4 สุดท้ายนางก็ไป
ตอนที่ 4 สุดท้ายนางก็ไป
หลังจากที่เหวินรุ่ยกลับมาถึงบ้าน นางก็ได้เริ่มลงมือทำงานฝีมือที่ละเอียดอ่อนเพียงลำพัง จนเวลาล่วงเลยไปห้าวันสุดท้ายคนที่ควรต้องไปก็ไปอยู่ดี
กู้หนิงที่มาบอกลาเหวินรุ่ยแล้ว ก็จากไปอย่างไม่หวนกลับ
“คุณหนู ให้ข้าช่วยเถอะเจ้าค่ะ”
ฮุยหลานที่คอยดูแลเหวินรุ่ยอาสาช่วยนางอีกแรง
“ได้สิ ข้าจะสอนพี่เอง”
เหวินรุ่ยค่อยๆ สอนฮุยหลาน พอผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ฮุยหลานก็ทำงานได้อย่างคล่องตัว จิ่งเหวินรุ่ยจึงเริ่มวางขายเครื่องประดับของนางในร้านผ้าไหมตรงด้านหน้าทางเข้า เพื่อให้ผู้คนมองเห็นได้ง่ายขึ้น
“ชาวบ้านเขาซุบซิบอันใดกันหรือเจ้าคะ”
ฮุยหลานเห็นชาวบ้านจับกลุ่มคุยกันนางจึงเกิดความสงสัยและพูดออกมาในขณะจัดวางเครื่องประดับอย่างบรรจง
“ช่างเถอะ ข้าว่าเราให้ความสนใจกับงานตรงหน้ากันเถอะนะ”
จิ่งเหวินรุ่ยเหล่ตามองไปทางฝูงชนที่รวมกลุ่มกัน ก่อนจะพบว่าพวกนางมองมาทางร้านผ้าไหมด้วยสายตาแปลกๆ
(นี่หรือว่า…จะเป็นข่าวการตายของพี่กู้หนิงกันนะ) เหวินรุ่ยได้แต่แอบคิดในใจ แต่พอผ่านไปไม่นานก็ได้มีท่านป้าคนหนึ่งเดินมาถามไถ่ และได้บอกว่าเกิดเรื่องกับแม่นางกู้หนิงเข้าแล้ว จนพี่สาวฮุยหลานที่ยืนฟังอยู่ข้างๆ ถึงกับเป็นลมล้มพับไป
“สุดท้ายนางก็ไม่ได้ฟังคำร้องทักของข้าเลย” จิ่งเหวินรุ่ยผ่อนลมหายใจออกมาอย่างไม่สบายใจนัก ทว่าชะตากรรมของแต่ล่ะคนมันก็โหดร้ายเช่นนี้อยู่แล้ว แม้แต่ตัวข้าเองก็ไม่ได้สมหวังเช่นกัน
การกลับมาของข้าในครั้งนี้ไม่รู้ว่าจะร้ายหรือดี อย่างไรก็ตามข้าก็ตัดปัญหาที่จะทำให้ข้าล้มตายลงไปได้แล้ว
“คุณหนู…” ฮุยหลานที่ฟื้นขึ้นมาเอ่ยเรียกคุณหนูของตน แต่พอนึกขึ้นมาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น น้ำตาใสๆ ก็ได้ไหลอาบแก้มเนียนนั่นอย่างห้ามไม่ได้
“ทำใจเสียเถอะพี่ฮุยหลาน หากนางรู้ว่าท่านร้องไห้จนน้ำตาแทบจะเป็นสายเลือดเช่นนี้ วิญญาณของนางที่คอยเฝ้ามองเราอยู่คงไม่สงบสุข”
“เจ้าค่ะคุณหนู ข้าจะไม่ร้องไห้ให้นางลำบากใจ และให้นางจากไปด้วยดีเจ้าค่ะ”
ฮุยหลานฟังคำของคุณหนูแล้วปาดน้ำตาออกจากใบหน้า และฝืนยิ้มออกมาทั้งที่ใจแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ
“ท่านทำถูกแล้ว หากพี่กู้หนิงเห็นท่านใช้ชีวิตที่เหลือแทนนางได้อย่างดี นางต้องมีความสุขอย่างแน่นอน”
“เจ้าค่ะคุณหนู ข้าจะใช้ชีวิตที่เหลือแทนนาง และข้าจะมีความสุขอย่างแน่นอน” ฮุยหลานยิ้มอ่อน และมองไปทางหน้าร้านอย่างเหม่อลอย จนกระทั่งมีลูกค้าเข้าร้านมานางถึงได้กลับมามีสติอีกครั้ง
“ท่านพ่อ…” เหวินรุ่ยกล่าวทักทายบิดาที่เดินออกมาจากห้องทำงานด้านใน
“เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ พ่อได้ยินเสียงคนเอะอะโวยวายเมื่อครู่ คงไม่ใช่ว่ามีลูกค้าไม่พอใจร้านเราหรอกนะ”
“หาใช่เรื่องนั้นไม่เจ้าค่ะ เพียงแค่พวกข้าได้ยินข่าวการจากไปของพี่สาวกู้หนิงเข้าเพียงเท่านั้น”
“กู้หนิงรึ! แต่นางไปทำงานที่จวนเสนาบดีทางเหนือแล้วไม่ใช่หรือ” จิ่งจงอี้ถามขึ้นพร้อมกับความสงสัย
“เจ้าค่ะ แต่ข่าวการตายของนางก็แพร่สะพัดมาถึงที่นี่ สงสัยว่าจะเป็นเรื่องจริง”
“นางคงไปทำให้ใครไม่พอใจเข้าล่ะสิ ข้าเตือนนางแล้วว่าอย่าหวังจะสุขสบายในที่ใหญ่โตมากเกินไปนางก็ไม่ฟังข้า เฮ้อ… น่าเศร้าจริงๆ” จิ่งจงอี้ส่ายหน้าไปมาก่อนจะถามไถ่บุตรสาวว่าขายเครื่องประดับที่นางตั้งใจทำได้บ้างหรือไม่
“เครื่องประดับที่ลูกทำออกมาราคาค่อนข้างแพงเจ้าค่ะ ถึงจะมีลูกค้าให้ความสนใจอยู่บ้างทว่าพวกนางก็สู้ราคาของมันไม่ไหว” จิ่งเหวินรุ่ยยิ้มบางๆ แล้วตอบบิดาไปตามจริง
“ไม่ใช่ว่าเจ้าตั้งราคาแพงเกินไปใช่หรือไม่” จิ่งจงอี้เลิกคิ้วทั้งสองข้างขึ้น หากเป็นไปตามที่นางบอก ของเหล่านั้นก็ไม่ได้แพงอะไรมากพอที่จะจับต้องไม่ได้ แต่เพราะอันใดกัน ของเหล่านั้นที่แสนจะประณีตถึงขายไม่ออกเลยสักชิ้น
“ฮ่าฮ่า ข้าหลอกท่านพ่อไม่ได้เลยจริงๆ อันที่จริงราคาพื้นฐานของมันก็ไม่ได้สูงเทียมฟ้า แต่ค่าราคางานฝีมือของลูกต่างหากที่แพงหูฉี่” เหวินรุ่ยหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะอธิบายให้ผู้เป็นพ่อฟัง ว่า ราคาของมันไม่ว่าจะถูกหรือแพงแต่สุดท้ายหากผู้คนชอบอย่างไรเสียอีกไม่นานก็ขายได้
“เช่นนั้นเจ้าตั้งราคาไว้ที่เท่าไหร่งั้นหรือ” จิ่งจงอี้พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของบุตรสาว และถามไถ่ราคาที่นางตั้งเอาไว้
“อย่างต่ำก็ชิ้นล่ะสิบตำลึงเงินเจ้าค่ะ” เหวินรุ่ยส่งยิ้มหวานพร้อมกับโอ้อวดผลงานของนางอย่างภูมิใจ
“ลูกพ่อ… เครื่องประดับเท่าหัวแม่มือของเจ้ามันจะไม่แพงไปหน่อยหรือ นี่มันไม่ต่างจากการปล้นเงินกันเลยนะ แถมราคาวัสดุของมันก็ไม่ได้แพงถึงขนาดนั้นไม่ใช่รึ” จิ่งจงอี้ถึงกับอึ้งในราคาของเครื่องประดับชิ้นจิ๋ว นั่นไม่เท่ากับว่าหากนางขายได้ชิ้นหนึ่งก็เท่ากับราคาผ้าหลายพับเลยหรือ
“ท่านพ่ออย่าห่วงไปเลยเจ้าค่ะ อีกไม่นานก็ต้องมีคนชอบมัน และยอมจ่ายในราคานี้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ” เหวินรุ่ยบอกผู้เป็นพ่อไปว่า ถึงราคาที่ตั้งไว้จะสูงไปหน่อย แต่ของเหล่านี้ไม่ได้เน่าเสีย หากดูแลดีๆ ในวันข้างหน้าก็จะอยู่ในสภาพที่ดีเช่นเคย
จิ่งจงอี้ยิ้มอ่อนให้กับบุตรสาว มันก็จริงที่ว่าเครื่องประดับเหล่านี้เก็บไว้ได้นาน แต่หากทำออกมาแล้วไม่ได้ขายเลยสักชิ้นเช่นนั้นเงินที่ลงทุนไปคงจะศูนย์เปล่าอย่างไร้ประโยชน์ แต่ถึงอย่างนั้น ของเหล่านี้ก็อาจทำให้บุตรสาวของเขามีความสุขได้ จงอี้จึงปล่อยให้นางทำตามที่ต้องการ ขอแค่นางไม่ซื้อของฟุ่มเฟือยมากจนเกินไปก็เป็นพอ
“แม่นางปิ่นปักผมนี่ราคาเท่าไหร่หรือ” ลูกค้าท่านหนึ่งที่เลือกผ้าไหมมาหลายพับ เดินมาเห็นเครื่องประดับที่ต้องตาจึงเอ่ยถาม
“ชิ้นนั้นแปดตำลึงเงินเจ้าค่ะ” เหวินรุ่ยตอบอย่างนอบน้อม แม้ในตอนแรกแม่นางผู้นั้นจะดูตกใจในราคาที่แสนแพง แต่พอเหวินรุ่ยได้แนะนำชิ้นอื่นๆ ของนางและบอกว่ามีบางชิ้นมันสามารถเรืองแสงในยามค่ำคืนได้ แม่นางผู้นั้นก็ไม่ลังเลที่จะซื้อมันกลับไปด้วยหนึ่งชิ้น
“ลูกพ่อเจ้าขายมันได้จริงหรือนี่” จิ่งจงอี้ที่ยืนดูอยู่ห่างๆ ถึงกับดวงตาเบิกกว้างอย่างตกใจ พอลูกค้าเดินออกจากร้านผ้าไหมไปแล้วเขาถึงกับเดินมาดูใกล้ๆ อย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง
“อย่างที่ท่านพ่อได้เห็นนั่นแหละเจ้าค่ะ ในที่สุดข้าก็ขายชิ้นแรกได้แล้ว นี่เจ้าค่ะ เงินตำลึงเงินนี่เป็นของท่านพ่อนะเจ้าคะ” เหวินรุ่ยส่งเงินสิบตำลึงเงินให้กับผู้เป็นบิดา
“เจ้าให้พ่อรึ?” จิ่งจงอี้ดวงตาสั่นไหว
“แน่นอนเจ้าค่ะ ของชิ้นแรกของข้าและชิ้นต่อๆ ไปหากขายได้ข้าจะแบ่งปันกำไลให้กับท่านอย่างแน่นอน” เมื่อเหวินรุ่ยพูดจบ จงอี้ก็ยิ้มกว้างแล้วขอตัวเข้าไปทำงานด้านในต่อ
“จ้าวหลิง บุตรสาวของเราช่างดีเหลือเกิน เจ้าเห็นหรือไม่ว่านางเก่งขนาดไหน นางทำเงินจากของแค่ไม่กี่อีแปะจนได้เงินมา นางช่างเหมือนเจ้าเหลือเกินที่เก่งด้านนี้” เมื่อเดินเข้ามาในห้องทำงาน น้ำตาแห่งความภาคภูมิใจก็ไหลออกมาจนเขาต้องเงยหน้าขึ้นเพื่อให้น้ำตาไหลย้อนกลับไปทางเดิม และแสดงสีหน้าที่แสนจะยินดีนั่นออกมาอย่างห้ามไม่ได้
“นี่สำหรับท่านพี่สาวของข้า” เหวินรุ่ยมอบเงินร้อยอีแปะให้กับฮุยหลานเพื่อเป็นการตอบแทนที่นางคอยช่วยงานนางอีกแรงอย่างสม่ำเสมอ
“คุณหนูนี่มัน…”
“รับไปเถอะ หากวันหน้าท่านช่วยข้าทำงานฝีมืออีกและขายได้ท่านก็จะได้รับส่วนแบ่งเช่นกัน ข้ารู้นะเจ้าคะ ว่าท่านต้องการเงินเพื่อส่งไปให้ทางบ้าน เช่นนั้นแล้วหากท่านอยากตอบแทนข้า ท่านก็ต้องอยู่กับข้าและช่วยงานข้าไปนานๆ” เหวินรุ่ยยิ้มอ่อนก่อนจะยัดเงินใส่มือให้นางไป แล้วหันไปสนใจกับเครื่องประดับในมือที่กำลังจัดวางอย่างเป็นระเบียบ
ของเหล่านี้มีเพียงแค่ยี่สิบชิ้นขายไปได้แล้วหนึ่งชิ้น กลับบ้านไปข้าต้องทำเพิ่มอีกหน่อย ดูท่าแล้วคนส่วนมากจะจับต้องได้ยาก เช่นนั้นข้าจะทำเครื่องประดับเช่นต่างหูเพิ่มมาอีกก็แล้วกัน เหวินรุ่ยฮำเพลงอย่างอารมณ์ดี ส่วนฮุยหลานที่ได้รับแรงใจจากผู้เป็นนายก็เริ่มยิ้มออก และตั้งใจช่วยงานขายผ้าไหมในร้านไปพร้อมกับคอยดูลูกค้าที่แวะเวียนมาดูเครื่องประดับอย่างมีความสุข