7. จวนตี้อ๋อง
ยามปัจจุบัน
นับแต่นั้นตี้อ๋องก็ใช้ชีวิตอิสระ มิมีพันธะกับผู้ใดในวัยย่างสามสิบสี่ ทว่าจู่ๆ เขาก็ตบปากรับคำกับแม่นมเจียง หญิงชราที่รับอุปการะฟางซิน ว่าจะรับนางเป็นอนุ นั่นก็หมายถึงอนุของตี้อ๋อง ซึ่งสตรีผู้นี้ก็ยังมิรู้ตัวเลย
“งั้นหรือ ถือว่าเป็นข่าวดีของข้าแล้วกัน” นางย้อนตอบคำของตงไห่ที่เอ่ยว่า “นายท่านมิยินดีจะรับนางเป็นแม้กระทั่งสตรีอุ่นเตียง” คิดแล้วฟางซินก็ลุกขึ้นยืน
อาภรณ์สีเทาหม่นถูกจับสะบัดจนมีลมพัด ทำเอาทุกคนที่นั่งอยู่ต้องยกมือโบกไปมา เกรงว่าจะมีกลิ่นมิพึงประสงค์โชยมาด้วยจากสตรีมอมแมมผู้นี้ เพราะนางดูสกปรกมากเสียเหลือเกิน
“ข้าไปนอนล่ะ” เอ่ยจบก็ตั้งท่าจะเดินกลับไปยังรถม้า
“หยุดนะ! นั่นเจ้าจะไปที่ใด” ตงไห่ลุกขึ้นชี้หน้าทันที
“ไปนอนบนรถม้า” หันกลับมาตอบพร้อมกับยักคิ้วใส่
“มิได้ นายข้าต้องนอนอยู่บนนั้น เจ้าหาที่นอนแถวนี้เอา อย่าได้สะเออะขึ้นไปนอนข้างบนเชียว” ตงไห่ยังมิวายเปล่งวาจาจาบจ้วงใส่สตรีตัวน้อย
“หึ! พวกเจ้านอกจากจะไร้มนุษยธรรมลักพาตัวข้ามาแล้ว ยังเอาเปรียบสตรีตัวน้อยๆ อีก ชิ! มิเป็นชายชาติทหารเอาเสียเลย” คำสบประมาทเปล่งออกมาจากปากอิ่ม ทำเอาทุกคนต่างก็พากันเถียงมิออก
แต่จะมีอยู่หนึ่งคนที่ยกมุมปาก ทว่าก็ไม่มีการอนุญาตหรือเห็นใจนางแม้แต่น้อย เพราะอย่างไรเสียนางก็มิควรค่าสำหรับเขา
ฟางซินต้องนั่งพิงต้นไม้เพื่อพาให้ตนหลับ ต่างจากเมื่อคืนก่อนที่ยังได้นอนบนพรมในรถม้า “เอาไงดีเรา จะไปต่อหรือว่าจะหนีดี คนกลุ่มนี้เป็นใครกัน เหตุใดท่านยายต้องเอาตัวเข้าไปขวางลูกดอกด้วย หรือที่พวกเขาเอ่ยจะเป็นจริง” นั่งนึกในใจแล้วก็ค้านกับตนเองไปเรื่อย อยากรู้ที่มาที่ไปของเรื่อง จะได้ตัดสินใจถูกหลังจากนี้
“เห้อ! ทำไมดึงหนูข้ามมิติมาแล้วปล่อยให้ลำบากขนาดนี้คะ ทำไมไม่ส่งคนรวยๆ มารับเลี้ยงหนูบ้าง ในซีรี่ย์ทำไมมีระบบช่วยจัดการ หนูมาตัวเป็นๆ ไม่คิดจะส่งอะไรมาให้เลยเหรอ น่าน้อยใจนัก” ถ้อยคำตัดพ้อเปล่งออกมา ก่อนจะพิงหัวนอนมองท้องฟ้าเบื้องบน มินานก็หลับไป
รุ่งสางของวันใหม่ เสียงเก็บสัมภาระปลุกให้เปลือกตาสวยเปิดขึ้น ฟางซินมองตามร่างสูงของหัวหน้าขบวน เขาดูสง่างามเป็นอย่างมาก เปรียบให้เขาเป็นเทพบุตรก็มิผิดนัก ทว่าเขาก็มักจะทำหน้าบูดบึ้ง มิรู้เป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร หรือเป็นแค่ตอนที่เห็นหน้านางก็มิรู้ได้
“หึ! ขี้เก๊กไม่มีใครเกิน” เหน็บจบก็คว่ำปากใส่ไปหนึ่งที เป็นจังหวะที่ตี้ซีเหยียนหันมามองพอดี จึงรีบแหงนมองดูนกดูไม้ทำเหมือนไม่มีอะไร จนตี้อ๋องส่งเสียง หึ! ในลำคอ
“บอกให้นางไปล้างหน้าล้างตา จะได้ออกเดินทางต่อ”
“ให้นางนั่งม้าไปกับข้าน้อยก็ได้ขอรับ” จงฟานเอ่ยกับผู้เป็นนาย สิ่งที่ได้คือสายตาดุตอบกลับมาและเสียงกดต่ำ
“ข้ารับปากแม่นมเจียงว่าจะรับนางเป็นอนุ ควรปล่อยให้อยู่ใกล้ชิดกับพวกเจ้ากระนั้นหรือ”
“ทราบแล้วขอรับ” คนสนิทได้แต่ก้มหน้า เพราะมิคิดว่าผู้เป็นนายจะทำเช่นที่เอ่ย หากรู้ฐานะแท้จริงของท่านอ๋องนางคงดีใจจนเนื้อเต้นที่จะได้เป็นอนุ และใช้ชีวิตสุขสบายในเมืองหลวง หลังกลับมาจากเมืองเปี้ยนตี้อ๋องก็มิคิดจะรับสตรีใดเข้ามาให้ยุ่งวุ่นวายในชีวิตอีก ทว่านางคงเป็นข้อยกเว้น
เพราะพระองค์ถือคำสัตย์วาจามากเป็นที่สุด ยิ่งรับปากกับคนใกล้ตาย ซ้ำยังเป็นนางกำนัลคู่กายพระมารดา และเป็นแม่นมที่เลี้ยงดูเขามาเมื่อยี่สิบปีก่อนด้วย
จึงมิแปลกที่ตี้อ๋องจะใส่ใจหลานสาวที่หญิงชราฝากฝังไว้เพียงนี้ หลังจากฟางซินจัดการธุระเสร็จ นางก็ถูกไล่ให้ขึ้นไปบนรถม้าอีก คราแรกก็ดื้อดึงมิยอมขึ้น ทว่าสุดท้ายก็ขัดมิได้ ยามนี้จึงได้แต่นั่งนิ่งมองออกไปนอกรถที่กำลังเคลื่อนตัวออกไป โดยมีสายตาของตี้อ๋องมองด้วยความสมเพชเวทนา และยังตั้งคำถามในหัวของตนไปด้วย
“ข้าคิดอันใดอยู่ ไยต้องรับสตรีไร้สกุลผู้นี้มาด้วย แม่นมนะแม่นม มิน่าหาเรื่องให้ข้าเลย” นึกตำหนิคนตายในใจ ทว่าเขาจะทำสิ่งใดได้ในเมื่อรับปากไปแล้ว
การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น แม้จะมีกลุ่มคนติดตามมาอยู่ห่างๆ ทว่าเหรินเจี๋ยและคนของเขาก็มิกล้าลงมือ เพราะเป็นเรื่องยากที่จะชิงตัวสตรีผู้นี้มาจากมือตี้อ๋อง เขาคาดการณ์ว่าสมุดบัญชีต้องยังอยู่กับนาง
และมันก็เป็นเช่นนั้นจริง ฟางซินยังเก็บมันไว้ในชายเสื้อ นางมิยอมเอามันออกมาให้ใครเห็น คิดว่าการตายของท่านยายต้องเกี่ยวข้องกับสมุดเล่มนี้เป็นแน่
ที่สำคัญนางมิรู้ว่าคนเหล่านี้เป็นใคร ฝ่ายไหนที่ลงมือกับท่านยาย และอีกอย่างคือใครดีใครเลว จึงจำต้องเก็บไว้กับตัวเสียก่อน อย่างน้อยก็น่าจะเอาไว้ต่อรองได้
พลบค่ำของวันเดียวกัน ขบวนเดินทางมาถึงหน้าจวนแล้ว ฟางซินเดินตามร่างสูงของตี้อ๋องลงมา ยืนมองประตูบานใหญ่เบื้องหน้าพร้อมกับผูกคิ้วเข้าหากันเป็นปม
“โอ้โห!! บ้านอีตานี่ใหญ่โตขนาดนี้เชียว หรือว่าจะเป็นสำนักอะไรสักอย่าง เหมือนในซีรี่ย์ที่ดูมา” นึกในใจไปถึงเรื่องราวที่ตนมักจะดูตอนไม่มีเรียน เพราะบ้านนี้ถ้าเปรียบกับยุคปัจจุบันคงเรียกว่าคฤหาสน์มากกว่า
“จัดหาห้องให้นางทางเรือนหลัง ข้าบอกแล้วนะว่านางอยู่ที่นี่ในฐานะใด อย่าให้ต้องเอ่ยอีกครั้ง จัดการเรื่องอาภรณ์นางด้วย หึ! น่าขายหน้าจริงเชียว” สั่งคนของตนแล้วก็ยังมิลืมหันมาแขวะสตรีตัวน้อยอีก สายตาก็มองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า สองวันสองคืนนางมิได้อาบน้ำเลย ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกรังเกียจอีกฝ่ายจนแสดงออกทางสีหน้า
ฟางซินมองตามสายตาของคนตัวโตเช่นกัน พอจะเข้าใจว่าเขาหมายถึงสิ่งใด เลยได้แต่คว่ำปากมองบน แล้วเดินตามสาวใช้ไปยังเรือนพักซึ่งมันดูโอ่อ่าเป็นอย่างมาก ทุกคนดูนอบน้อมต่อคนตัวโตอย่างน่าประหลาด ยิ่งไปกว่านั้นตัวนางเองก็ได้รับมิต่างกัน
เพียงแต่มันยังมีสายตาหยามเหยียดส่งมาให้ได้เห็นจากสาวใช้บางคน ดูท่าคงจะหมั่นไส้กระมัง ที่เจ้านายสั่งให้ดูแลนางอย่างดี เสมือนเป็นนายคนหนึ่งของจวน
“แบบนี้ก็ดีนะ อย่างน้อยก็ไม่ต้องไประหกระเหเร่ร่อนหรือปลูกผักขาย แต่ถ้าอยู่ในตำแหน่งอนุ อีตานั่นคงไม่”
นึกถึงตรงนี้ก็ขนลุกขึ้นมาดื้อๆ เพราะกลัวเขาจะเข้าหา เพราะอย่างไรเสียนางก็ขึ้นชื่อว่าเป็นอนุเจ้าของเรือน
“ไม่ได้ เรื่องนี้ต้องตกลงกับเขาให้เรียบร้อย” นึกในใจ รอแค่โอกาสที่จะได้คุยกับเขาอีกครั้ง ทว่ายามนี้นางกำลังถูกจับให้อาบน้ำ ซึ่งมีบ่อน้ำอุ่นทรงสี่เหลี่ยม โรยด้วยกลีบดอกไม้มากมายส่งกลิ่นหอม ไอน้ำลอยคละคลุ้งไปทั่วห้อง
“เอ่อ พวกเจ้าออกไปเถอะ ข้าขออาบคนเดียวแล้วกัน มิชินที่จะมีคนอยู่ด้วยน่ะ” บอกอย่างอายๆ ใครมันจะกล้าแก้ผ้าต่อหน้าคนอื่นกันล่ะ
“เช่นนั้นพวกเจ้าออกไปเถอะ ข้าจะอยู่รับใช้อนุซูของท่านอ๋องเอง” หนึ่งในสาวใช้เอ่ยขึ้น ทว่าประโยคหนึ่งที่ได้ยินมันก็ทำให้คนมาใหม่ตาโตทันที
“หา! ดะ เดี๋ยวนะ ใครคือท่านอ๋อง แล้วอนุซูคือใคร” ร้องถามเสียงหลง มองซ้ายขวาหาคนที่อีกฝ่ายเอ่ยถึง
“เอ๋! ก็ท่านอย่างไรเจ้าคะ อนุซู ท่านอ๋องรับสั่งว่าพระองค์คืออนุซูของท่านอ๋อง ให้พวกเราดูแลให้ดีเจ้าค่ะ”
หรงเอ๋อตอบตามจริง ก่อนที่นางจะพาฟางซินมา ก็ได้รับคำสั่งจากตี้อ๋องแล้ว ว่าสตรีผู้นี้คืออนุซูของจวนนี้ รอแค่ราชโองการแต่งตั้งเท่านั้น
“ฉันเหรอ! อนุซูของท่านอ๋อง” หลุดคำปัจจุบันออกมาจนได้ เพราะมิคิดว่าจะได้ยินเรื่องตลก ทว่าสายตาและท่าทางของสาวใช้นางนี้กลับทำให้ฟางซินรู้สึกกังวลขึ้นมา
“ระ เรื่องจริงเหรอ ถ้าเช่นนั้นที่นี่ก็จวนอ๋องใช่หรือไม่ แล้วคนผู้นั้นก็คือท่านอ๋องงั้นหรือ” ถามเสียงสั่น
“เจ้าค่ะ ที่นี่คือจวนตี้อ๋อง พระองค์ทรงเป็นเสด็จอาของฮ่องเต้ เป็นเชื้อพระวงศ์องค์เดียวของราชวงศ์ก่อน อนุซูไปอยู่ที่ใดมาจึงมิรู้เรื่องนี้เจ้าคะ” อีกฝ่ายก็ถามอย่างใคร่รู้
“หึหึ ก็อยู่คนละยุคกับที่นี่น่ะสิถึงไม่รู้” ได้แต่ตอบในใจ ทว่าใบหน้านั้นกลับเผยยิ้มแห้งออกมา