2. ตี้อ๋อง [ตี้ซีเหยียน]
นอกตำหนัก ยามนี้มีร่างสูงสง่าของอ๋องสาม พระอนุชาคนละมารดากับฮ่องเต้ นามว่าเสิ่นหลาง เป็นบุรุษหนุ่มรูปงามที่ชาวเมืองยกย่องให้เป็นเทพบุตร เพราะมีใบหน้าคมคาย จมูกเรียวโด่งราวกับถูกปั้นแต่ง ทว่าเขานั้นขี้โรคเจ็บป่วยอยู่บ่อยครั้ง จึงมิค่อยได้ออกมาร่วมประชุมนัก ถึงกระนั้นก็ช่วยเหลืองานราชการได้ดีเสมอ
น่าเห็นใจที่เขามิมีฐานเสียง มิมีขุนนางสนับสนุนเช่นอ๋องผู้พี่ เพราะเป็นโอรสที่เกิดจากกุ้ยเฟย มารดาก็ตายไปตั้งแต่เขาสองขวบ ได้รับการเลี้ยงดูจากไทเฮาองค์ปัจจุบัน ซึ่งยามนั้นดำรงค์ตำแหน่งเป็นซูเฟย
หากฮองเฮาพระมารดาของจื่อหลินมิสิ้นใจตายไป นางก็มิได้ขึ้นมาเป็นไทเฮาในยามนี้ และกุมอำนาจมากมายในราชสำนัก
“ท่านอ๋องทรงกลับไปก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ ยามนี้ฝ่าบาททรงกริ้วอยู่ มิอยากพบผู้ใดจริงๆ” หลี่กงกงเดินออกมารายงานผู้ที่ยืนอยู่หน้าตำหนัก เกรงว่าเขาจะรอนาน เพราะยามนี้ผู้เป็นนายสั่งห้ามมิให้เข้าพบเด็ดขาด
“งั้นหรือ คงเกี่ยวกับการประชุมอีกแล้วสินะ” กล่าวเสียงเศร้า นึกเห็นใจพระเชษฐาอยู่มิน้อย
“พ่ะย่ะค่ะ เรื่องเดิมๆ” ว่าแล้วกงกงเฒ่าก็โค้งคำนับนายผู้นี้ ก่อนจะก้าวถอยกลับเข้าไปในตำหนัก
“หากเสด็จอาอยู่ก็คงดี” ว่าแล้วก็เดินถอนหายใจกลับไปยังตำหนักของตน เป็นจังหวะที่ต้องเดินสวนทางกับไทเฮาพอดี จึงรีบโค้งคำนับอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม
“เจ้ามาเยี่ยมฝ่าบาทกระนั้นหรือ” ถามเสียงเรียบเป็นปกติที่นางทำเสมอยามพบหน้าเสิ่นหลาง
“พ่ะย่ะค่ะ ทว่าเสด็จพี่ทรงพักผ่อนแล้วกระหม่อมจึงมิอยากรบกวน” บอกตามจริง หวังให้พระมารดาเข้าใจพระเชษฐา หากเดามิผิดคงมาขอร้องแทนพระญาติเป็นแน่
“หึ! มิพบเจ้า ก็ใช่ว่าจะมิพบข้า” เอ่ยเพียงเท่านั้นนางก็เดินตรงไปยังตำหนักของฮ่องเต้ เสิ่นหลางจึงได้แต่ส่ายหัว
“ดูท่าฝ่าบาทคงหลบเลี่ยงไทเฮามิพ้นแน่พ่ะย่ะค่ะ มาราวกับพายุเช่นนั้น” ซือหยาง คนสนิทของเสิ่นหลางเอ่ย
“ทำเช่นใดได้ หากฝ่าบาทยังคงใจอ่อนอยู่เช่นนี้ ก็มีแต่จะถูกจูงจมูกอยู่ร่ำไปนั่นแหละ” เอ่ยก่อนจะถอนหายใจยาว เมื่อนึกถึงความวุ่นวายในราชสำนักที่เกิดมาตลอดสามปีนี้ นับตั้งแต่ตี้อ๋องและแม่ทัพซือมิได้พำนับในเมืองหลวง เหล่าขุนนางก็แบ่งพรรคแบ่งพวกอย่างที่เห็น โดยเฉพาะวังหลังที่แก่งแย่งอำนาจกันจนยุ่งเหยิง
“ข้าจะออกไปนอกเมือง เจ้าเตรียมรถม้าให้ด้วย” เสิ่นหลางเอ่ยกับคนของตน ก่อนจะตรงไปรอนอกวัง
ตำหนักชิงหยาง
ที่นี่คือสถานที่พำนับของพระอนุชาฮ่องเต้อีกคนนามว่า ไห่ถัง อายุยี่สิบสอง เป็นโอรสแท้ๆ ของไทเฮา ถืออำนาจของมารดาอยู่ในมือ ฝ่ายขุนนางในราชสำนักจึงหันมาสนับสนุนเขามากกว่าฮ่องเต้เสียอีก เพราะเขานั้นนำพาประโยชน์มากมายมาให้ เป็นที่ถูกใจเหล่าขุนนางยิ่งนัก
“ท่านอ๋องไทเฮาทรงเสด็จไปหารือกับฝ่าบาทแล้วอย่าทรงร้อนพระทัยเลยพ่ะย่ะค่ะ” คนสนิทเขาเอ่ยขึ้น
“เจ้าจะมิให้ข้ากังวลได้เยี่ยงไร หากคนของมหาเสนาได้ดูแลท่าน้ำในเมืองฉาง รายได้ก็จะตกไปอยู่ในมือพวกมัน และถ้าฝ่ายนั้นตรวจสอบขึ้นมาจะทำเช่นไร” ไห่ถังเอ่ยสิ่งที่คิดในใจ ท่าน้ำที่มีลูกพี่ลูกน้องดูแลมานับสิบปี กำลังจะตกไปอยู่ในมือคนของฮองเฮา
หากมีการตรวจสอบก็อาจพบเห็นการยักยอกสินค้าที่ส่งเข้าวังมาทุกรอบก็เป็นได้ ทว่าหากฝ่ายนั้นได้รับไป คงมิมีทางแจ้งเรื่องนี้กับราชสำนัก เพราะหวังในผลประโยชน์เช่นกัน
“กระหม่อมจะรีบกลับไปทำลายหลักฐานพ่ะย่ะค่ะ อย่างน้อยก็กันไว้ดีกว่าแก้” เหรินเจี๋ยออกความคิดเห็น
“เจ้ารีบไปจัดการเถอะ” ออกคำสั่งแล้วก็ยกจอกชาขึ้นจิบ นึกถึงท่าทีของฮ่องเต้เมื่อเช้าเขาก็ชักสงสัย เหตุใดจึงมีท่าทีเกรี้ยวกราดนัก ทั้งที่เป็นคนใจเย็นสุขุมมาตลอด ทว่ายามนี้เรื่องที่สำคัญกว่าก็คือการแย่งชิงท่าน้ำกลับมา
“หวังว่าเสด็จแม่จะทำสำเร็จนะ” เปล่งวาจาแผ่วเบา เพราะเป็นกังวลกับเรื่องนี้มาก แต่เขาก็คิดว่าอย่างไรเสียพระมารดาก็ต้องเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้ได้แน่ แม้นางจะมิใช่แม่แท้ๆ ของผู้ครองบัลลังก์ ทว่าไทเฮาก็เลี้ยงดูมาหลายปีในยามที่ฮองเฮาองค์ก่อนเสีย
พระมารดาเขาจึงรับตำแหน่งแทน และดูแลฮ่องเต้ในวัยหนุ่มไปด้วย ทว่าในใจก็มิได้รักใคร่จื่อหลินอยู่แล้ว เพราะพระนางก็อยากให้โอรสของตนขึ้นครองราชย์ จึงร่วมมือกับซานหลางเมื่อสี่ปีก่อน
ทว่า ทุกอย่างก็มิเป็นไปตามคาด ยังดีที่อ๋องซานหลางมิซัดทอด ยอมตายไปโดยมิเปิดเผยความลับเรื่องนี้ นางจึงสัญญาจะแก้แค้นให้ แต่จนแล้วจนรอดก็มิมีโอกาสเสียที จะวางยาเช่นเดิมก็มิอาจทำได้ เพราะฮูหยินของแม่ทัพซือ ปรุงยาเก่ง ทั้งยังมีเก็บสำรองไว้อีก จึงมิอาจทำการได้เช่นแต่ก่อน จำต้องรอโอกาสเหมาะเท่านั้น
ไห่ถังยังคงนั่งจิบชารอข่าวดีอย่างใจเย็น ผ่านไปมิทันถึงหนึ่งก้านธูป [30นาที] พระมารดาก็กลับมา พร้อมใบหน้าบูดบึ้ง ทำเอาเขาอดใจหายตามมิได้
“เสด็จแม่ ไยถึงมีสีหน้าเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ” รีบยื่นมือออกไปรับนางมานั่งลง อีกฝ่ายก็ทุบมือลงอย่างขัดใจ
“เจ้ารู้หรือไม่ จื่อหลินมิยอมพบข้า แม้แต่ฮองเฮาก็มิยอมให้เข้าพบเช่นกัน ดูท่าเรื่องนี้คงจะยากแล้ว” เสียงที่เปล่งออกมาขุ่นมัวยิ่งนัก คงเพราะมิเคยถูกปฎิเสธมาก่อน จึงทำให้พระนางมิพอใจเป็นอย่างมาก คิดว่าฮ่องเต้จะว่าง่ายเช่นเดิม แต่ครานี้กลับแข็งกร้าวขึ้นมา
“มิคิดเลยว่าฝ่าบาทจะทรงแข็งกร้าวขึ้นมาเช่นนี้ หรือว่าจะรู้สิ่งใดมาพ่ะย่ะค่ะ” ไห่ถังเอ่ยอย่างร้อนใจ
“นั่นสิ ตี้ซีเหยียนก็มิอยู่ในเมืองหลวงเป็นปีแล้ว เหตุใดฝ่าบาทจึงมีท่าทีเช่นนี้ หรือว่าที่เขาหายไปเพราะสืบเรื่องนี้อยู่” แค่ได้เอ่ยนาม สองแม่ลูกก็เป็นกังวลหนักแล้ว แม้พระอนุชาฮ่องเต้องค์ก่อนผู้นี้จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับราชกิจ ทว่า ยามที่เขากลับมาก็มักจะมีผลงานติดมือมาเสมอ จึงทำให้เหล่าขุนนางที่คดโกงต่างก็เกรงกลัวเขาเป็นอย่างมาก
“ลูกให้เหรินเจี๋ยไปจัดการสมุดบัญชีแล้ว เสด็จแม่อย่ากังวลไปเลย หากเสด็จอาสืบเรื่องนี้จริง ลูกก็มีวิธีจัดการพ่ะย่ะค่ะ” บอกมารดามิให้เป็นห่วง ไห่ถังมักจะมีแผนสำรองไว้เสมอ
หากเกิดเรื่องเขาก็แค่โยนทุกอย่างให้เจ้าเมืองฉางรับผิดชอบ เพราะมีตัวประกันชั้นดีเช่นบุตรสาวของเจ้าเมืองซึ่งเขารับนางมาเป็นอนุด้วยการนี้โดยเฉพาะ หากฝ่ายนั้นมิซื่อเขาก็จัดการบุตรสาวอันเป็นที่รักทิ้งเสีย เพราะเก็บไว้ก็มิมีประโยชน์อันใดอีกต่อไป
“เจ้าอย่าได้ประมาทตี้ซีเหยียนเชียว คนผู้นี้มิใช่จะต่อกรด้วยง่ายๆ ขนาดมีคนลอบสังหารบ่อยครั้งเขาก็ยังรอดมาได้ มิรู้มีเทพองค์ใดคอยปกป้องนัก” ซุ่มเสียงไทเฮาดูมิพอใจเป็นอย่างมาก
เพราะพระนางก็เป็นหนึ่งในคนที่อยากให้อ๋องผู้นี้ตายไปเสีย เพราะฐานะของเขาหากจะขึ้นนั่งแท่นบัลลังก์เองก็ย่อมทำได้ ด้วยว่าเป็นสายเลือดบริสุทธิ์โดยแท้ของราชวงศ์ตี้ที่เหลืออยู่
อ๋องผู้นี้ก็แค่มิชอบความวุ่นวายจึงสละราชบัลลังก์ให้พี่ชาย ซึ่งเป็นโอรสที่เกิดจากสนม หาใช่ฮองเฮาผู้มีฐานะสูงศักดิ์เป็นถึงราชนิกูลจากราชวงค์เก่า เช่นพระมารดาของอ๋องตี้ซีเหยียนไม่ เหตุนี้เขาจึงสามารถขึ้นดำรงค์ตำแหน่งฮ่องเต้ได้ทุกเมื่อหากต้องการ
เพราะเป็นผู้ถือป้ายหยกแดง ของราชนิกูลนี้ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งแคว้นเหลียงให้รวมเป็นปึกแผ่น ขยายอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลอย่างที่เห็น หากเขาต้องการแผ่นดินเมื่อใดก็ทำได้เสมอ ทว่าเขาก็รักสนุกเที่ยวกินดื่มไปวันๆ นั่นคือสิ่งที่ตี้ซีเหยียนทำให้เห็น
แต่ถึงกระนั้นเมื่อมีโอกาสก็จะมีคนลอบฆ่าเสมอ แม้อ๋องผู้นนี้จะยืนกรานว่ามิขอยุ่งเรื่องราชสำนักก็เถอะ ทว่าสิบปีมาแล้วก็ยังมิมีผู้ใดปลิดชีพเขาได้เลย แม้จะบาดเจ็บสาหัสในบางครา เขาก็ยังคงมีชีวิตรอดได้จนถึงทุกวันนี้