บทย่อ
ตี้อ๋องคนปากร้าย เสเพลประจำแคว้น และภูมิหลังของเขาที่น้อยคนจะรู้ ทว่า! มันถูกสยบลงเมื่อเจอกับสตรีต่างยุค ซึ่งอายุห่างกันพอๆกับรอบปักปิ่นของนาง วัวแก่ริกินหญ้าอ่อน หรือ หญ้าอ่อนอยากให้วัวแก่กินกันนะ
1. ข้ามมิติ
“ทุกคนหายไปไหนแล้วเนี่ยะ” เสียงของนักเรียนสาววัยสิบหกปีดังขึ้น เธอกำลังเดินตามหาเพื่อนในดงหมอก มือถือถูกยกขึ้นมาเปิดไฟส่องทางแทนเพราะไม่มีสัญญาณ
“เมื่อกี้ยังไม่มีหมอกเลยนะ มาจากไหนเร็วจัง นี่มีใครอยู่บ้าง ตอบด้วย!! มีมี่! จูจู!” เธอร้องตะโกนเรียกชื่อเพื่อนในคณะที่มาเข้าค่ายด้วยกัน เพื่อทำกิจกรรมกับทางโรงเรียนซึ่งจัดขึ้นเป็นปกติทุกปี ทว่าแค่เดินเข้าไปส่องในถ้ำไม่ถึงสิบนาที ออกมาทุกอย่างมันก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว
ไม่มีเสียงตอบรับให้ได้ยินจนใจเธอเสีย ทว่าจู่ๆ ก็มีแสงไฟส่องสว่างมาทางนี้ ใจดวงน้อยชื้นขึ้นมาคิดว่าต้องเป็นเพื่อนที่มาตามหาเธอแน่ๆ จึงรีบเดินตรงเข้าไป สองเท้าหยุดชะงักลงทันทีเมื่อเห็นคนถือโคมไฟชัดๆ
“ขะ..คุณยาย มาทำอะไรแถวนี้คะ” เธอถามเสียงสั่น เพราะคนตรงหน้าแต่งตัวเหมือนคนยุคโบราณไม่มีผิด
“มาส่งเจ้า” เสียงแหบพร่าของหญิงชราเปล่งออกมา ฟังดูแล้ววังเวงยิ่งนัก ขนบนแขนลุกซู่จนเธอต้องยกมือขึ้นลูบไปมาเบาๆ ทว่าสายตาก็ยังมองอยู่ที่ใบหน้าของอีกฝ่าย
“คุณยายรู้เหรอคะว่าทางออกจากที่นี่อยู่ตรงไหน” ถามออกไปพร้อมกับยกมือขึ้นถูกันไปมา เพราะอากาศในตอนนี้มันเย็นลงอย่างน่าประหลาด
“หากเจ้าอยากออกไป ก็ต้องเลือกว่าจะรับโคมไฟอันไหน มิบังคับชะตาล้วนแต่อยู่ในมือเจ้า” หญิงชรายังคงเอ่ยวาจากำกวมกับนักเรียนสาว
เธอยิ้มแหยส่งให้ พร้อมกับนึกขำในใจ “หลงป่าอยู่แท้ๆ ยังมีคนมาชวนเล่นเกมส์อีก หรือว่าพวกรุ่นพี่จะแกล้ง ก็ได้ ตามน้ำไปแล้วกัน จะได้จบเร็วๆ”
“เอ่อ คุณยายคะ ถ้าเลือกอันใดอันหนึ่งแล้ว ชะตาหนูจะเป็นยังไงคะ หนูจะมีแฟนหล่อไหม” พูดเล่นกับอีกฝ่าย
“เลือกสิ ถูกใจอันไหนเจ้าก็เลือกเอา” หญิงชรามิได้ตอบ นางยื่นโคมทั้งสองมาด้านหน้า
“ถ้าหนูไม่รับล่ะคะ” เธอยังไม่วายถาม เพราะเริ่มรู้สึกประหลาดขึ้นเรื่อยๆ เมื่อบรรยากาศโดยรอบมันเริ่มจะมืดลงแล้ว ทั้งที่ตอนเข้ามาในป่ามันพึ่งจะสิบโมงเอง
“หากมิรับ ข้าก็ช่วยเจ้ามิได้แล้วฟางซิน” หญิงชราเอ่ยบอกแผ่วเบา “เจ้าจะติดอยู่ที่นี่ไปไหนมิได้ ต้องเลือกระหว่างสองมิติ จะหมดเวลาแล้ว” นางยื่นโคมไฟมาตรงหน้าหญิงสาวอีกครั้ง
ซึ่งตอนนี้เธอกำลังชะงักงันกับน้ำเสียงและสิ่งรอบตัว จึงรีบคว้าเอาโคมสีแดงมาถือไว้ เพราะรู้สึกว่ามันส่งผ่านความอบอุ่นมาให้ สัมผัสหนาวเย็นค่อยๆ จางไปทีละน้อย ราวกับว่ามีบางสิ่งขับไล่มันไปเสียอย่างนั้น
“ข้าคงส่งเจ้าได้แค่นี้ เจ้ามิควรเข้าไปในถ้ำเลย ใช้ชีวิตที่เหลือต่อไปให้ดีเถอะนะ” สิ้นเสียงคนตรงหน้าก็หายวับไปต่อตา ร่างเล็กสูงร้อยห้าสิบห้าทรุดลงนั่งทันที ตากลมโตเบิกกว้าง หายใจแรงเพราะตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่มีการแกล้งหรือเซ็ทฉาก และที่แน่ๆ มันไม่ใช่ความฝัน
“ไม่จริง! ไม่จริง! นี่เราถูกผีหลอกกลางวันแสกๆ เลยเหรอ” พูดกับตัวเองซ้ำไปซ้ำมาอยู่พักใหญ่ เพราะเธอไม่เชื่อเรื่องผีแต่กลับมาเจอกับตัวแบบนี้
ท้องฟ้าสว่างขึ้นอีกครั้ง ทว่ามันไม่ปกติเลยเมื่อเธอตั้งสติได้ มองไปรอบตัวมีแต่ป่าทึบ ถ้ำด้านหลังที่เคยเข้าไปก็มีต้นไม้เล็กปกคลุมปากทาง เกือบจะดูไม่ออกด้วยซ้ำว่ามันคือแหล่งท่องเที่ยวที่ทุกคนต้องมาชมความงามด้านใน
“มะ ไม่จริงน่า” น้ำเสียงเธอแผ่วเบามาก เพราะไม่สามารถทำใจเชื่อได้จริงๆ ทางเดียวที่คิดได้ตอนนี้คือเธอต้องรีบออกจากป่า ก่อนที่จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอีก
แต่เธอก็ต้องตกใจอีกเป็นรอบที่สาม เมื่อโคมไฟที่เคยถืออยู่ในมือ มันสลายหายไปเป็นเพียงควันสีขาว และเจือจางจนไม่เหลือสิ่งใดติดมือเลย สร้างความประหลาดใจให้เธอจนขนลุกซู่
“อะไรอีกล่ะเนี่ยะ ทำไมโคมไฟถึงหายกลายเป็นควันไปได้” เธอพูดกับตัวเองด้วยสีหน้าตื่นตกใจอีกรอบ “ช่างเถอะ รีบไปจากที่นี่ดีกว่า”
สิ่งที่สำคัญกว่าตอนนี้คือหาทางออกจากที่นี่ต่างห่าง เด็กสาววัยสิบหกปี จึงจำต้องเดินลัดเลาะออกจากป่าไปลำพัง ยิ่งเดินมันก็ยิ่งไม่คุ้นตา รอบตัวมีแต่ป่า มองดูมือถือก็ไม่มีสัญญาณเลยสักนิด ตอนนี้ฟางซินเริ่มหวั่นใจแล้วว่า สิ่งที่คุณยายคนนั้นพูดมันต้องมีอะไรแอบแฝงแน่ๆ
สามปีกว่าผ่านไป หลังจากฟางซินหลุดเข้ามาอยู่ในอีกมิติ
ณ ท้องพระโรงแคว้นเหลียง ยามนี้กำลังเกิดการถกเถียงกันระหว่างขุนนางในราชสำนัก ซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานานนับตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ บางสกุลก็เป็นปรปักษ์กันมานานนับร้อยปี จนถึงวันนี้ก็ยังมิลงรอยกัน
เสียงถอนหายใจแรงของผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรดังขึ้น เขารู้สึกเบื่อหน่ายที่ต้องมานั่งฟังคนเหล่านี้โต้เถียงกันด้วยเรื่องเก่าก่อน หาประโยชน์ให้บ้านเมืองมิมีเลยสักนิด ทว่ายามมิมีเสด็จอาและท่านน้าอยู่ด้วย ก็ยากจะต่อกรกับคนเหล่านี้ เพราะแต่ละฝ่ายต่างก็มีฮองเฮาและไทเเฮาคอยหนุนอยู่ มิรู้ว่าเหตุใดวังหลังจึงได้วุ่นวายเช่นนี้
บางครา จื่อหลิน ก็มิเข้าใจ ไยพวกเขาต้องแก่งแย่งอำนาจกันด้วย ต่างฝ่ายต่างอยู่ไปเงียบๆ มิได้หรือ ในเมื่อพวกเขาบอกว่าทำเพื่อสกุลต้วน เหตุใดต้องทำให้ราชสำนักปั่นป่วนเพียงนี้ เห็นทีไรเขาก็เหนื่อยใจทุกครา
“หลี่กงกง ข้าจะเข้าข้างใน” เอ่ยแล้วก็ลุกขึ้นในทันที ทำเอาเหล่าขุนนางที่มองเห็นต้องรีบคุกเข่า เพราะมิเข้าใจการกระทำนี้ของผู้เป็นนายเหนือหัว
“ฝ่าบาท จะเสด็จที่ใดพ่ะย่ะค่ะ” มหาเสนารีบร้องถาม เรื่องที่ถกเถียงกันยังมิได้ข้อสรุป ฮ่องเต้ก็จะเสด็จหนีเสียแล้ว ทว่าสิ่งที่ได้รับกลับมาคือสายตาคมดุและเสียงขุ่น
“หึ! ให้ข้ามานั่งฟังเรื่องที่พวกเจ้าแบ่งอำนาจกันมิลงตัวน่ะหรือ เรื่องที่เจ้าสองคนถกเถียงกัน ผู้ใดได้ประโยชน์ ชาวบ้านหรือพวกเจ้า” ถ้อยคำเปล่งออกมาเท่านั้น ฮ่องเต้ก็สะบัดมือทิ้งความขุ่นเคืองเอาไว้ เดินหายไปทางด้านหลังของแท่นบัลลังก์ ทิ้งให้เหล่าขุนนางต่างก็ฉงนสงสัย เพราะกษัตริย์องค์นี้มิเคยมีท่าทีเกรี้ยดกราดมาก่อน
ตำหนักชิงหลิว
“ฝ่าบาทดื่มชาก่อนพ่ะย่ะค่ะ” หลี่กงกงยื่นถ้วยชาซึ่งมีไอน้ำลอยส่งกลิ่นหอม ทว่ามันกลับมิได้ช่วยให้ฮ่องเต้วัยยี่สิบสี่ผู้นี้ผ่อนคลายลงเลยแม้แต่น้อย
เขารับมาด้วยท่าทางฉุนเฉียวเช่นเดิม นัยน์ตาก็ยังคงแดงก่ำบ่งบอกถึงอารมณ์คุกรุ่นด้านใน มินานพระมารดาก็คงมาหาเขาที่นี่ และนำพาความร้อนใจมาให้เช่นเคย
“หลี่กงกง สั่งองครักษ์ดูแลตำหนักให้ดี หากมิมีคำสั่งจากข้า ห้ามมิให้ผู้ใดเข้ามาทั้งนั้น”
สั่งจบก็เดินเข้าห้องด้านใน ข้ารับใช้จึงได้แต่โค้งหัวรับแล้วถอยหลังออกจากห้องไป มินานประตูก็ปิดลง และเสียงเรียกอันวุ่นวายก็ดังขึ้นตามคาด ไท่เฮาเสด็จมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับพี่ชายของพระนาง นั่นคือเสนาขวา ผู้ที่ถกเถียงกันกับมหาเสนาในท้องพระโรง ทว่าอีกฝ่ายก็เป็นพี่ชายของฮองเฮา พระญาติทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานาน
ในสมัยที่บิดาเขาครองราชย์อยู่ก็ดูสงบเสงี่ยมมิมีการแก่งแย่งอันใด ทว่าพอพระองค์สิ้นใจไปและเปลี่ยนถ่ายการครองราชย์เป็นเสด็จอาของเขาที่ขึ้นรับตำแหน่งแทน เพราะต้องรอให้จื่อหลินอายุครบยี่สิบตามกฎมนเฑียรบาลเสียก่อน จึงจะสามารถขึ้นครองราชย์ได้
ราชสำนักในยามนั้นก็เริ่มแบ่งพรรคแบ่งพวกกัน และวังหลังก็ปั่นป่วน คิดแต่จะยึดอำนาจหาผลประโยชน์ให้ตนเอง โดยมิคำนึงถึงราษฎรเลยสักนิด เขาเองก็มิต่างจากหุ่นเชิดตลอดสี่ปีมานี้ แม้จะขึ้นครองราชย์ ทว่าก็ยังมิอาจทำตามความปรารถนาได้ทุกอย่าง
โดยเฉพาะเรื่องของราษฎร เป็นต้องรอความเห็นชอบจากขุนนางในราชสำนักทุกครั้งไปมิเช่นนั้นก็จะต้องทนฟังมารดาเลี้ยงและฮองเฮาที่พึ่งแต่งตั้งได้สองปีส่งเสียงโต้แย้งอยู่มิขาด จื่อหลินนึกถึงเสด็จอาและน้าชายอย่างตี้ซีเหยียน และซือฉางอี้ยิ่งนัก หากพวกเขาอยู่เรื่องวุ่นวายก็คงมิเกิดขึ้น ตัวเขาเองก็คงได้อยู่สงบสุขกว่านี้