บท
ตั้งค่า

บทที่ 5 ทดสอบ

หวงซื่อซิง นั่งคุกเข่าด้านหน้าท่านลุง ในศาลาริมน้ำ ซึ่งมีเขตอาคมกางครอบบริเวณโดยรอบ คนอื่นๆ ถูกกันออกไปข้างนอกเขตอาคมนั้น หนึ่งเพื่อป้องกันการรบกวนผู้ทดสอบหารากปราณ สองเพื่อความปลอดภัยของตัวพวกเขาเองในกรณีที่เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น

“พร้อมไหม” ท่านลุงถามเขาเบาๆ หวงซื่อซิงเงยหน้าขึ้น “ขอรับ”

ท่านลุงกล่าวว่า “หลับตา ตั้งสติให้มั่น อย่าวอกแวก อาจจะเจ็บปวดบ้างแต่ต้องอดทน” หวงซื่อซิงพยักหน้า หลับตาลงลึกเข้าสู่สมาธิทันที จากนั้นจึงรู้สึกเย็นวาบที่กลางศีรษะ ความเย็นค่อยๆ แผ่ลงไปยังใบหู ลำคอ หน้าอก ต้นแขน ลามมาถึงข้อพับและปลายนิ้วมือ

ไม่เจ็บแฮะ ออกจะรู้สึกเบาด้วยซ้ำ

หวงซื่อซิงกำลังจับความรู้สึกไอเย็นสบายนั้นที่ตอนนี้แผ่ไปถึงฝ่าเท้า ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าตรงจุดชีพจรที่จับความรู้สึกได้นั้น ระเบิดแตกตัวออกมาอย่างทรงพลัง ความรู้สึกเหมือนมีคนเอาระเบิดมาขว้างใส่ร่างกายตน ทีละจุด เริ่มจากปลายเท้าทั้งสองข้าง มาที่ฝ่ามือทั้งสองข้าง จากนั้นก็ตรงหน้าอก และที่รุนแรงสุดคือตรงหน้าผาก

ไม่ไหวแล้ว ทนไม่ไหวแล้ว

ทันทีที่หวงซื่อซิง บอกตัวเองว่าทนไม่ไหวแล้ว ก็รู้สึกมีของเหลวพุ่งออกจากปาก ทะลุออกไปข้างนอก กลิ่นมันช่างคาวและน่าอาเจียนมากนัก เขาทนไม่ไหวจึงต้องอาเจียนออกมาจนหมด จากนั้นก็กระอักมันออกมาอีกรอบ ค่อยรู้สึกโล่งขึ้นมาบ้าง พยายามลืมตาขึ้น แต่กลับลืมไม่ขึ้น สติก็ดับวูบ

ปวดหัวอย่างกับจะระเบิด หวงซื่อซิง ครางออกมา “เค้าฟื้นแล้ว” เสียงหวงฮูหยิน กล่าวอย่างร้อนใจ เข้ามาประคองให้เขาลุกขึ้นนั่ง

“เจ้าเป็นรู้สึกอย่างไรบ้าง” ท่านลุงถามน้ำเสียงอาการเป็นกังวลเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวต่อว่า “ทะลวงได้หกจุด นับว่าไม่เลว”

ปราณหลักในร่างกายมีทั้งหมด สิบสองจุด คนส่วนใหญ่ครั้งแรกก็จะทะลวงได้ สี่ถึงห้าจุด หวงซื่อซิงนับว่า เกิน มาตฐานมานิดหน่อย จำนวนจุดที่ทะลวงได้นี้มีผลอย่างมากต่อการฝึกวิชาในอนาคต เพราะยิ่งเปิดจุดปราณได้มาก็หมายถึงมีภาชนะใบใหญ่ย่อมฝึกได้มากกว่าผู้ที่มีภาชนะใบเล็ก ทั้งนี้ตอนที่ฝึกวิชาเซียนยังสามารถทะลวงปราณได้เองเรื่อยๆ หากฝึกสูงขึ้น แต่ผู้คนส่วนมากจะไม่สามารถทะลวงลมปราณเพิ่มได้ มีแต่ปราณที่มาแต่กำเนิดเท่านั้น คนที่เข้าฝึกพร้อมกันจึงประสบความสำเร็จเร็วหรือช้าต่างกัน

ท่านลุงมองสีหน้าเขาอย่างประเมินก่อนจะถามว่า “เจ้าจะทดสอบธาตุปราณเลยหรือไม่”

ท่านแม่หน้าซีดรีบหันมาถาม “พักก่อนไม่ได้หรือเจ้าคะ”

ท่านลุงส่ายหน้า “ถ้าระเบิดจุดปราณแล้วไม่ทำให้เสร็จ ที่ทำมาจะสูญเปล่า”

หมายถึงว่า เมื่อเปิดจุดปราณแล้วต้องเริ่มทดสอบธาตุและควบคุมมันเลยตั้งแต่ครั้งแรกไม่เช่นนั้นก็จะไม่สามารถควบคุมมันได้อีก ปราณอาจกระจัดกระจายจนหายหมดสิ้น ในห้องเงียบกริบ หวงซื่อซิง เพิ่งสังเกตว่าภายในห้องพักของเขามีคนอัดแน่นถึงห้า หกคน ท่านพ่อ พี่ชายทั้งสาม แม่นม และพี่เลี้ยงของเขา แต่ภายในห้องกลับมีแต่เสียงลมหายใจ

ไม่มีใครกล้าออกความคิดเห็น เพราะหากไม่ทำอะไรเลยสิ่งที่ทำไปทั้งหมดจะเสียเปล่า แต่หากดื้อดึงทำต่อไป หวงซื่อซิงอาจตายได้ เนื่องจากร่างกายเขาอาจรับพลังไม่ไหว

หวงซื่อซิงกล่าวขึ้นกลางความเงียบ “ข้าอยากลอง ขอรับ”

ท่านลุงยิ้มอย่างพอใจ “ดี ดีมากสมเป็นลูกหลานตระกูลหวง”

นอกจากท่านลุงที่ยิ้มออกมาอย่างพอใจแล้ว สีหน้าคนอื่นๆที่อยู่ในห้องนั้น ดูก็รู้ว่า ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก

รอบที่สองนี้ เขาอยู่ในข่ายอาคมกลางศาลาริมน้ำแค่คนเดียว แม้แต่ท่านลุงก็ไม่เข้ามายุ่ง ท่านเพียงบอกว่า

ให้ ทำตามความรู้สึก

รู้สึกอะไร ยังไง ทำไมไม่มี ไกด์ สักนิดเลยล่ะ บอกให้เป็นภาพหน่อยได้ไหม

หวงซื่อซิงยื่นเซ่ออยู่ตรงกลางข่ายอาคม หันกลับมามองทางคณะที่ยืนให้กำลังใจ อยู่ตรงโถงทางเดิน ห่างออกไปไกล พี่สาม และท่านลุงยืนส่งยิ้ม ส่วนท่านพ่อ ท่านแม่และพี่ชายอีกสองคนที่ไม่มีรากปราณ จึงไม่รู้ว่าจะให้กำลังใจอย่างไรดี ได้แต่ยืนนิ่ง สีหน้าเป็นกังวล

ยืนก็เริ่มเมื่อยแล้ว ท่าก็เปลี่ยนมาหลายท่าแล้ว ก็ยังคิดไม่ออกว่าอยากจะทำอะไรดี ยืนไปยืนมาก็ชักจะเบื่อ นั่งลงเลยละกัน นั่งไปนั่งมาก็ชักจะง่วง นั่งหลับก็ได้มั้ง พอคิดเปลือกตาก็ค่อยๆหุบลง ขนตาที่งอนยาวทั้งล่างและบนประสานกันแน่น

อือ... รู้สึกเย็นๆ สบายดีจัง ชอบๆ แบบนี้แหละ ถ้าเย็นแบบนี้นั่งได้ทั่งวันเลยก็ได้คอยดูสิว่าจะมีอะไรออกมาไหม

หวงซานหานเอ่ยเสียงเบา “ท่านลุงเกร็ดน้ำแข็งทะลุฝ่าข่ายอาคมท่านออกมาแล้ว ท่านให้เขาหยุดดีไหมขอรับ”

ในตอนแรกบริเวณที่หวงซื่อซิง นั่งอยู่ค่อยๆ ปรากฎหมอกหนาขึ้น จากนั้นสระบัวก็จับเป็นน้ำแข็งอยู่ในบริเวณข่ายอาคม ข่ายอาคมที่เป็นเหมือนฟองสบู่ขนาดยักษ์ ก็ค่อยๆ จับตัวขึ้นฝ้าและเกิดเกร็ดน้ำแข็งเกาะ ปกคลุมทั้งหมดจนมองไม่เห็น หวงซื่อซิง ที่นั่งอยู่ข้างใน หวงซานหานคิดว่าอย่างไรเสียขอบเขตพลังของน้องชายตนก็ไม่สามารถทะลุออกมานอกเขตอาคมของท่านลุงได้ แต่เพียงชั่วครู่เท่านั้น ความหนาวเย็นก็แผ่ซ่านมาถึงบริเวณที่พวกเขายืนอยู่ ลำพังเขาและท่านลุงที่มีรากปราณเซียนนั้นคงไม่เป็นไร แต่หันไปมอง ทั้งพ่อ แม่ พี่ชายและคนอื่นๆ ถ้าปล่อยต่อไปแบบนี้พวกเขาต้องแข็งตายแน่

หวงซานหาน กล่าวอีกครั้ง “ลำพังข้าไม่เป็นไรขอรับ กังวลแต่...”

ท่านลุงเอ่ยขึ้น “ออ ข้าลืม ดีใจเกินไปหน่อยน่ะ”

นี่เป็นคำพูดที่น้อยนักจะ ออกจากปากท่านลุงของเขา ทันใดนั้นขอบอาคมก็แตกออกเสียงเปรี๊ยะ ดังลั่น น้ำแข็งขนาดใหญ่ร่วงลงมา “หวงซื่อซิง ตื่น! เก็บพลังของเจ้าด้วย”

หวงซื่อซิงได้ยินเสียงแว่ว เหมือนมีคนเรียกจากตรงไหนสักแห่ง จึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น

เหวออออ ทะ.. ทำไมน้ำแข็งมันขึ้นรอบตัวก่อตัวเป็นกำแพงหนาแบบนี้เลยล่ะ

ขณะกำลังคิดว่าจะออกไปจากกำแพงน้ำแข็งนี้ยังไงดี ก็ได้ยินเสียง โครม.. หวงซื่อซิง รีบยกมือขึ้นกุมหัวทันทีตามสัญชาตญาณ เสียงเงียบลงแล้ว จึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมอง กำแพงน้ำแข็งแตกไปแล้ว แตกออกเป็นรูใหญ่ขนาดคนมุดรอดออกไปได้

พี่สามโผล่หัวเข้ามาเป็นคนแรก “เจ้าเป็นอะไรหรือไม่ โดนสะเก็ดไฟหรือเปล่า ข้ายังคุมพลังตัวเองได้ไม่ดีนัก” หวงซื่อซิง ส่ายหน้า

จะเป็นอะไรได้ล่ะ ตกใจหน้าพี่นี่แหละ จู่ๆ ก็โผล่มา ไม่ให้สุ่มให้เสียง

หวงซานหานยื่นมือเข้ามารับ เขาจึงเอื้อมมือออกไปจับ ก่อนจะถูกดึงตัวออกมาจากโพลงถ้ำน้ำแข็งนั้น หวงซื่อซิงหันกลับไปมองอีกครั้ง ตอนหันกลับมาก็เห็นทุกคนมายืนตรงหน้าแล้ว

หวงซื่อซิงเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย “ท่านลุง นั่นฝีมือข้าหรือ” ท่านลุงยิ้มและพยักหน้า ก่อนจะหันไปบอกบรรดาขามุงทั้งหลายให้คลายกังวล

“เขาไม่เป็นไร พวกเจ้าออกไปก่อน เหลือขั้นตอนสุดท้ายแล้ว” ขามุงทั้งหลายจึงต้องเดินกลับไม่ยังโถงทางเดินและเฝ้ารอดูอย่าใจจดจ่อ

ท่านลุงกล่าวอย่างใจเย็น “นั่งลงตั้งสติให้มัน หลับตาและตามปราณของข้าที่จะใส่ไปยังตัวเจ้า วิ่งตามมันไปเรื่อยๆ มันจะพาเจ้าไปหาขุมพลังปราณเซียนของเจ้า จากนั้นแตกกระจายมันออกไปยัง หกจุดหลักที่ได้เปิดเอาไว้ เข้าใจที่พูดไหม” ประโยคสุดท้ายกดเสียงต่ำ เน้นถึงความสำคัญ

หวงซื่อซิงถาม “แต่ข้าจะอยู่ได้อย่างไรว่า เป็นขุมพลังขอรับ”

ท่านลุงยิ้ม “เจ้าจะรู้เอง มันเป็นของของเจ้า เจ้าย่อมคุ้นเคย”

หวงซื่อซิงหลับตาลง พอรวมรวมสมาธิได้จึงมองเห็นพลังสายหนึ่งวิ่งพล่านอยู่ภายในเป็นเส้นสีเหลือง เขาตั้งจิตมั่นและตามมันไป เส้นสีเหลืองวิ่งสลับวนจนวุ่น สักครู่ก็มี สีเขียว แดง ฟ้าเต็มไปหมด แต่ไม่มีสีไหนเด่นชัดเท่าเจ้าแสงสีเหลืองนี้ จิตใต้สำนึกของตนบอกให้ตามเจ้านี่ไปไม่ใช่เส้นอื่น เขาจึงมองข้ามทุกอย่างและมุ่งมั่นตามมันไปอย่างไม่ลดละ ความรู้สึกเดี๋ยวก็เหมือนจมน้ำ เดี๋ยวก็เหมือนลอยอยู่ในอากาศ สักพักเหมือนโดนเข็มนับพันทิ่มลงมา หวงซื่อซิงกัดฟันกรอด ข่มความรู้สึกเจ็บลงไป ทำเป็นไม่สนใจความรู้สึกพวกนั้น ยังคงมุ่งมั่นตามพลังเส้นสายสีเหลืองอย่างไม่ลดละความเร็ว

สักพักรู้สึกเหมือนความเร็วของเจ้าแสงนี่จะช้าลง ความรู้สึกสบายตัวเหมือนลอยอยู่ในห้วงอวกาศ หวงซื่อซิงมองดูรอบๆ ถึงกับตกตะลึง เขาเหมือนอยู่ในอวกาศ ที่รายล้อมด้วยดวงดาวขนาดเล็ก ๆ เป็นล้านดวง ราวกับว่ามองเห็นกาแล็กซี่หนึ่งที่มีดวงดาวจำนวนมากกำลังก่อตัวอยู่และหมุนเป็นวงกลมแบบก้นหอยเข้าสู่จุดศูนย์กลาง

อา...นี่หรือเปล่านะที่ เรียกกันว่าแก่นขุมพลังทิพย์

ในที่สุดก็หาจนเจอ หวงซื่อซิงหลับตา และรู้สึกถึงบางอย่างค่อยๆไหลอาบเข้ามาสู่ร่างกายของตนราวกับสายน้ำ เริ่มจากเท้าทั้งสองข้าง เข้ามาที่ฝ่ามือทั้งสอง แล้วไหลรวมมาอยู่ที่อก จากนั้นวิ่งขึ้นสู่หน้าผาก รู้สึกอุ่นสบายเหมือนเด็กทารกน้อยที่อยู่ในครรภ์มารดา รู้สึกคุ้นเค้ยกับสิ่งนี้มาก เหมือนกับว่าเคยได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันมาแสนนาน เมื่อพลังสายสุดท้ายไหลเวียนทั่วร่างกายแล้ว หวงซื่อซิงจึงลืมตาขึ้น

เหวออออออ เขาลอยอยู่หรือนี่ ลอยจริงๆด้วย นึกว่าแค่รู้สึกไปเองซะอีก ด้วยความตกใจและเป็นครั้งแรกจึงไม่ได้ทันระวัง หวงซื่อซิงร่วงลงมาสู่พื้นด้วยความเร็ว

หวงซื่อซิงหลับตาปี๋ ตายแน่ คราวนี้ได้ตายจริงแน่ สูงขนาดนี้

แต่จู่ๆ กลับรู้สึกถึงอ้อมแขน สองข้างที่มาโอบกอดเขาไว้

หวงซื่อซิง ลืมตาขึ้น “พี่สามเป็นท่านเหรอ”

หวงซานหานตอบ “แน่นอน จะให้เป็นใครล่ะ”

หวงซื่อซิงถามต่อ “ท่านบินได้แล้วหรือ เหาะได้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

หวงซานหานตอบ “นานแล้ว”

หวงซื่อซิงสีหน้าบึงตึง “ทำไมข้าไม่เคยรู้มาก่อนล่ะ”

หวงซานหาน “เจ้าไม่เคยถาม”

หวงซื่อซิงทำเสียโกรธ “ท่านขี้โกงนี่ แล้วข้าจะตามทันได้อย่างไร”

หวงซานหานทำหน้ารำคาญ “เจ้าย่อมไม่มีวันตามข้าทันอยู่แล้ว”

ถึงมันจะเป็นเรื่องจริงแต่หวงซื่อซิงไม่มีวันยอมรับหรอก ทำไมนะเหรอ เพราะพี่ชายเขาทะลวงจุดปราณในครั้งแรกได้ถึง 8 จุดนะสิ และเป็นธาตุปราณเพลิง ซึ่งเป็นธาตุที่แข็งแกร่งสายหนึ่ง จะเรียนอะไรก็ได้ ขนาดยังไม่ได้เข้าสำนักยังใช้แค่พลังของตนเองเหาะเหินได้ขนาดนี้ ถ้าได้รับการชี้แนะ คงรุดหน้าได้อย่างรวดเร็ว

เมื่อเท้าแตะพื้นแล้ว ทุกคนก็มาพร้อมหน้ากัน สีหน้าแช่มชื่น หมดความกังวลเพราะการทดสอบทั้งสามขั้นตอน ผ่านลุล่วงไปด้วยดี ท่านพ่อเดินเข้ามาก่อน “เจ้าทำได้ดีมาก”

ตามด้วยพี่ใหญ่ “น้องเล็กพี่ดีใจด้วย”

หวงซื่อซิงยิ้มหน้าบาน “ขอบคุณขอรับ ท่านพ่อ พี่ใหญ่”

พี่รองเดินเข้ามากอด “แบบนี้เราต้องจัดงานเลี้ยงใหญ่แล้วล่ะ”

ท่านแม่เดินน้ำตาคลอเข้ามา “แม่ภูมิใจในตัวเจ้ามาก” จากนั้นก็ดึงหวงซื่อซิงเข้าไปกอด น้ำตาแห่งความตื้นตันไหลพราก วันนี้ช่างเป็นวันดี จริงๆ หวงซื่อซิง คิดดีที่รอดมาได้

ท่านลุงกล่าวขึ้น “ลุงแนะนำให้เจ้าทั้งสองคนไปลองทดสอบ ที่สำนักโอสถทิพย์ดู”

หวงซานหาน กล่าวเสียงดัง “ท่านลุงจะให้พวกข้า เป็นนักปรุงโอสถทิพย์ อย่างนั้นหรือขอรับ”

ในโลกใบนี้ สำนักโอสถทิพย์ เป็นสำนักเซียนอันดับหนึ่ง กล่าวคือ ลูกศิษย์ของที่นี่เป็นได้ทั้งบุ๋น และบู้ ชื่อก็บอกว่าโอสถทิพย์ก็ต้องผลิตยาและรักษาผู้คนด้วย แต่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถทำยาได้ ยาทิพย์ก็ต้องใช้ไฟทิพย์ในการหลอม โดยการใช้สมุนไพรที่หายากกลั่นโอสถทิพย์ออกมา ยิ่งพลังปราณสูง โอสถทิพย์ที่ได้ก็ยิ่งมีพลังการรักษาที่สูงไปด้วย ใช้ได้ทั้งการเพิ่มพลัง และการรักษา นอกจากนี้ยังเชี่ยวชาญเรื่องการใช้พิษและถอนพิษจนแยกสาขาไปอีกยอดเขาหนึ่ง ศิษย์ที่นั่นจะเรียนเรื่องพิษโดยเฉพาะ ถึงแม้จะชื่อ สำนักโอสถทิพย์แต่เรื่องกระบี่ก็ไม่ได้เป็นรอง จึงกล่าวได้ว่า เก่งทั้งบุ๋นและบู้ ต่อให้ไม่เก่งเรื่องการใช้กระบี่ฟาดฟัน แต่หากมีความสามารถในการปรุงยาโอสถทิพย์ละก็ย่อมมีผู้คนต้องการตัว เคารพนับถือ ขนาดเป็นแค่นักปรุงโอสถทิพย์ระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นชั้นต่ำสุด ก็สามารถรักษาชาวบ้านจนเป็นหมอเทวดาได้แล้ว

ท่านพ่อกล่าวขึ้นอย่างกังวล “ท่านพี่ ที่นั่นขึ้นชื่อเรื่องการรับศิษย์ยาก”

ท่านลุงหัวเราะอย่างสบายใจ “ด้วยความสามารถของพวกเขาทั้งสอง สบายมาก”

ท่านลุง ท่านไปเอาความมั่นใจนั่นมาจากไหนว่าข้าจะสามารถเข้าสำนักอันดับหนึ่งนี้ได้ล่ะเนี่ย

ท่านลุงกล่าวต่อว่า “เจ้าสามทะลวงปราณครั้งแรกได้ถึง 8 จุด ซ้ำยังเป็นธาตุไฟชั้นกลางแล้ว ย่อมต้องหลอมโอสถทิพย์ได้อย่างไม่ยากเย็น ส่วนเจ้าสี่ มีธาตุปราณน้ำแข็ง ถึงแม้ไม่ใช่ธาตุไฟ แต่หลอมโอสถทิพย์ได้ดีกว่า ด้วยธาตุเย็นนั้นสามารถดึงเอาสรรพคุณของสมุนไพรออกมาทำยาได้โดยไม่โดนความร้อนแผดเผาให้เสียไปแม้แต่สักส่วน จึงทำให้ยาที่ได้จากการธาตุเย็นนั้นจะมีสรรพคุณมากกว่าธาตุไฟเป็นเท่าตัว อีกทั้งธาตุน้ำแข็งเป็นธาตุที่หายากน้อยคนนักที่จะมี เป็นอย่างไรเล่าฟังลุงพูดแล้ว พอมีกำลังใจขึ้นบ้างไหม”

ธาตุน้ำแข็ง หลอมโอสถทิพย์ คงจะคล้ายๆ กับการสกัดเย็นละมั้ง

เมื่อผู้อาวุโสแนะนำมา มีหรือผู้น้อยจะกล้าปฎิเสธ

หวงซานหาน และหวงซื่อซิง คุกเข่าลงคารวะ ก่อนกล่าวพร้อมกัน “หลานทั้งสอง น้อมรับคำแนะนำจากท่านลุง ขอรับ”

“อีกสามเดือนก็จะมีการคัดเลือกรับศิษย์ใหม่แล้ว พวกเจ้าเตรียมตัวให้ดี คัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง ข้าจะให้ลูกศิษษ์ ส่งมาให้ทีหลัง ข้ามีธุระต้องไปแล้ว ช่วงนี้ข่าวว่ามีปีศาจอาละวาด แถวเมืองปิงซาน ข้าต้องไปดูเสียหน่อย” ว่าแล้วก็ไปเลย ท่านลุงวาดเรียกกระบี่ ก่อนกระโดดขึ้นขี่กระบี่ เหาะจากไป

หลานทั้งสี่คนกล่าวขึ้นพร้อมกัน “น้อมส่งท่านลุง”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel