหนัก อาสามฉันให้ฉันมาเชิญหมอเทวดาพิไปช่วยรักษา……”
หญิงสาวพูดรวดเร็วฉับไว พูดขึ้นเจื้อยแจ้วราวกับนกกระจาบฝน
พิหยางหยางถามขึ้น “อาสามเธอ? เป็นใคร?”
กู้เทียนซวงยิ้มเล็กน้อย เผยฟันเขี้ยวเล็กคู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้น “อาสามฉันคือกู้จื้อชิง คุณรู้จักไหม?”
“ไม่รู้จัก” พิหยางหยางส่ายหน้าทันที คนที่เขาเคยรักษามีเยอะมาก จะจำทุกคนได้อย่างไร
กู้เทียนซวงตะลึงงัน คิดแล้วก็พูดขึ้น “เขาคือผู้บัญชาการจากค่ายพิทักษ์ประจำเมืองหลวง บอกว่าคุณเคยรักษาแผลให้เขา ก็เลยให้ฉันมาหาคุณ……”
พิหยางหยางยังคงส่ายหน้า แต่ก็นึกถึงใบยืมหนี้ที่อาจารย์เขาทิ้งไว้โดยทันที เอ่ยถามฉับพลัน
“แล้วการรักษานี่ให้เงินไหม?”
กู้เทียนซวงรีบร้อนพยักหน้า
“ไหนๆ เธอก็มาแล้ว งั้นฉันไปกับเธอสักหน่อยก็แล้วกัน” พิหยางหยางแสร้งทำเป็นลังเล
กู้เทียนซวงรีบหันมาด้วยความดีใจ เปิดประตูรถมาเซอร์ราติคันหนึ่ง “เชิญขึ้นรถค่ะ”
“เมื่อกี้เธอบอกว่าเธอแซ่อะไร?”
หลังจากขึ้นรถ พิหยางหยางก็นึกถึงเรื่องหนึ่งฉับพลัน เอ่ยถามขึ้น
กู้เทียนซวงอึ้งไป แต่เธอก็พูดขึ้นอย่างอดทน
“แซ่กู้ค่ะ ตระกูลกู้ฝั่งตะวันออก คุณน่าจะรู้จัก?”
“ไม่เคยได้ยินมาก่อน……”
กู้เทียนซวงทำหน้างุนงง ถึงขั้นกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
ไม่รู้จักชื่ออาสามของเธอก็ช่างปะไร แต่ในเมืองชิงเจียง ใครไม่รู้จักตระกูลกู้ฝั่งตะวันออกบ้าง? นั่นหนึ่งในห้าตระกูลใหญ่แห่งชิงเจียง!
แต่เธอยังมีรอยยิ้มเช่นเคย หันไปพูดขึ้น “ตอนนี้ก็รู้จักแล้วนี่คะ?”
รอรถสตาร์ท ฝูหรัวไห่ยืนอยู่กลางลานบ้าน ค่อยๆ ควักโทรศัพท์ออกมาโทรออกเบอร์หนึ่ง
“ท่านปรมาจารย์ เขาสวมแหวนแล้ว” โทรศัพท์เชื่อมติด เขากล่าวขึ้นอย่างเคารพ
“อ่อ กล่าวเช่นนี้ แสดงว่าตระกูลฉินไล่เขาออกจากบ้านแล้ว?” ปลายสายมีเสียงชราวัยลอยมา
“ครับ เหมือนที่ท่านทำนายไว้ในปีนั้นทุกประการ สามปีพอดี ไม่ขาดแม้แต่วันเดียว!”
ใบหน้าฝูหรัวไห่ เผยสีหน้าเลื่อมใส
“ดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นก็ให้เขามีประสบการณ์โชกโชนในโลกีย์ต่อไป จำเอาไว้ ห้ามให้เขารู้โดยเด็ดขาดว่าฉันยังมีชีวิตอยู่ กิจทางฝั่งฉันยังจัดการไม่เรียบร้อย!”
“งั้น……เรื่องตระกูลฉิน ยังสนอยู่ไหมครับ?”
ฝูหรัวไห่ลังเลนิดหน่อย แล้วเอ่ยถาม
“ปีนั้นฉันให้เจ้าเด็กนั่นแต่งเข้าตระกูลฉิน เพื่อตอบแทนบุญคุณในอดีต เจ้าเด็กนี่ไม่ยินยอมในตอนแรก ตอนนี้ในเมื่อตระกูลฉินไม่หวงแหน นั่นก็เป็นเพราะตระกูลฉินไร้วาสนา จะสนหรือไม่สน ปล่อยเขาไปเถิด……”
ปลายสายมีเสียงถอนหายใจแผ่วเบาของผู้เฒ่าลอยมา ฝูหรัวไห่ตอบ “อืม” หนึ่งที “ผมทราบแล้วครับ”
จากนั้น เขาก็พูดขึ้นอีก “จริงสิ หลายปีมานี้ เขากลับมาจุดธูปสักการะแทบทุกวัน แล้วเขาไปที่เขาหลัวฮั่นอยู่บ่อยครั้ง เหมือนกับค้นหาอะไร……”
“อืม นายไม่ต้องสนเขา ทุกสิ่งล้วนถูกลิขิตไว้ เมื่อควรรู้ เขาก็จะรู้โดยปริยาย”
ผู้เฒ่าเงียบไปสักครู่ พลันเอ่ยประโยคหนึ่ง แล้ววางสายไป
ฝูหรัวไห่เห็นประตูลานบ้านปิดสนิท นัยน์ตาประกายแสงผุดผ่อง พึมพำกับตัวเองเสียงเข้ม “จิ่วเหยียหวนคืน ควรแจ้งใต้หล้า!”
…………
รถยนต์ขับถึงหน้าคฤหาสน์ตระกูลกู้ฝั่งตะวันออกอย่างรวดเร็ว
“หมอเทวดาพิ ถึงแล้ว”
กู้เทียนซวงตะโกนหนึ่งที แต่ไม่ได้ยินคำตอบ
หันศีรษะไป เห็นเพียงพิหยางหยางประคองกล่องไม้เก่าโทรมกล่องนั้นอยู่ ผล็อยหลับลึกไปนานแล้ว
น้ำลายใสแววย้อยออกมาจากมุมปากเขา หยดแหมะบนเบาะนั่ง
เห็นภาพฉากนี้ กู้เทียนซวงหัวเราะ “พรวด” แล้วเดินไปดันเขาเบาๆ
“เกิดอะไรขึ้น?”
พิหยางหยางลืมตาสะลึมสะลือ มองด้วยความงุนงงแวบหนึ่ง
กู้เทียนซวงพูดขึ้น “ถึงบ้านฉันแล้ว เชิญลงรถค่ะ”
“โอ้ ถึงไวขนาดนี้เชียว ฝันหนึ่งยังไม่จบเลย……”
พิหยางหยางลงจากรถ บิดขี้เกียจอย่างเต็มที่หนึ่งครั้ง
“ใครป่วย? พาฉันไปดูหน่อย……”
กู้เทียนซวงปิดประตูรถ เอ่ยขึ้นอย่างค่อนข้างร้อนใจ “คุณปู่ฉันเองค่ะ คุณต้องช่วยชีวิตคุณปู่ฉันให้ได้นะ……”
พิหยางหยางตามเธอเข้าไปในที่พัก แต่เพิ่งเข้ามาในที่พัก ก็ได้ยินเสียงล้อเลียนเสียงหนึ่งปะทะเข้ามา “เฮ้ กู้เทียนซวง นี่คงไม่ใช่หมอเทวดาที่เธอรับมาหรอกนะ?”
กู้เทียนซวงพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “หลีกไป เขาคือหมอเทวดาพิที่อาสามฉันแนะนำมา อาสามบอกว่าเขาช่วยชีวิตคุณปู่ได้แน่นอน……”
“เขาคือหมอเทวดา? เธอเคยเห็นหมอเทวดาหนุ่มขนาดนี้เหรอ? เพื่อประจบคุณปู่ วิธีไหนเธอก็กล้าใช้!”
ผู้ที่ขวางทางตรงหน้าพวกเขา คือวัยรุ่นคนหนึ่งอายุราวยี่สิบห้า ดูค่อนข้างผอมแห้ง
เขาคือคุณชายใหญ่ตระกูลกู้ กู้เทียนเฉิน
“แต่เขาเป็นคนที่อาสามแนะนำมา อาสามเคยได้รับบาดเจ็บ เป็นเขาที่รักษาให้หาย!” กู้เทียนซวงเชื่อใจอาสามของตนมาก จึงพยายามโต้แย้งด้วยเหตุผล
โดยไม่คาดคิด กู้เทียนเฉินแค่นหัวเราะก่อนจะพูดขึ้น “จะเหมือนกันได้ยังไง? อาสามได้รับบาดเจ็บ หมอคนไหนก็รักษาหายได้ทั้งนั้น แต่คุณปู่ป่วยหนัก เธอคิดว่าหมอเถื่อนอย่างเขาจะรักษาให้หายได้?”
กู้เทียนซวงอึ้ง “หมอเถื่อน?”
“เฮอะ ฉันเรียกเขาว่าหมอเถื่อน นั่นก็ให้เกียรติเขาแล้ว!”
กู้เทียนซวงมองไปยังพิหยางหยางด้วยใบหน้าตะลึง พิหยางหยางกลับยิ้มเฉยชาไม่ใส่ใจ
กู้เทียนเฉินเห็นพิหยางหยางไม่แก้ตัว นึกว่าเขารู้สึกผิด ก็พูดขึ้นด้วยใบหน้าสู้ไม่ถอย “พ่อฉันเชิญหมอเทวดาตัวจริงมาแล้ว ตอนนี้กำลังรักษาให้คุณปู่อยู่ด้านใน เดี๋ยวคงใกล้รักษาหายแล้ว……”
สีหน้ากู้เทียนซวงเปลี่ยนไปเล็กน้อย กระวีกระวาดถามขึ้น “หมอเทวดาอะไร?”
“ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกลางชิงเจียง หลี่ลี่ฟูที่ถูกเรียกว่าแพทย์ฝีมือดีระดับประเทศ”
กู้เทียนเฉินทำหน้าลำพองใจ
กู้เทียนซวงตกใจโดยทันที “พวกคุณเชิญผอ.หลี่มาได้จริงๆ?”
“ ‘หมอเทวดา’ ท่านนี้ เชิญมาจากไหนก็เชิญกลับไปนั่นเลยเถอะ! ตระกูลกู้ฉันมีเงิน แต่ไม่ใช่ว่าใครจะมาเอาเปรียบยังไงก็ได้นะ!”
กู้เทียนซวงหันศีรษะไปมองพิหยางหยาง เผยสีหน้าลำบากใจ
“ที่นายพูดถึงคือหลี่ลี่ฟูใช่ไหม? เขางั้นหรือ? ช่วยชีวิตคนได้สิแปลก!”
พิหยางหยางมองกู้เทียนซวงแวบหนึ่ง “เธอไม่ต้องลำบากใจหรอก ฉันจะออกไปก่อน อีกเดี๋ยวก็มีคนออกมาขอร้องให้ฉันเข้าไปเองแหละ!”