2 ตัดขาด
ตอนที่ 2 ตัดขาด
หงเหมยหลิวที่ได้ยินคำหยามเหยียดจากจิ่งเหวินรุ่ยก็บันดาลโทสะ และเดินไปตบหน้านางอย่างสุดกำลัง จนเหวินรุ่ยล้มลงกับพื้น จิ่งเหวินรุ่ยจึงทำได้แค่เอามือกุมหน้าที่ร้อนผ่าวจากการโดยตบเมื่อครู่ไว้ ก่อนจะแหงนหน้ามองคู่รักทั้งสองที่ส่งยิ้มให้กันอย่างไม่วางตา
จิ่งเหวินรุ่ยค่อยๆ พยุงตัวเองลุกขึ้นก่อนจะพยายามออกจากห้องที่สร้างความอับอายในชีวิตให้กับนาง ทว่าหวังต้าฟ่งกลับไม่ยอมให้นางออกไป และยังคงถามย้ำนางซ้ำๆ ว่านางจะตกลงทำตามที่เขาขอหรือไม่ และแน่นอนว่าจิ่งเหวินรุ่ยก็ไม่ยินยอม นั่นจึงนำมาซึ่งเหตุฆาตกรรมในห้องลับอย่างตั้งใจ
“พี่ต้าฟ่ง!!! ข้าไม่ได้ตั้งใจนะเจ้าคะ”
หงเหมยหลิวที่ใช้แจกันทุบหัวจิ่งเหวินรุ่ยจากด้านหลัง เกิดอาการสั่นกลัว และ วิตกกังวลหลังจากเห็นเลือดที่ไหลอาบท่วมหัวของเหวินรุ่ย
“ไม่เป็นไรนะเหมยหลิว เดี๋ยวข้าจัดการเอง ข้าจัดการเรื่องนี้ได้” หวังต้าฟ่งรีบเข้าไปกอดคนรักตัวน้อยที่มือสั่นเทา เพราะเคยฆ่าคนเป็นครั้งแรก
“ข้ากลัวเหลือเกินเจ้าค่ะ ข้าแค่ตีเบาๆ ข้าไม่ได้ตั้งใจฆ่านางเลยนะเจ้าคะ” หงเหมยหลิวรีบสวมกอดคนรักและเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา พร้อมกับน้ำตาแห่งชัยชนะที่ไหลริน
“เจ้าไม่ต้องกลัวมีข้าอยู่ ข้าจะจัดการกับร่างของนางเอง” หวังต้าฟ่งรีบปลอบโยนเหมยหลิว และบอกให้นางรีบสวมใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย ก่อนจะจัดฉากทำเหมือนกับว่าเหวินรุ่ยผูกคอตาย
พวกเขาเช็ดคราบเลือดออกอย่างดี และจัดการทิ้งแจกันที่แตกออกไปทางนอกหน้าต่าง ก่อนจะรีบออกจากโรงเตี๊ยมแถมบอกว่าจิ่งเหวินรุ่ยนางอาละวาดอยู่ด้านใน เมื่อเสี่ยวเอ้อได้ยินเช่นนั้นจึงไม่ได้เข้าไปยุ่ง จนกระทั่งช่วงเช้าจึงได้ไปพบว่านางเป็นศพไปแล้ว
เฮือก!!!
จิ่งเหวินรุ่ยสะดุ้งตื่นขึ้นมาในตอนเช้า นางพบว่าตนเองยังไม่ได้ตายไป แถมยังนอนอยู่ในห้องนอนของตนเองเมื่อเยาว์วัยอีกต่างหาก
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
จิ่งเหวินรุ่ยเดินมานั่งหน้ากระจกแล้วเห็นตนเองในวัยแรกแย้มก็เกิดความประหลาดใจ
“คุณหนู ท่านตื่นแล้วใช่ไหมเจ้าคะ ข้าขอเข้าไปข้างในนะเจ้าคะ”
เสียงสาวรับใช้ดังขึ้นหน้าประตูได้ไม่นาน ก่อนประตูบานขนาดกลางจะถูกเปิดออก
“พี่ฮุยหลาน!! พี่กู้หนิง!!”
จิ่งเหวินรุ่ยอุทานออกมา เมื่อเห็นสาวใช้ในวัยสิบห้าปีของนางอีกครั้ง
หากจำไม่ผิด… ต่อจากนี้อีกไม่นานสาวใช้สองนางนี้จะถูกส่งต่อไปที่อื่น และไม่นานพวกนางก็ตายไปอย่างไร้สาเหตุ ข้าควรทำเช่นไรดีถึงจะรั้งพวกนางทั้งสองเอาไว้ได้
จิ่งเหวินรุ่ยมองสาวใช้ทั้งสองแล้วร้องไห้ออกมาอย่างเห็นใจพวกนาง ทั้งเจ็บใจที่ถูกกระทำจากคนรักและเพื่อนที่แสนเลว
“คุณหนูท่านเป็นอันใดไปหรือเจ้าคะ”
ฮุยหลานรีบวางอ่างน้ำที่เตรียมมาสำหรับล้างหน้าลงบนโต๊ะแล้วเดินไปย่อตัวลงถามไถ่คุณหนูที่นางเอ็นดู
“ข้าไม่อยากจากพวกพี่ไป ข้าได้ยินว่าพวกพี่จะทิ้งข้าไป ฮึก…” จิ่งเหวินรุ่ยสะอื้นไห้จนเสียงขาดหายไปเป็นช่วงๆ ทำให้ฮุยหลานและกู้หนิงห่อเหี่ยวหัวใจเป็นอย่างมาก
ในตอนที่จิ่งเหวินรุ่ยอายุได้หกปีเศษ มารดาของนางก็ได้ล้มป่วยแล้วจากไป ผู้เป็นพ่อจึงได้จ้างฮุยหลานกับกู้หนิงมาคอยดูแลนางและอยู่ป็นเพื่อนคลายเหงา จากนั้นมาทั้งสามก็รักใคร่กันเหมือนญาติมิตร มีอะไรก็มักแบ่งปันกันเสมอ
“คุณหนูใครบอกท่านเช่นนั้นหรือเจ้าคะ ข้ากับกู้หนิงไม่คิดจะจากท่านไปไหนหรอกนะเจ้าคะใช่หรือไม่กู้หนิง” ฮุยหลานหันไปทางกู้หนิงที่อ้ำอึ้ง แต่สุดท้ายก็ตกปากรับคำไปอย่างจนใจ
“จริงนะ! พวกพี่จะไม่แยกจากข้าไปไหนจริงๆ นะ”
จิ่งเหวินรุ่ยที่คิดเรื่องสามีและเพื่อนรักที่ทรยศอยู่ด้วยความโกรธจนตัวสั่น ก็ได้เผยรอยยิ้มทั้งน้ำตาออกมา
“เจ้าค่ะ ข้ารับปากว่าข้าจะไม่ไปไหน” ฮุยหลานที่นั่งคุกเข่าข้างเก้าอี้ที่เหวินรุ่ยนั่งอยู่ส่งยิ้มอ่อนให้กับผู้เป็นนาย ทว่ากลับกันกู้หนิงกับไม่ได้พูดอันใดออกมา
“ฮุยหลาน เจ้าบอกคุณไปเช่นนั้นมันจะดีหรือ” กู้หนิงเอ่ยถาม
“กู้หนิง ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วยนะ ข้าคงไปที่จวนเสนาบดีไม่ได้แล้วล่ะ หากข้าไปคุณหนูคงอยู่ไม่ได้เป็นแน่” ฮุยหลานบอกกู้หนิงและทำสีหน้าลำบากใจ
“เฮ้อ… ข้าคิดอยู่แล้วล่ะว่าเจ้าทิ้งนางไม่ลง แต่ถึงกระนั้นข้าจะไม่เปลี่ยนใจหรอกนะ” กู้หนิงบอกฮุยหลานและเดินนำหน้านางไปทางที่พัก
หลังจากสาวใช้ทั้งสองผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าช่วยเหวินรุ่ยเสร็จพวกนางก็เดินออกไปจากห้อง เหวินรุ่ยจึงแอบย่องเดินตามหลังมา พอได้ยินว่านางเปลี่ยนใจฮุยหลานได้นางก็ระบายยิ้มออกมา แต่พอเห็นกู้หนิงยืนกรานที่จะจากไปนางก็ทำได้แค่ถอนหายใจออกมาเพียงเท่านั้น
“ข้าพยายามรั้งพี่ไว้แล้วแต่ก
“เมื่อก่อนข้าฝึกวาดรูปด้วยหมึกจนชำนาญ คิดไม่ถึงว่าฝีมือของข้าจะยังคงอยู่” จิ่งเหวินรุ่ยคิดในใจแล้วยิ้มอ่อน ก่อนจะชื่นชมภาพวาดของตน จนผู้เป็นพ่อเดินเข้ามาในห้องพักของนางเงียบๆ
“พ่อไม่รู้มาก่อนว่าเจ้าวาดภาพได้ดีเช่นนี้” จิ่งจงอี้ยิ้มน้อยๆ แล้วเดินมาดูภาพวาดใกล้ๆ บุตรสาว
“ท่านพ่อ” จิ่งเหวินรุ่ยยืนขึ้นแล้วกล่าวทักทายท่านพ่อของนาง
ท่านพ่อของนางในยามนี้ช่างดูมีสง่าราศีต่างจากสิบปีให้หลังลิบลับ จิ่งเหวินรุ่ยน้ำตาคลอและโผเข้ากอดบิดาอย่างคิดถึง
“เจ้าเป็นอันใด จู่ๆ ก็มากอดพ่อแน่นเช่นนี้หรือสาวใช้สองคนนั้นรังแกเจ้าอย่างนั้นหรือ” จิ่งจงอี้เอ่ยถาม เหวินรุ่ยที่กอดบิดาอยู่ก็เอาแต่ส่ายหน้าแล้วผละออกจากอ้อมกอดของผู้เป็นพ่อ
“ไม่เจ้าค่ะ พี่ฮุยหลานกับพี่กู้หนิงไม่เคยกลั่นแกล้งข้าเลย ว่าแต่เหตุใด…วันนี้ท่านพ่อถึงยังไม่ออกไปทำงานอีกล่ะเจ้าคะ” จิ่งเหวินรุ่ยเอ่ยถามท่านพ่ออย่างสงสัย
“ฮืม เจ้าลืมไปแล้วรึ วันนี้ตระกูลหวังจะมาสู่ขอเจ้าน่ะสิ พ่อถึงต้องมาคอยท่าอยู่เช่นนี้ อย่าบอกนะว่าเจ้าลืมไปแล้ว” จิ่งจงอี้เอ่ยถามบุตรสาวเพียงคนเดียวของเขา
(มิน่าล่ะ ข้าก็ว่าเหตุใดวันนี้พี่ฮุยหลานถึงแต่งหน้าให้ข้าเป็นพิเศษ ที่แท้วันนี้เป็นวันที่ตระกูลหวังจะมาสู่ขอข้านี่เอง)
“ท่านพ่อเจ้าคะ ข้าไม่แต่งกับเขา ได้หรือไม่เจ้าคะ” จิ่งเหวินรุ่ยเขย่าแขนท่านพ่อเบาๆ
“เจ้าพูดอะไรแบบนั้น เป็นเจ้าเองไม่ใช่รึที่ชอบต้าฟ่งนักหนาพ่อจึงจัดการเรื่องนี้ให้เจ้า แต่จู่ๆ เจ้าบอกว่าไม่ก็คือไม่งั้นหรือ”
จิ่งจงอี้ขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วถามบุตรสาวอย่างไม่เข้าใจ (ไม่ใช่ว่านางชอบหวังต้าฟ่งหรอกหรือข้าถึงได้หยิบยกสัญญามั่นหมายนั่นออกมา)
“ท่านพ่อ ข้าได้ข่าวมาว่าต้าฟ่งมีคู่รักอยู่แล้วเจ้าค่ะ ข้าไม่ต้องการแต่งกับคนที่มีเจ้าของแล้วหรอกนะเจ้าคะ”
“ลูกพ่อ เจ้าไปรู้อะไรมางั้นรึ” จิ่งจงอี้ถามบุตรสาวที่กำลังคล้องแขนเขาอยู่
“ท่านพ่อเชื่อข้าใช่หรือไม่” เหวินรุ่ยไม่ตอบคำถาม แต่นางกลับถามผู้เป็นบิดาว่าเชื่อมั่นในตัวนางหรือเปล่า
“เอาเถอะๆ พ่อจะเชื่อเจ้าก็แล้วกัน เช่นนั้นวันนี้จวนเราก็จะปิดประตูไม่รับแขกกแล้วกันนะ” จิ่งจงอี้ถอนหายใจออกมา แต่ลึกๆ ก็เกรงใจบ้านหวังอยู่ไม่น้อย
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านพ่อท่านใจดีกับข้าเป็นที่สุด” จิ่งเหวินรุ่ยยิ้มกว้างออกมา เพียงเท่านี้ข้าก็ไม่ต้องไปข้องเกี่ยวกับต้าฟ่งอีกแล้ว ต่อไปก็คือเพื่อนวายร้ายผู้นั้นนางกับข้าไม่ควรอยู่ร่วมกัน ไม่เช่นนั้นซักวันนางจะต้องแว้งมากัดข้าอย่างแน่นอน
เมื่อตกลงกันเสร็จแล้ว จิ่งจงอี้จึงได้บอกพ่อบ้านให้คนงานปิดประตูไม่รับแขก และแสร้งทำเป็นเหมือนไม่มีคนอยู่ทั้งๆ ที่คอยฟเงียบๆ พอตระกูลหวังมาถึงพบว่าตระกูลจิ่งปิดประตูไม่รับแขก พวกเขาถึงกับโกรธจนควันออกหู
“ไม่ใช่ว่าเป็นพวกเขาหรอกหรือที่นัดพวกเรามา แต่ทำไมพวกเขาถึงได้หักหน้าตระกูลของเราเช่นนี้ได้ลง” หวังซ่านหลง พ่อของหวังต้าฟ่งยืนบ่นอย่างหมดความอดทน
“ท่านพ่อให้ข้าเคาะประตูเรียกอีกครั้งดีหรือไม่ขอรับ” หวังต้าฟ่งเอ่ยถามผู้เป็นพ่อ เพราะตัวเขาเองก็ร้อนรนเช่นกัน
หากเขาไม่ได้แต่งกับจิ่งเหวินรุ่ย ภายหน้าเขาก็จะไม่ได้เป็นผู้สืบทอดคนถัดไปอย่างแน่นอน และหากเขาพลาดโอกาสนี้ไป ผู้ที่จะได้รับการสืบทอดเห็นทีคงจะเป็นหวังเฟยเหยียนที่เป็นน้องชายของเขา ซึ่งน้องชายผู้นี้ของเขาก็ชอบที่จะต่อต้านเขาและไม่ค่อยลงรอยกัน