บทย่อ
จิ่งเหวินรุ่ยสตรีที่ถูกเพื่อนรักและสามีหักหลัง นางได้ย้อนเวลากลับในช่วงวัยสิบห้าปี นางยกเลิกการแต่งานที่ไม่เป็นธรรม และได้เริ่มต้นกับรักครั้งใหม่
1 คนทรยศ
ตอนที่ 1 คนทรยศ
“ต้าฟ่ง เมื่อไหร่ท่านถึงจะบอกเหวินรุ่ยละเจ้าคะ ว่าเรารักกัน ข้าไม่อยากแอบลักกินขโมยกินแบบนี้อีกแล้ว” หงเหมยหลิวที่นอนข้างกายหวังต้าฟ่งเอ่ยถาม พร้อมกับลูบไล้หน้าอกอันกำยำของเขาหลังจากเสร็จกิจกรรมที่เร่าร้อนไปหมาดๆ
“ข้าหาทางจะบอกกล่าวนาง แต่ทุกครั้งไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเมื่อข้าจะเอื้อนเอ่ยมันออกไป ก็มักจะมีเรื่องอื่นให้ทำเสมอ” หวังต้าฟ่งลูบหัวคนข้างกายอย่างเอาใจใส่
“แต่เจ้าอย่าได้ห่วงไป วันพรุ่งข้าจะต้องขอหย่าร้างกับนางให้จงได้” หวังต้าฟ่งเอียงตัวมาหอมหน้าผากมนของหงเหมยหลิว ก่อนจะเริ่มค่ำคืนที่ร้อนแรงขึ้นอีกครั้ง
“ต้าฟ่งเราพึ่งทำกันเสร็จไปนะ หากท่านยังจะล่อลวงข้าอยู่เช่นนี้อีกละก็ คืนนี้… ข้าจะไม่ปล่อยให้ท่านกลับไปยังจวนของท่านแล้วนะ” หงเหมยหลิวที่อยู่ใต้ร่างหนากระซิบข้างหูหวังต้าฟ่งอย่างแผ่วเบา
“ไม่กลับก็ไม่กลับซิ ใครจะอยากกลับไปนอนกับท่อนไม้เช่นนางกัน” หวังต้าฟ่งพูดจบก็รีบประกบริมฝีปากหนาลงบดเบียดริมฝีปากบางอย่างเมามัน
“อื้อ…” หงเหมยหลิวครางเสียงกระเส่าออกมาเมื่อหวังต้าฟ่งเลื่อนลงมาที่ซอกคอของนางจนร่างบางสะท้าน
“อ๊า..ข้าชอบท่านจัง คิกคิก อย่าทำตรงนั้นสิเจ้าคะข้าจั๊กจี้นะ” หงเหมยหลิวหัวเราะคิกคักออกมาและเริ่มปล่อยตัวไปตามอารมณ์
ภายนอกห้องพัก ณ โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง
จิ่งเหวินรุ่ยที่ได้แอบตามสามีมา ได้แต่เอามือปิดปากตนเองไว้แน่น และทนฟังเพื่อนรักกับสามีที่กำลังพลอดรักกันอย่างไม่อายฟ้าดิน เหวินรุ่ยไม่เคยคิดมาก่อนว่าเรื่องมันจะเลยเถิดจนกลายมาเป็นเช่นนี้
ก่อนหน้านี้…
จิ่งเหวินรุ่ยที่กำลังจะเข้านอนก็ได้รับข้อความบางอย่างที่วางอยู่บนหัวเตียง พอนางได้เปิดอ่านเท่านั้นนางก็ถึงกับเข่าอ่อนทรุดตัวลงกับพื้นอันเย็นเฉียบ
….หากเจ้าอยากรู้ความจริง ให้ไปที่โรงเตี๊ยมที่ข้าบอกแล้วเจ้าจะเข้าใจทุกอย่างเอง….
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น จิ่งเหวินรุ่ยจึงได้มายังโรงเตี๊ยมแห่งนี้ และได้เห็นสามีของนางกับเพื่อนสนิทเดินเข้าห้องพักไปด้วยกัน
จิ่งเหวินรุ่ยน้ำตานองหน้า ปากสั่น หัวใจสลาย นางไม่คิดไม่ฝันว่าผู้ชายแสนดีของนางจะกล้ามาทำเรื่องไม่ดีไม่งามลับหลังนางเช่นนี้ แถมคนที่นางไว้ใจที่สุดอย่างหงเหมยหลิวยังมาหักหลังนางอีก จิ่งเหวินรุ่ยจุกอก เจ็บใจ มือข้างหนึ่งกำหมัดเอาไว้แน่นและมืออีกข้างกุมเสื้อตรงกลางอกจนมันยับยู่ยี่ไปหมด นางคับแค้นใจจนไม่อาจกลั่นออกมาเป็นคำพูดได้
เมื่อเสียงแห่งความสุขด้านในห้องดังขึ้นเรื่อย ๆ ใจที่เจ็บปวดของจิ่งเหวินรุ่ยก็เริ่มทนรับต่อไปอีกไม่ไหว นางจึงฝืนลุกขึ้นยืนแล้วถีบบานประตูเข้าไปอย่างเต็มแรง
ตึง!!!
ประตูห้องถูกเปิดอย่างกะทันหัน เผยให้เห็นคนสองคนที่กำลังนัวเนียกันอย่างประเจิดประเจ้อ
“ท่านทำกับข้าเช่นนี้ได้อย่างไร” เสียงอันสั่นเทาเอ่ยออกมาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลไม่หยุด
“วะ เหวินรุ่ย เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร” หวังต้าฟ่งที่กำลังกระแทกเอวสอบอย่างเร้าใจ รีบหยุดการกระทำ และดึงแก่นกายที่ผงาดออกจากตัวของเหมยหลิวอย่างรวดเร็ว
“ตายแล้ว!!” หงเหมยหลิวที่อยู่ในท่าคลานเข่ารีบคว้าเอาผ้าห่มมาคลุมกายและนั่งหลบตรงมุมเตียงก่อนจะทำหน้าเลิกลักเพราะตกใจในสถานการณ์ที่ไม่เคยคาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้น
หวังต้าฟ่งรีบหากางเกงมาสวมใส่ ก่อนจะเดินไปหาจิ่งเหวินรุ่ยและบอกว่านางกำลังเข้าใจผิด
เสียงจากเมื่อครู่ทำให้แขกเหรื่อเกิดความสนใจและเริ่มมามุงดูเรื่องสนุกอยู่ด้านนอกประตู
“เหวินรุ่ยเจ้ากำลังเข้าใจผิดนะ มันไม่ใช่แบบที่เจ้าคิดนะ”
หวังต้าฟ่งรีบเดินไปทางเหวินรุ่ย แล้วพยายามจะอธิบายให้นางฟังอย่างตะกุกตะกัก ใบหน้าของเขาซีดเผือดอย่างตกใจ เขาไม่คิดว่าภรรยาที่อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนอย่างเหวินรุ่ย จะกล้าออกมาจากบ้านในยามวิกาลเช่นนี้ และมายังที่อโคจรเช่นนี้ได้
“เข้าใจผิดหรือเจ้าคะ แล้วเมื่อครู่ที่ข้าเห็นมันคืออะไร ท่านยังจะบอกว่าไม่ใช่ท่านอีกหรือ” จิ่งเหวินรุ่ยดันมือที่พยายามเข้ามาใกล้นางออกไป และถอยหลังไปสองก้าว
“นั่นมันหวังต้าฟ่งไม่ใช่หรือ ส่วนแม่นางที่เปลือยกายล่อนจ้อนอยู่นั่นก็คือหงเหมยหลิวเพื่อนสนิทของแม่นางจิ่ง”
“โอ้! ข้าเกิดมาจนอายุเข้าสามสิบปี พึ่งจะเคยพบเจอตัวกาลกิณีเช่นนี้เป็นครั้งแรก ขนาดสามีของเพื่อนนางยังกล้า สงสัยข้าต้องระวังสามีที่บ้านเอาไว้เสียหน่อยแล้ว”
“สามีของเจ้าทั้งเตี้ย ทั้งดำ ถึงเจ้าไม่ระวังก็ไม่มีใครกล้าแย่งเจ้าไปหรอก” คนงานและแขกในโรงเตี๊ยมพากันดูเรื่องสนุกและพูดคุยกันอย่างออกรส
“ต้าฟ่งท่านเดินไปปิดประตูสิ ข้าอายคนจะแย่แล้ว” หงเหมยหลิวรีบเอาผ้าคลุมโปงแล้วบอกคู่นอนของนางให้ไปปิดประตูห้องเสียก่อน
“เจ้าอายงั้นหรือ คนอย่างเจ้ายังเหลือยางอายด้วยรึไง เจ้ากล้าที่จะมาเสพสุขกับสามีข้า แถมยังยุยงให้เขาหย่าร้างกับข้าอีก เจ้ามันนังโสเภณี ไม่สิ! เจ้าน่ะมันนังกระหรี่ชัดๆ ” จิ่งเหวินรุ่ยตะคอกไปทางเตียงนอนที่มีร่องรอยยับจากการผ่านศึกเมื่อสักครู่
“เหวินรุ่ย!! มันจะมากเกินไปแล้วนะ! ข้ารึที่คิดอยากจะแย่งเขามา เป็นเจ้าต่างหากละที่พรากพวกเราออกจากกัน ตั้งแต่แรกข้ากับต้าฟ่งก็คบหาดูใจกันมาก่อนเจ้าเสียอีก แต่จู่ๆ บ้านเจ้าก็เอาสัญญาแต่งงานอะไรนั่นมาผูกมัดและแยกเขาออกจากข้าไป เป็นเจ้านั่นแหละที่มาทีหลังข้า แถมยังพรากรักแรกของข้าไปอย่างหน้าด้านๆ”
หงเหมยหลิวเปิดผ้าคลุมโปงออกและชี้หน้าด่าเหวินรุ่ยเสียงดัง
“เหอะ! เจ้าก็สรรหาคำมาพูดได้นะเหมยหลิว หากเจ้ากับสามีข้ารักกันจริง แล้วเหตุใดตอนนั้นพวกเจ้าถึงไม่คัดค้าน”
จิ่งเหวินรุ่ยปาดน้ำตาออกจากใบหน้าและจ้องไปที่หงเหมยหลิวกับสามีอย่างเอาเรื่อง
“ไม่คัดค้านงั้นหรือ? ตอนนั้นข้าก็บอกเจ้าไปแล้วหนิ ว่าต้าฟ่งเขามีคนรักอยู่แล้ว แต่เป็นเจ้าเองต่างหากที่ดึงดันจะตบแต่งกับเขาให้ได้” เหมยหลิวก้าวลงจากเตียงพร้อมผ้าห่มผืนบาง นางรีบเอาผ้าห่มพันตัวเอาไว้แล้วเดินอย่างมาดมั่นไปทางที่เหวินรุ่ยยืนอยู่
“ไม่จริง! ตอนนั้นข้าได้ถามต้าฟ่งแล้ว และเขาบอกว่ายังไม่มีใคร” เหวินรุ่ยพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำและหันไปทางสามีที่กำลังสวมใส่เสื้อผ้าอย่างรีบร้อน
“ท่านบอกนางไปสิว่ามันไม่จริง เพราะตอนนั้นท่านกับข้าก็เป็นของกันและกันแล้ว”
หงเหมยหลิวใช้สายตาหว่านล้อมแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานออกมา นางเดินไปยืนข้างกายหวังต้าฟ่งและควงแขนเขาอย่างกับว่าจะแสดงออกถึงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ
“เอ่อคือว่า… ตอนนั้นข้าถูกทางบ้านบังคับน่ะ ข้าไม่มีทางเลือกจึงบอกนางไปเช่นนั้น หากข้าไม่ทำเช่นนั้นท่านพ่อจะไม่ยอมให้ข้าพาเจ้าเข้าไปอยู่ที่จวน” หวังต้าไห่ทำหน้าเจื่อนๆ แล้วบอกเหมยหลิวไปแต่ทั้งหมดนั่นก็มีความจริงเพียงแค่ครึ่งเดียว
“แต่คนที่ข้ารักก็ยังเป็นเจ้านะเหมยหลิว” หวังต้าฟ่งพูดทิ้งท้ายและหอมแก้มหงเหมยหลิวเบาๆ
“พวกเจ้ารักกัน! แล้วเหตุใด… ต้องลากข้าที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่มาเอี่ยวด้วย เหตุใดพวกเจ้าถึงทำเช่นนั้นกับข้า” จิ่งเหวินรุ่ยที่ตอนแรกเสียใจอยู่ก่อนแล้ว ถึงกับหมดคำจะพูดกับสุนัขสองตัวนี่
“ได้!! ในเมื่อพวกเจ้ารักกันมาก เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้ากับเจ้าก็ตัดขาดกัน ข้าจะไปบอกครอบครัวข้าเอง ส่วนท่าน… ก็อย่าลืมไปบอกท่านพ่อของท่านด้วยล่ะ” จิ่งเหวินรุ่ยดวงตาแดงก่ำ เมื่อพูดจบนางก็หันหลังให้กับคนทรยศทั้งสอง
“ไม่ได้นะ ข้าไม่ยอม!!”
หวังต้าฟ่งรีบไปขวางทางเหวินรุ่ยไว้ แล้วปิดประตูห้องทันที เมื่อผู้คนด้านนอกเห็นว่าไม่มีเรื่องสนุกให้ดูแล้วจึงพากันแยกย้ายกันไปตามทาง
“หลบไป! อย่ามาขวางทางข้า” จิ่งเหวินรุ่ยกดเสียงลงต่ำและเงยหน้าขึ้นมองสามีที่ยืนกางแขนขวางทางออกเอาไว้
“ไม่ได้นะ! เจ้าจะไปบอกท่านพ่อไม่ได้เป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นข้าก็จะไม่ได้เป็นผู้สืบทอดหน่ะสิ” หวังต้าฟ่งหลุดพูดคำในใจออกมา และรีบจับไหล่ทั้งสองข้างของภรรยาเอาไว้แน่น
“ข้าขอล่ะ เจ้าอย่าบอกเรื่องหย่ากับทางครอบครัวของเราได้หรือไม่”
“ไม่ให้ข้าบอกงั้นหรือ หากไม่บอกแล้วท่านจะให้ข้าใช้ชีวิตต่อไปด้วยความอัปยศเช่นนี้น่ะหรือ”
จิ่งเหวินรุ่ยสะบัดมือของต้าฟ่งออกอย่างแรงจนหลุดพ้นจากการเกาะกุมจากเขา และถอยหลังไปหนึ่งก้าวเพื่อเว้นระยะห่าง
“ต้าฟ่ง ที่ท่านยอมแต่งกับนางก็เพราะว่าจะได้เป็นผู้สืบทอดงั้นรึ!” หงเหมยหลิวเดินอุ้ยอ้ายไปหาหวังต้าฟ่งแล้วเข้าไปสวมกอดเขาอย่างเอาใจ
“ก็ใช่น่ะสิ หากข้าไม่แต่งกับนาง ข้าก็จะไม่ได้รับการยอมรับ ไม่เช่นนั้นข้าจะแต่งกับนางไปทำไม” หวังต้าฟ่งก้มหน้ามองคนรักของเขาที่มายืนอยู่ข้างกาย
“หึ ๆ ที่แท้ที่ผ่านมาท่านก็ลวงหลอกว่ารักข้ามาโดยตลอดสินะ” จิ่งเหวินรุ่ยหัวเราะในลำคอและนึกสมเพชตนเอง ที่หลงเชื่อคำหวานของเขามาตลอด
“นี่เหวินรุ่ย เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ พี่ต้าฟ่งน่ะ เขารักแค่ข้า ส่วนเจ้ามันก็แค่ผลประโยชน์ที่เขาควรจะได้รับก็เท่านั้นแหละ” หงเหมยหลิวแสยะยิ้มออกมาและจิกตามองเหวินรุ่ยตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า
“เจ้าไม่ได้งามเช่นข้า เรื่องบนเตียงก็ไม่ได้เก่งเหมือนข้า เจ้าคิดว่าพี่ต้าฟ่งจะมีความอาลัยอาวรณ์เจ้าอยู่งั้นหรือ?” หงเหมยหลิวใช้สายตาของผที่อยู่เหนือกว่ามองไปที่เหวินรุ่ย
“ใช่ ข้าก็ไม่ได้สวยเช่นเจ้า ไม่ได้เก่งเรื่องบนเตียงอย่างเจ้า แต่สุดท้ายคนที่เขาเลือกที่จะตบแต่งกลับเป็นข้า หาใช่เจ้าไม่…”
จิ่งเหวินรุ่ยยกยิ้มมุมปาก เพราะนี่เป็นสิ่งที่ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่านางนั้นเหมาะสมและคู่ควรกว่านางเพื่อนทรยศผู้นี้