บท
ตั้งค่า

บทที่ 6 หอคณิกา

“เฮ่อ น่าเบื่อๆๆ” หวงซื่อซิงร้องตะโกนลั่นห้องหนังสือ มือข้างที่ถือหนังสือขว้างหนังสือออกไปด้านหน้า มีอีกมือหนึ่งรับหนังสือไว้ได้อย่างรวดเร็ว

“ขว้างหนังสือได้อย่างไร ตระกูลหวงไม่เคยสอนมารยาทเยี่ยงนี้” หวงซานหางกล่าว โดยไม่ละสายตาจากหนังสือเล่มที่เขาอ่าน มือที่คว้าหนังสือเล่มนั้นไว้ ใช้ประสาทสัมผัสอย่างอื่น

“พี่สาม ท่านไม่เบื่อบ้างหรือ นี่เราอ่านกันมาเป็นเดือนๆ แล้วนะ” อ่านจนจะอยากอาเจียนออกมาเป็นตัวหนังสืออยู่แล้ว ชาติที่แล้ว หวงซื่อซิงก็จำได้ว่าตัวเองเคยต้องลำบากลำบนตั้งใจเรียนแบบนี้ เพื่อให้มีวิชาหาเลี้ยงชีพตนเองและครอบครัว แต่ชาตินี้เงินทองก็เหลือกินเหลือใช้ ทำไมเขาต้องมาลำบากอ่านของพวกนี้ด้วย ตอนเด็ก หวงซื่อซิงเคยปฎิญาณกับตัวเองไว้แล้วชาตินี้จะใช้ชีวิตคุณชายน้อยตระกูลใหญ่ ให้สุขสบาย เป็นคุณชายเจ้าสำราญ สาวเต็มฮาเร็ม แต่นี่! มันผิดคาดไปมากเลยนะ

“เจ้าก็ไปพักก่อน” หวงซานหาน ยังคงก้มหน้าต้มตาอ่านต่อไปไม่มีทีท่าว่าจะลุกไปไหน

“ได้ ข้ายอมแพ้แล้ว ยอมแพ้ท่านแล้ว” ที่หวงซื่อซิงยอมลำบากลำบนอ่านหนังสือนี่ เพราะเขาจะไม่ยอมแพ้ให้พี่หานเด็ดขาด แต่ดูท่าแล้ว ยอมแพ้น่าจะง่ายกว่า รายนั้นไม่มีอาการเหน็ดเหนื่อยเลย หลังตรง หน้าตรง มือซ้ายถือหนังสือ ช่างเป็นชายที่สง่างามนัก สมเป็นคุณชายตระกูลหวง ได้! ไม่ยอมไปใช่ไหม งั้นเขาก็จะนอนมันตรงนี้แหละ

นอนแม่งเลย หวงซื่อซิงนอนลงไปกับพื้นกลิ้งไปกลิ้งมา บิดตัวอย่างเกียจคร้าน ต้องทำถึงขนาดนี้พี่ชายถึงจะยอมละสายตามามองเขาบ้าง

“เจ้าจะเอาอย่างไร” หวงซานหานถามขึ้น ได้ผล หวงซื่อซิงยกยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะหุบลง และลุกขึ้นมานั่งอย่างสง่าผ่าเผยเหมือนเดิม

“พี่สาม ข้ามีสถานที่หนึ่งอยากไปให้ได้สักครั้งในชีวิต” หวงซื่อซิงเริ่มใช้เสียงสอง ที่มักจะได้ผลเสมอเวลาเขาจะขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น

“ที่ใด” หวงซานหาน ละสายตามาจ้องมองน้องชายตรงๆ ก็เห็นรอยยิ้มแป้นแล้นอย่างดีอกดีใจ ที่จะได้ออกจากห้องหนังสือแสนน่าเบื่อนี่เสียที

หวงซื่อซิงบอก “หอคณิกา”

หวงซานหานตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด “ไม่ได้”

หวงซื่อซิงอิดออด “ทำไมล่ะ ข้าอายุครบ 14 ปี แล้วนะ”

หวงซานหานถามต่อ “ 14 แล้วอย่างไร”

หวงซื่อซิง ยังไม่ยอมแพ้ “ ข้าโตแล้ว เป็นหนุ่มแล้วก็ต้องออกไปหาประสบการณ์บ้าง”

หวงซานหานมองน้องชายจากหัวลงไปถึงเท้า ก่อนจะมองจากเท้าขึ้นมาที่หัวอีกครั้ง และกล่าวอย่างเยือกเย็น “นี่เรียกว่าโตแล้วหรือ”

หวงซื่อซิงหน้าแดงด้วยความโกรธ เดินกระแทกเท้ามาข้างหน้าตั่ง ที่หวงซานหานนั่งอยู่ ยกมือกอดอก จ้องหน้าหวงซานหานอย่างเป็นจริงเป็นจัง “ข้าไปเองก็ได้ ไม่จำเป็นต้องง้อท่านหรอก”

หวงซานหานยกหนังสือในมือขึ้นอ่านต่อ กล่าวอย่างคร้านจะสนใจ “ข้าจะบอกท่านแม่”

จะยกท่านแม่มาขู่เหรอ กลัวตายล่ะ

หวงซื่อซิง “เชิญท่านบอกได้เลย”

หวงซานหานกล่าวต่อ “ข้าจะฟ้องท่านพ่อ”

หวงซื่อซิง “ตามใจท่าน”

หวงซานหาน “ข้าจะส่งยันต์สื่อสารแจ้งท่านลุง”

หวงซื่อซิงคุกเข่าลงทันที ส่งสายตาที่มีดวงดาวทอแสงประกายระยิยระยับอยู่ข้างในนั้น แต่ไหนแต่ไรมีเพียงท่านลุงเท่านั้นที่เขากลัว และเกรงอก เกรงใจ เป็นอย่างที่สุด “พี่สาม อย่าแจ้งท่านลุงเลยนะ ข้าแค่อยากเข้าไปดูเท่านั้น ถ้าได้เห็นแล้ว สาบานว่าจะกลับทันที ไม่ทำอะไรที่เสียหายอย่างแน่นอน”

หวงซานหานวางหนังสือในมือลง จ้องตาคู่นั่น ที่เหมือนมีหยดน้ำเปียกชื้นๆ ที่ปลายขนตาก่อนจะกล่าวขอคำยืนยัน “แค่เข้าไปดูแล้วกลับเลยนะ”

หวงซื่อซิงพยักหน้าหงึกๆ ค่อยๆ คลานเข่าเข้าไปนั่งด้านข้างพี่ชายสุดที่รัก เอนหัวน้อยๆ ไปพิงไหล่ซ้ายอย่างเอาอกเอาใจ “เข้าไปเห็นแล้วจะรีบกลับออกมาเลย” ปากพูดไปอย่างนั้นแต่ในใจกลับคิดว่าขอให้เข้าไปให้ได้ก่อนเหอะ เข้าไปได้แล้วค่อยว่ากัน

หวงซานหานเอ่ย ยอมโอนอ่อนตามน้องชายที่แสนจะขี้อ้อน “แต่ต้องปลอมตัว จะเข้าไปทั้งแบบนี้ไม่ได้”

หวงซื่อซิงเงยหน้าขึ้นมามองด้วยสีหน้าไม่เข้าใจว่าทำไมจะเดินโท่งๆ เข้าไปไม่ได้

หวงซานหานเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถามจึงกล่าวเสียงเรียบต่อว่า “ผู้จะเป็นเซียนมิควรไปสถานที่แบบนั้น” ก่อนกล่าวต่อ “ผู้อื่นจำได้จะเกิดข้อครหา”

หวงซื่อซิงมีความเห็นแย้ง “ผู้คนออกจะตั้งมากมาย คงไม่มีผู้ใดจดจำเราได้หรอก พี่สามก็คิดมากเกินไป”

หวงซานหานหันมาน้องน้องชายอย่างเต็มตาอีกครั้ง ก่อนจะถอนหายใจกล่าวขึ้นว่า “ใบหน้าอย่างเจ้าเนี่ยนะ ไม่มีผู้ใดจำได้ หรือแม้แต่ตัวข้าเอง ก็เกรงว่า ทั้งเมืองนี้คงไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก”

ที่หวงซานหานกล่าวมาก็ใช่ว่าจะมีอะไรผิด ตระกูลหวงเป็นตระกูลที่ใหญ่ที่สุดของเมืองนี้ มีผู้นับหน้าถือตา มีร้านขายยาสมุนไพรใหญ่ที่สุดของเมือง เป็นที่ติดต่อระหว่างเซียนและชาวบ้าน มีโรงหมอรักษาช่วยผู้ป่วยยากไร้แบบไม่คิดเงิน ทำโรงทานแจกข้าวสารอาหารแห้งทุกเดือน อีกทั้งมีคนในตระกูลเป็นเซียนระดับผู้อาวุโส ฉายากระบี่ประกายพรึก ที่ยากที่สุดคือ หน้าตาของคนในตระกูลนี้หน้าตาดีทั้งตระกูล

โดยเฉพาะคุณชายน้อย ซึ่งเป็นที่เลื่องลือไปถึงแดนเหนือแดนใต้ เคยมีพ่อค้าจากแดนใต้มาขอวาดรูปหวงซื่อซิงแต่โดนพ่อบ้านจับโยนออกนอกประตูไป บ้านไหนที่มีลูกสาวก็มาขอทาบทามมั่นหมาย ต้องปฎิเสธไปหลายสิบราย ยามหวงซื่อซิง ก้าวออกจากประตูใหญ่ของตระกูลเมื่อไหร่ จะรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องมองมา ทั้งชายและหญิง เดินตลาดก็มีคนเดินคอยมุงเป็นขบวน จนทำให้เขาเองบางคราก็คร้านที่จะออกจากเรือน

เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งหวงซื่อซิงไปเดินเล่นที่ตลาดกับพี่สี่ พบร้านบะหมี่เปิดใหม่ข้างทางร้านหนึ่ง เนื่องจากเป็นร้านเปิดใหม่จึงไม่มีผู้คนเข้าไปอุดหนุนเลย หวงซื่อซิงเลยชวนหวงซานหานเข้าไปนั่ง เพราะโต๊ะว่างทั้งร้าน เขาสั่งบะหมี่ไปสองชาม ยังไม่ทันจะได้บะหมี่เลย หันไปมองอีกที คนเต็มโต๊ะทั้งร้าน ต่อแถวรออีกยาวเหยียด จนเถ้าแก่ ต้องยกบะหมี่มาให้เขาด้วยตัวเอง ก่อนกล่าวขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำอีก แถมให้เนื้อเป็นพิเศษและไม่คิดเงิน กล่าวแต่เพียงว่าขอให้คุณชายหวงทั้งสองแวะมาทานที่ร้านบ่อยๆ ก็พอ

หวงซื่อซิง ขยับตัวตรง ทำตัวเป็นการเป็นการเป็นงานขึ้นมาทันที “พี่สามจะให้ทำอย่างไร ว่ามาเลย” ขอแค่ให้ได้เข้าไปสักครั้ง อะไรก็ยอมทั้งนั้นแหละ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel