5. ต้องเอาให้คุ้ม 18++
ผ่านไปหนึ่งเค่อ [15นาที] ปลาที่ทุกคนลงมือย่างจนไหม้เกรียมก็สุกได้กิน ตี้อ๋องเองก็เดินมานั่งรอบกองไฟกับคนของตน เพราะอยากดูว่าสตรีที่พามาด้วยทำอันใด จึงได้เอาดินมาพอกปลาเช่นนี้
“นายท่านนี่ขอรับ” ตงไห่ส่งชิ้นปลาที่แกะแล้วให้ผู้เป็นนาย ทว่าสายตาก็ยังจับจ้องมาที่ฟางซิน ซึ่งมีใบหน้ามอมแมมมากกว่าเดิม เพราะก่อนนั้นขุดดินยังมิทันล้างมือ ก็ยกขึ้นซับเหงื่อตนเองแล้ว เลยทำให้เปื้อนเปรอะจนดูมิได้
ร่างเล็กเดินไปเด็ดเอาใบไม้ขนาดพอดีมารองปลาที่แกะดินออกแล้ว มันแห้งจนติดกับเกร็ดปลา ทำให้ลอกออกได้ง่าย ทุกคนต่างก็พากันมองอย่างสนใจ มิเว้นแม้แต่ตี้อ๋อง เพราะมิคิดว่าสตรีผู้นี้จะคิดเรื่องเช่นนี้ได้ และยิ่งไปกว่านั้นกลิ่นหอมของอาหารมันก็โชยมาให้อยากลิ้มลอง จนทุกคนที่ได้กลิ่นต่างก็กลืนน้ำลาย
“รับไปสิ ข้าให้ชิม ต่อไปจะได้ไม่ต้องกินปลาจืดๆ อีก” ว่าพร้อมกับแบ่งเนื้อปลาให้ตี้อ๋อง ซึ่งฟางซินสังเกตดูแล้วเขาน่าจะเป็นเจ้านายของคนกลุ่มนี้ การเอาใจเขาน่าจะเป็นหนทางรอดจากคนที่คิดไม่ดีกับนาง
เพราะตั้งแต่ลงมาจากรถม้า ก็มีสายตาของใครบางคนจับจ้องอยู่ มันดูไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด จนกว่าจะเข้าเมืองต้องทำตัวดีๆ เข้าไว้ ถึงยามนั้นค่อยหาทางหนีทีไล่อีกครา
“นี่เจ้า! พูดจาให้มันมีหางเสียงหน่อย อีกอย่างนายข้ามิใช่ใครคิดจะพูดด้วยก็พูดได้” ตงไห่ยังมิวายตำหนิสตรีตัวน้อย ฟางซินจึงดึงมือตนกลับมา ทว่าตี้อ๋องกลับจับข้อมือนางไว้ แล้วใช้อีกมือจับเอาห่อใบไม้มาวางตรงหน้า
“ท่าน เอาะ” จงฟานหมายจะท้วง พอเห็นสายตาผู้เป็นนายก็เงียบปากลง ก่อนจะมองกลับมาที่สตรีตัวน้อย ซึ่งหยิบปลาเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย ตี้ซีเหยียนเองก็ชำเลืองมอง เมื่อเห็นนางกินได้เขาก็หยิบใส่ปาก และชะงักกับเนื้อปลาที่นุ่มละมุนลิ้น มันมีรสชาติเหมือนใส่เกลือลงไปด้วย
“ดินนั่นทำให้มีรสชาตินี้กระนั้นหรือ” ถามในสิ่งที่สงสัย
“ใช่ ตรงนั้นเป็นดินเค็ม ปลุกสิ่งใดก็มิขึ้นแม้แต่หญ้า ข้าเลยเอามาพอกปลา เพราะมันมิได้มีอันตรายหากกินเข้าไป ซ้ำยังเพิ่มรสชาติให้อาหารด้วย” บอกตามจริง ทำเอาผู้ที่นั่งรายล้อมเป็นวงกลมอยู่ถึงกับเป็นงง พวกเขามิเคยรู้มาก่อนเลยว่าจะมีดินประเภทนี้อยู่ มันก็มิแปลกนักเพราะมิค่อยปรากฎให้เห็น ส่วนมากก็อยู่ในป่าตามทุ่งหญ้าเช่นนี้
ฟางซินยังคงกินปลาที่ย่างเองอย่างเอร็ดอร่อยและกินจนหมด เหล่าบุรุษต่างก็พากันจ้องมองสตรีตัวน้อย ซึ่งน่าจะเลยวัยปักปิ่นมานานมากแล้ว เหตุใดนางจึงยังมิแต่งงานออกเรือนไป ไฉนจึงอยู่กับยายแก่สองคน
ทว่าความสงสัยทั้งหมดพวกเขามิได้รับคำตอบ แต่ต้องมาเป็นผู้ถูกถามของนางเสียเอง เมื่อฟางซินเริ่มเอ่ยในสิ่งที่อยากรู้เมื่อกินเสร็จแล้ว
“ท่านยายข้าตายได้อย่างไร แล้วเหตุใดท่านต้องลักพาตัวข้ามาด้วย” ถามพร้อมกับมองหน้าตี้อ๋อง เพราะเขาน่าจะเป็นคนเดียวที่ตอบนางได้
ถามคนอื่นก็คงรอเขาอนุญาตอยู่ดี เพราะฉะนั้นถามคนที่เป็นนายก็น่าจะง่ายกว่า ตี้ซีเหยียนจ้องกลับสตรีตรงหน้า เกิดมายังมิมีใครกล้าใช้สายตาเยี่ยงนี้กับเขาเลย ดูท่านางคงอยากลองดีกระมัง
“ก่อนตายยายเจ้าร้องขอให้นายท่านพาเจ้ามาด้วย เพราะอยู่ที่นั่นเจ้าก็มิมีญาติมิใช่หรือ” จงฟานตอบเลี่ยงสาเหตุการตายของหญิงชรา
“แล้วพวกท่านไปอยู่ที่นั่นได้อย่างไร อีกอย่างยายข้าตายได้เยี่ยงไร เป็นอันใดถึงตาย” ถามจี้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น จนเหล่าคนสนิทของตี้อ๋องมีอาการอึกอัก หากพวกเขามิตามเหรินเจี๋ยไปที่เรือนของนาง จนเกิดต่อสู้กัน ยายแก่ผู้นั้นคงมิต้องรับเคราะห์แทนผู้เป็นนายเขา
“ยายเจ้าตายเพราะข้า นางจึงขอให้ข้ารับเจ้าไปเป็นอนุ นางคือผู้มีพระคุณข้าจึงรับปาก แต่อย่าห่วงหลังจากหนึ่งปีข้าจะปล่อยเจ้าเป็นอิสระ เรื่องงานศพข้าให้คนจัดการทุกอย่างแล้วเจ้าแค่ทำตัวดีๆ ก็พอ” ตี้อ๋องเอ่ยเสียงเรียบ
“อะไรนะ! ท่านยายตายเพราะช่วยท่านงั้นหรือ” ร้องถามเสียงตื่น ทว่าบางสิ่งที่ได้ยินอีกประโยคมันก็ทำให้คนฟังเปล่งเสียงออกมาอีก
“เดี๋ยวนะ! เมื่อครู่ได้ยินว่าท่านยายให้รับข้าเป็นภรรยางั้นหรือ ข้ามิใช่หลานแท้ๆ ของท่านยาย เพราะฉะนั้นคำพูดนี้ถือเป็นโมฆะ วันพรุ่งทางใครทางมันแล้วกัน” บอกอย่างที่คิด มิยอมเป็นของคนตรงหน้าแน่ ถึงแม้ว่านางกับเขาจะเคยทำเรื่องนั้นกันมาแล้วก็เถอะ
“หึ! คิดหรือว่านายข้าจะรับสตรีเช่นเจ้าเป็นภรรยา สตรีอุ่นเตียงยังมิมีหวังเลย อย่าฝันสูงนัก” ตงไห่หยันคนตัวเล็กซึ่งหน้า ทำเอาฟางซินถึงกับยกยิ้ม เพราะดูเหมือนทั้งนายและบ่าวจะจำนางมิได้
“แบบนี้ก็ดี งั้นก็ตามน้ำไปแล้วกัน” นึกในใจถึงเรื่องที่เกิดเมื่อสามปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผ่านไปยากเหลือเกินสำหรับคนที่พลัดหลงเข้ามาในยุคนี้ มิหนำซ้ำยังต้องมาเจอเรื่องมิคาดคิดมากมาย กว่านางจะแกร่งและผ่านมันมาได้เช่นทุกวันนี้ มิใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด
สามปีก่อน ในเมืองเปี้ยน
ยายเจียงป่วยหนัก และต้องการยาที่มีราคาแพง ทว่าฟางซินพึ่งมาอยู่ด้วยแค่สองเดือน ไม่รู้ว่าจะต้องไปหาเงินจากที่ไหนมารักษา หมายจะมาขอร้องให้หมอที่ตั้งค่ายอยู่นอกเมืองไปช่วย ทว่าถูกคนของตี้อ๋องเข้าใจผิด คิดว่าเป็นสตรีที่มาเสนอตัวให้ผู้เป็นนายเหมือนทุกคืน
เด็กสาววัยสิบหกในยามนั้นก็มิเข้าใจนัก มีคนให้ดื่มน้ำนางก็ดื่มเพราะคิดว่าที่นี่เป็นค่ายของหมออาสา คงต้อนรับผู้ที่เข้ามาเช่นนี้ปกติ ทว่าเวลาผ่านไปมินานนางก็ร้อนรุ่มในกาย และถูกพาเข้ามาในกระโจมของตี้อ๋อง คนนอนรอก็ไม่ถามอันใดสักนิด เพราะเข้าใจว่าเป็นสตรีที่คนสนิทจัดให้
“อ๊า..ร่องแน่นยิ่งนัก..ฮึ่ม..สตรีบ้านนอกช่างดียิ่ง” เสียงกระเส่าของตี้ซีเหยียนเปล่งออกมา เขาจับตรึงเอวคอดเอาไว้แน่น โหมแรงกระแทกสอดใส่แท่งหยกของตนดันเข้าจนสุดและชักออกเกือบสุดเพื่อกดเข้าไปใหม่ ทำเอาร่างเล็กอันเย้ายวนถึงกับตัวสั่นคลอน
ทว่านางก็มิเปล่งเสียงอันใดออกมา แม้ร่างกายจะเสียวซ่านมากก็เถอะ ใบหน้าหวานหันไปทางอื่นพร้อมกับหยดน้ำตาไหลริน พรหมจรรย์มิเหลือสิ้นแล้ว เพราะถูกบุรุษผู้นี้ย่ำยี นางมิรู้เขาเป็นใคร
แต่ในเมื่ออีกฝ่ายบอกจะจ่ายให้อย่างงาม สตรีตัวน้อยจึงจำต้องก้มรับชะตากรรม โดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ หวังเพียงมิให้เขาส่งนางให้กับบุรุษมากมายด้านนอกก็พอ เพราะเคยได้ยินว่าสตรีที่ถูกซื้อมาคนจ่ายต้องใช้ให้คุ้ม
“มองหน้าข้าเด็กน้อย..อ๊า..ซี๊ด..ทำตัวให้สมกับราคาที่ข้าจ่ายหน่อย” บอกพร้อมกับก้มลงมาหาใบหน้าที่เบี่ยงหนี มือเรียวเลื่อนจากเอวคอดขึ้นมาประกบใบหน้านาง แล้วแนบริมฝีปากลงประกบ ทั้งที่อ๋องหนุ่มมิเคยทำกับสตรีใด