บทที่ 3 ดอกไม้ในใจไม่อาจผลิบาน
บทที่ 3
ดอกไม้ในใจไม่อาจผลิบาน
ตัดใจ
เรือนร่างเปลือยเปล่ายังคงนอนนิ่งราวกับตุ๊กตางดงามที่ไร้ชีวิต ใบหน้าของนางซีดขาวไร้เลือดฝาด ดวงตาเหม่อลอยคลอไปด้วยหยาดน้ำใสที่ยังคงรินไหลออกมาเป็นสายราวกับไม่มีวันแห้งเหือด
ไหล่บางงองุ้ม ก่อนที่ริมฝีปากสีชาดจะค่อยๆ เบะเบี้ยวเหยเก จากนั้นเสียงร้องไห้และเสียงสะอื้นจึงพรั่งพรูออกมาราวกับทำนบกั้นน้ำที่พังทลายลง
“ฮือ...”
เหมือนหัวใจกำลังจะถูกฉีกขาดเป็นชิ้นๆ
สัมผัสกักขฬะหยาบคาย การอุ่นเตียงที่ไม่มีการกอดจูบโอนอ่อนอย่างคนเป็นสามีภรรยา มันคือการเสพสมราคะเพื่อสืบเผ่าพันธุ์ที่เจือไปด้วยความเกลียดชังขยะแขยง
‘ดอกไม้ในหัวใจข้า เพียงแค่แย้มกลีบตูม แต่มิอาจแบ่งบาน ด้วยถูกรดด้วยหยาดน้ำตาจึงได้แห้งเฉา...สลายไป
พอแล้ว...
ข้าเจ็บปวดมามากพอแล้ว ข้าไม่อยากเจ็บปวดอีกแล้ว ข้าจะไม่รักท่านอีกแล้ว’
หลี่เสี่ยซีสะอื้นฮักคู้กายงอตัวราวกับเด็กทารกน้อยในครรภ์มารดา ดวงตาแดงก่ำค่อยๆ พริ้มหลับลงช้าๆ
‘หากท่านแม่ยังมีชีวิต ข้าคงไม่รู้สึกราวกับกำลังเดินหลงทางอยู่ในเขาวงกตอันแสนทุกข์ตรมเช่นนี้ ข้าคิดถึงท่านแม่เหลือเกิน’
แม้จะหลับตาลง ทว่าหยาดน้ำตายังคงไหลซึมผ่านแพขนตาหนาออกมาจนเปียกปอนใบหน้างดงามไม่ขาดสาย
หลี่เสี่ยซีเป็นบุตรสาวคนที่สี่ของขุนนางหลี่ นางมีพี่ชายต่างมารดาซึ่งเกิดจากอนุภรรยาสามคน เป็นบุตรคนที่สี่และเป็นบุตรสาวคนแรกและคนเดียวที่เกิดจากภรรยาเอก ทว่าเมื่อนางมีอายุครบเจ็ดปี มารดาผู้มีร่างกายอ่อนแอก็ค่อยๆ ล้มเจ็บและจากโลกนี้ไป ซึ่งช่วงระยะเวลาต่อจากนั้นนางก็เริ่มมีน้องชายและน้องสาวซึ่งเกิดจากอนุภรรยาคนอื่นๆ ออกมาตามลำดับนับสิบคน
บิดาของนางนั้นเป็นชายที่ชื่นชอบในกามารมณ์ อีกทั้งยังมีความเชื่อว่าบุรุษที่มีภรรยามากมายเป็นผู้มีอำนาจวาสนา จึงมีอนุภรรยาและบุตรชายบุตรสาวมากมาย แต่ถึงอย่างนั้นบิดาก็รักและยกย่องมารดาของนางให้เป็นที่หนึ่งเสมอมา
ไม่รู้ว่า..เพราะ ‘รัก’ หรือเพราะมารดาของนางเป็นบุตรสาวคนโปรดของขุนนางระดับสูงหลี่เสี่ยซีก็ไม่อาจหยั่งลึกลงไปในใจของบิดา แต่สิ่งที่นางรับรู้คือมารดามักจมอยู่กับความทุกข์และมีเหตุขัดแย้งกับเหล่าอนุภรรยาของบิดาเสมอๆ
‘ซีเอ๋อร์...เจ้าคือความสุขของแม่ เจ้าจะต้องเติบโตอย่างงดงาม และมีชีวิตคู่ที่มีความสุข อย่าได้อาภัพเหมือนแม่...’
เมื่อมารดาผู้เป็นภรรยาเอกเสียชีวิตลงเพียงหนึ่งเดือน บิดาก็พาภรรยาคนใหม่เข้ามา ภรรยาคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่คือ ‘โจวก้านลู่’ ท่านป้าของเสี่ยซีนั่นเอง
ท่านป้าเข้ามาเป็นภรรยาเอกแทนที่น้องสาวผู้ล่วงลับ หลี่เสี่ยซีรู้สึกอบอุ่นทุกครั้งเมื่อได้อยู่ในอ้อมกอดของผู้เป็นป้าที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายมารดา อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมคล้ายกัน
ทว่าท่านป้ามีบุตรสาวหนึ่งคนชื่อว่า ‘โจวจื่อลู่’ เป็นลูกผู้พี่ที่มีอายุมากกว่านางสองปี จื่อลู่แสดงชัดว่าเกลียดชังนาง และพยายามแย่งทุกสิ่งทุกอย่างไปจากนางเสมอ
ตำรา เครื่องประดับ ขนม ของเล่น ล้วนถูกญาติผู้พี่แย่งชิง หากแย่งไปไม่ได้ก็จะลักลอบแอบมาทำลายให้เสียหาย
ทั้งสองทะเลาะเบาะแว้งกันหลายครั้ง ซึ่งทุกครั้งบิดามักจะเข้าข้างจื่อลู่เสมอ อีกทั้งยังชี้หน้าด่าทอว่านางเป็นเด็กใจแคบ เห็นแก่ตัว นำความน้อยใจมาให้เสี่ยซีจนไม่อาจเก็บซ่อนเอาไว้ได้
ทว่าท่านป้ามักจะมาปลอบโยนและโอบกอดนางเอาไว้อย่างแสนรัก อีกทั้งยังขอให้เสี่ยซีสงสารและเห็นใจญาติผู้พี่ที่กำพร้าบิดาตั้งแต่เด็ก จึงอาจทำให้มีนิสัยก้าวร้าวและเอาแต่ใจไปบ้าง แต่ทว่าเนื้อแท้นั้นจื่อลู่เป็นคนดีและมีน้ำใจ
เสี่ยซีเชื่อเช่นนั้น ทว่าหนึ่งปี สองปี สามปี และจนบัดนี้นางกลับไม่เคยเห็นเนื้อแท้แสนดีของญาติผู้พี่เลยแม้แต่ครั้งเดียว เห็นแต่ความอิจฉาริษยาที่เกาะกุมหัวใจญาติผู้พี่จนไม่อาจสลัดหลุด
เมื่อนางเติบโตเป็นสาวสะพรั่ง บิดาที่ไม่ได้รักใคร่ใยดีในตัวนางหมายจะเป็นทองแผ่นเดียวกับตระกูลหยาง อยากได้โหวหนุ่มมาเป็นบุตรเขย แต่ครั้นจะยกบุตรสาวที่เกิดจากอนุภรรยาก็เกรงจะไม่สมเกียรติ จึงจำต้องยกนางซึ่งเป็นบุตรสาวจากภรรยาเอก เมื่อผู้ใหญ่สองตระกูลเห็นพ้องต้องกัน ผู้เป็นบุตรธิดาจึงไม่อาจคัดค้าน
การหมั้นหมายกว่าสองปีแทนที่จะสร้างความสนิทสนมรักใคร่ แต่กลับยิ่งเป็นการสร้างรอยร้าวในหัวใจโดยไม่อาจประสาน
ทั้งที่นางและเขาเคยพบกันมาก่อน และเคยมอบความรู้สึกดีๆ ให้แก่กันในคืนวันเทศกาลลอยโคมบูชาเทพเจ้า แต่เมื่อมาพบกันอีกครั้งในฐานะคู่หมั้น ทุกอย่างกลับตาลปัตรราวกับพลิกแผ่นฟ้าทลายผืนดิน
จนทุกวันนี้หลี่เสี่ยซีก็ยังไม่เข้าใจ ว่าความสัมพันธ์ระหว่างนางกับท่านโหว มันเกิดความผิดพลาดจากจุดใดกันแน่
‘ท่านแม่ข้าขอโทษ ข้าไม่อาจทำให้ท่านแม่สมหวัง ข้าไม่อาจมีชีวิตคู่ที่เต็มไปด้วยความสุขดั่งที่ท่านแม่ปรารถนาให้ข้าเป็นได้ เพราะชีวิตคู่ของข้าไม่ต่างจากการตกนรกทั้งเป็น’