3 ข้าไม่รักท่านแล้ว
ตอนที่ 3 ข้าไม่ชอบท่านแล้ว
“เคาะประตูอีกครั้งงั้นหรือ เจ้ายังจะเคาะเรียกนางอีกทำไมกัน เจ้าดูไม่ออกหรือไงว่าพวกเขาจงใจปั่นหัวเจ้าอยู่น่ะ” หวังซ่านหลงหันไปต่อว่าบุตรชายผู้ไม่ได้ความ
“ท่านพี่ใจเย็นๆ นะเจ้าคะ ท่านอย่าต่อว่าลูกเลย” หวังเมิ่งซีรีบไปปลอบประโลมสามีให้ใจเย็นลง ทว่าคำพูดของนางนั้นกลับยิ่งทำให้เขาหัวร้อนหนักขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
“เจ้าหาว่าข้าใจร้อนงั้นหรือ” หวังซ่านหลงหันไปมองเขม่นภรรยาที่กล่าวหาว่าเขาอารมณ์ร้อน แถมยังบอกให้เขาใจเย็นๆ ลงอีก
“ข้าไม่ได้…” ยังไม่ทันที่หวังเมิ่งซีจะได้ตอบ หวังซ่านหลงก็ตะคอกใส่นาง
“กลับ!!! ในเมื่อพวกเขาทำเช่นนี้กับเรา ต่อจากนี้ พวกเราก็ไม่ต้องมาเหยียบที่นี่อีก ถือเสียว่าตัดขาดความสัมพันธ์กันตั้งแต่บัดนี้” หวังซ่านหลงลั่นวาจาออกมาเสียงดัง จนคนงานที่อยู่ด้านในและจิ่งจงอี้ได้ยินอย่างชัดเจน
“ท่านพ่อลูกขอโทษนะเจ้าคะ เป็นเพราะลูกแท้ๆ ท่านถึงได้ผิดใจกันกับตระกูลหวัง” จิ่งเหวินรุ่ยก้มหน้าสำนึกผิด เมื่อเห็นว่าผู้เป็นพ่อถอนหายใจเสียงดังออกมา ถึงลึกๆ นางจะรู้สึกดีใจ แต่พอเห็นท่านพ่อกระวนกระวายใจนางก
“เจ้าไม่ผิดหรอก ดีแล้วล่ะที่วันนี้เราได้เห็นธาตุแท้ของพวกเขาในมุมที่ต่างออกไป พ่อไม่คิดว่าหวังซ่านหลงจะปากคอเราะร้ายได้เช่นนี้ ไม่รู้ว่าหากเจ้าตบแต่งออกไปจะร้ายหรือดีด้วยซ้ำ ดีแล้วล่ะที่เจ้ารีบบอกพ่อเสียก่อน” จิ่งจงอี้ลูบหัวบุตรสาวอย่างรักใคร่และเอ็นดู
(ขนาดนางยังไม่ได้แต่งเข้าบ้านหวังพวกเขายังทำเช่นนี้แล้ว หากนางได้แต่งเข้าไปจริงๆ นางจะถูกกดขี่ข่มเหงขนาดไหน) จิ่งจงอี้มองบุตรสาวเพียงคนเดียว และระบายยิ้มออกมาที่เขาตัดสินใจได้ถูกต้อง
(หากจิ่งจ้าวหลิงยังอยู่ นางคงจะดูแลบุตรของเราได้เป็นอย่างดี เสียดายที่นางจากไปไวเพราะโรคที่รักษาไม่หายเสียก่อน หากนางยังอยู่นางคงจะหาสามีที่ดีกว่านี้ให้กับเหวินรุ่ยได้เป็นแน่ จะน่าสงสารก็แต่บุตรสาวข้าที่ไร้มารดาสอนสั่ง ถึงอย่างนั้นข้าก็ไม่คิดที่จะมีเมียสองเมียสาม อย่าห่วงไปเลยนะจ้าวหลิง ข้าจะเลี้ยงดูบุตรสาวของเราให้ดี และไม่ให้ใครมาดูถูก หรือหยามศักดิ์ศรีของนางอย่างแน่นอน) จิ่งจงอี้แหงนมองบนฟ้าและเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย
“ท่านพ่อเจ้าคะ ตอนนี้บ้านของเราทำกิจการส่งออกผ้าไหมใช่หรือไม่เจ้าคะ” จู่ๆ จิ่งเหวินรุ่ยผู้ที่ไม่เคยถามถึงเรื่องที่มาของเงินก็เอ่ยปากถามขึ้น
“ใช่แล้วล่ะ ถึงแม้ว่าช่วงนี้การค้าจะซบเซาลงมาบ้าง แต่ร้านค้าของเราก็ยังพอมีผลกำไรอยู่” จิ่งจงอี้ตอบบุตรสาวไป (หรือว่านางจะไปรู้อะไรมาหรือเปล่านะ เหตุใดอยู่ๆ นางถึงได้ถามถึงเรื่องการค้าขึ้นมาเช่นนี้)
(ค้าขายผ้าไหมก็ดีอยู่หรอกนะ แต่เท่าที่ข้าจำได้ อีกไม่นานก็จะมีคนของราชการมาดูแลตรงส่วนนี้ หากคิดจะทำการค้าต่อ คงต้องป้อนเงินก้อนโตให้กับพวกเขาเพื่อเป็นการเปิดทาง หากจะพูดถึงเรื่องเงินๆ ทองๆ อีกไม่นานของที่มีราคาน่าจะเป็นเครื่องประดับเสียมากกว่า แม้ว่าช่วงนี้จะยังไม่ได้รับการนิยมนัก ทว่า อีกไม่กี่ปีข้างหน้าพวกของตกแต่งร่างกาย และของฟุ่มเฟือยเหล่านั้นจะเข้ามาแทนที่พวกสิ่งของเก่าๆ)
“ท่านพ่อเจ้าคะ ข้าอยากจะขายพวกเครื่องประดับต่างๆ เราสามารถนำมันมาขายเพิ่มเติมได้หรือไม่เจ้าคะ”
“เจ้าหมายความว่าเช่นไรหรือลูกพ่อ หรือเจ้าอยากรับช่วงต่อจากพ่อแล้วงั้นรึ” จิ่งจงอี้ยิ้มกว
“ลูกไม่ได้ต้องการเช่นนั้นเลยเจ้าค่ะ ลูกเพียงแค่ต้องการมุมเล็กๆ ในร้านผ้าไหมเพื่อขายเครื่องประดับสำหรับชนชั้นสูงเพียงเท่านั้น”
“เครื่องประดับก็ดี หากเจ้าชอบพ่อก็จะสนับสนุน”
จิ่งจงอี้ยิ้มออกมาแม้ว่าในใจของเขาจะคิดไปว่ามันต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก แต่หากมันทำให้บุตรสาวหายเศร้าได้ เขาก็ยินดีที่จะทำมันเพื่อนาง
“ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ ข้าจะสร้างเครื่องประดับด้วยตนเอง หากข้าทำเช่นนี้ก็จะประหยัดต้นทุนได้มาก” จิ่งเหวินรุ่ยพอเดาได้ว่าตอนนี้การเงินของทางบ้านคงจะสะดุดอยู่ไม่น้อยนางจึงพูดในสิ่งที่คิดออกไป
“เอาตามที่เจ้าว่ามาได้เลย หากเจ้าต้องการให้พ่อช่วย เจ้าก็มาบอกพ่อได้ทุกเมื่อ” จิ่งจงอี้ยิ้มอ่อน เขาไม่คิดว่าบุตรสาวที่ใสซื่อไร้เดียงสาอย่างนาง จะกล้าคิดที่จะทำการใหญ่ด้วยลำแข้งของตนเองเช่นนี้
“เช่นนั้นวันนี้ช่วงบ่ายแก่ๆ ลูกขอไปเดินตลาดนะเจ้าคะ” จิ่งเหวินรุ่ยรีบอ้อนผู้เป็นบิดา
นางคิดเอาไว้แล้วว่าหากจะทำเครื่องประดับอย่างน้อยนางต้องใช้ของที่ราคาปานกลาง และวัสดุที่ทนทาน อีกอย่างในช่วงนี้ราคาสินค้าก็ไม่ได้แพงเหมือนแต่ก่อน หากจะซื้อมาตุนไว้ก็ไม่ได้เสียหายอันใด นางจึงอยากไปเดินดูของทุกชิ้นและเลือกมาด้วยมือของนางเองถึงจะถูกใจ
“ได้สิ หากเจ้าจะไปก็นำคนงานไปด้วยสักสองคน อย่างน้อยๆ หากพวกเจ้าพบเจอคนบ้านหวังจะได้หลบหลีกอันตรายได้”
“เจ้าค่ะท่านพ่อ” จิ่งเหวินรุ่ยขานรับพร้อมกับยิ้มอย่างมีความสุข
ตกบ่าย จิ่งหวังรุ่ยกับสาวใช้คนสนิททั้งสองก็ได้มาถึงตลาดด้วยการคุพร้อมจะเดินทางกลับบ้าน
“เดี๋ยวก่อน!!”
เสียงนุ่มทุ้มดังมาจากด้านหลังของเหวินรุ่ย มันเป็นเสียงที่นางคุ้นเคยและเกลียดชังในเวลาเดียวกัน แต่ในเมื่อเรื่องทั้งหมดมันไม่ได้เป็นไปตามเดิมเหวินรุ่ยจึงหยุดเดินและหันหลังกลับไปเผชิญหน้าทันที
“อ้าว! นั่นไม่ใช่คุณชายหวังหรอกหรือเจ้าคะ”
เหวินรุ่ยเป็นฝ่ายเอ่ยทักเขาก่อนและมีรอยยิ้มประดับไว้บนใบหน้า
“เหตุใดเมื่อเช้าเจ้าถึงไม่ได้อยู่บ้าน เราตกลงกันแล้วไม่ใช่หรือว่าจะคุยเรื่องงานแต่งของเราในวันนี้”
หวังต้าฟ่งเอ่ยถามอย่างเป็นกันเอง และเขาก็หวังว่าจะมาเจรจาโน้มน้าวนางให้จงได้
“เจ้ารู้หรือไม่ พอข้าไปถึงแล้วไม่พบเจ้า ใจข้าทรมานเพียงใด” หวังต้าฟ่งใช้คำหวานมาลวงหลอกเหวินรุ่ยตามเสต็ปของเขา ทว่าเหวินรุ่ยในยามนี้ดวงตาของนางไม่ได้มืดบอดเหมือนก่อนเก่าอีกแล้ว
“ท่านทรมานเพราะอันใดหรือเจ้าคะ” จิ่งเหวินรุ่ยแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ และถอยห่างออกจากเขาไปสองก้าวเมื่อเห็นว่าหวังต้าฟ่งจะเดินเข้ามาใกล้ตัวนาง
“เหวินรุ่ยใยเจ้าต้องทำท่าห่างเหินกันด้วยเล่า อีกไม่นานพอเราตกลงเรื่องสินสอดกันได้ เจ้ากับข้าก็จะเป็นสามีภรรยากันแล้วนะ” หวังต้าฟ่งพูดขึ้นและหยอดคำหวาน
จิ่งเหวินรุ่ยที่ได้ยินคำที่เสียดแทงหูนางก็ถึงกับเบือนหน้าหนีไปอีกทางแล้วบอกว่านางต้องไปทำธุระต่ออีก พร้อมกับขอตัวลา
“เหวินรุ่ยเจ้าต้องการให้ข้าไปด้วยหรือไม่”
หวังต้าฟ่งยังพยายามชวนเหวินรุ่ยคุยละยื้อนางไว้ด้วยคำพูดอ่อนหวาน เพราะเขาไม่สามารถเข้าใกล้นางได้เลย เนื่องจากมีสาวใช้คอยกันท่าและคนงานชายที่ยืนคุมเชิงอยู่ด้านหลัง
“อย่าเลยเจ้าค่ะ ข้าสะดวกที่จะไปไหนมาไหนคนเดียวมากกว่า” สิ้นคำพูดของเหวินรุ่ย หวังต้าฟ่งถึงกับชะงักไป
“หากเจ้าอยากไปไหนมาไหนคนเดียว แล้วเหตุใดเจ้าต้องให้สาวใช้กับคนงานคอยตามแจเจ้าเช่นนี้ล่ะ”
หวังต้าฟ่งพูดเสียงอ่อนเหมือนคนน้อยใจ ก่อนจะพูดตัดพ้อออกไปว่านางไม่สนใจเขาบ้างเลย
“คุณชายหวัง ข้าอยากบอกท่านมานานแล้ว” เหวินรุ่ยพูดขึ้นก่อนที่จะก้าวขาขึ้นบันไดรถม้า
“ข้าไม่ชอบท่านอีกต่อไปแล้ว” สิ้นคำพูด เหวินรุ่ยก็เข้าไปในรถม้าพร้อมกับสาวใช้ทั้งสอง
เมื่อรถม้าเคลื่อนตัวออกไปได้พักหนึ่ง หวังต้าฟ่งที่เหมือนถูกตบเข้าอย่างจัง ถึงกับเลือดขึ้นหน้า
“นางกล้าดีอย่างไรถึงได้บอกว่าหมดรักข้า สักวันเจ้าจะได้เห็นดี” หวังต้าฟ่งกัดฟันดังกรอด ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อแรงๆ เพื่อไร่ความหงุดหงิดออกไป
“คุณหนู ท่านไม่ชอบนายน้อยหวังแล้วจริงๆ หรือเจ้าคะ” ฮุยหลานเอ่ยถามเหวินรุ่ยอย่างไม่เข้าใจ ทั้งที่ก่อนหน้านี้นางก็ดูเหมือนมีใจให้เขาอยู่ไม่น้อย
“ใช่ ข้าไม่ชอบเขาแล้ว และจากนี้ไปหากเจอเขาที่ไหนข้าก็จะไม่สนใจเขาอีก” เหวินรุ่ยบอกพี่ฮุยหลานอย่างหนักแน่น
“เหตุใดอยู่ดีๆ คุณหนูถึงได้เปลี่ยนใจกันล่ะเจ้าคะ” ฮุยหลานถามออกไปด้วยความอยากรู้ปนสงสัย
“พี่ฮุยหลาน หากท่านรู้ว่าคนที่ท่านจะแต่งงานด้วย เขาไม่ได้รักท่านเลย แต่เขาแต่งเพื่อผลประโยชน์ของตัวเขาเอง ท่านจะรับได้หรือไม่”
“คุณหนูจะบอกว่าคนบ้านหวังปลูกพืชเพื่อหวังผลงั้นหรือเจ้าคะ แต่ตระกูลหวังก็มีความมั่งคั่งในระดับหนึ่งเลยนะเจ้าคะ”
“นั่นไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดหรอก แต่อีกอย่างที่ข้ายอมตัดใจเป็นเพราะ…ข้ารู้ว่าเขามีคนรักอยู่แล้ว”
“หา!!! ท่านบอกว่าเขามีคนรักแล้วหรือเจ้าคะ หากเขามีคนรักอยู่ก่อนแล้ว เหตุใดเขาถึงกล้ารับปากยอมแต่งกับท่าน แถมยังบอกว่าไม่มีใครเช่นนั้นล่ะเจ้าคะ”
“พี่ฮุยหลาน บนโลกนี้มีหลายสิ่งที่ท่านยังไม่รู้ ข้าก็ไม่รู้ ดังนั้นเราทำได้แค่หลีกเลี่ยงมัน ส่วนพี่สาวกู้ข้าหวังว่าที่ๆ ท่านอยากไปจะไม่เลวร้ายอย่างที่ข้าคิดเอาไว้นะเจ้าคะ” เหวินรุ่ยหันไปมองสาวใช้อีกคนที่คิดจะจากไป และได้กล่าวเตือนนางไว้เป็นนัยๆ ว่าให้ระวังตัว