14. อ่อนโยน
หึหึ เสียงจากลำคอของตี้อ๋องดังขึ้น ก่อนจะหันมาสนใจสิ่งของใต้เตียง เขาแนบตัวลงพร้อมกับสอดมือเข้าไปควานหาสิ่งที่มองเห็นก่อนนั้น มิถึงอึดใจก็คว้าออกมาได้ เขาจับพลิกไปมา แล้วหันกลับไปมองหน้าอนุตัวน้อย
“นี่หรือเปล่าที่เจ้ากำลังหา” ว่าพร้อมกับยื่นให้นาง ทว่านางก็ดันสมุดบัญชีกลับคืน
“นี่คือบัญชีที่หม่อมฉันเก็บได้ในสวนเพคะ คงเป็นสิ่งที่คนเหล่านั้นต้องการ” นางบอกเขาตามจริง มือเรียวรีบยื่นออกมาพยุงร่างเล็กให้ลุกขึ้น ท่าทางเขามันอ่อนโยนขึ้นอย่างน่าประหลาด ต่างจากเมื่อก่อนยิ่งนัก
เขานั่งลงบนเตียงโดยมีอนุตัวน้อยอยู่ข้างกาย เพราะตี้อ๋องมิยอมให้นางออกห่าง ฟางซินจึงจำต้องนั่งดูสามีตรวจดูสมุดบัญชี โดยที่มืออีกข้างก็ยังกุมเอามือเล็กมาวางบนตัก ราวกับกลัวว่านางจะหนีหายไปเสียอย่างนั้น
“เป็นบัญชีการค้าเกลือจริงๆ หึ ครานี้รุ่ยอ๋องหนีมิพ้นความผิดเป็นแน่” เสียงรอดไรฟันเปล่งออกมา นัยน์ตาเขาก็แข็งกร้าวขึ้นด้วย ก่อนจะอ่อนลงเมื่อหันมาหาคนตัวเล็ก
“เจ้าเก็บมันไว้ติดตัวตลอดเลยหรือ” ถามเสียงทุ้มอ่อน
“เพคะ บุรุษผู้นั้นคงทำตกไว้ ยามเช้าวันที่ท่านยายจากไป ข้ามีปากเสียงกับเขาเล็กน้อย มิคิดว่ายามสายจะเกิดเรื่องกับท่านยายได้” นางเอ่ยเสียงเศร้า เพราะคิดว่าเป็นความผิดของตน ที่ทำให้ท่านยายจากไป หากมิเก็บมันไว้กับตัว คนผู้นั้นก็คงหาเจอและจากไปแต่โดยดี
“อย่าคิดมาก ทุกอย่างล้วนแต่เกิดขึ้นเพราะโชคชะตา ต่อให้แม่นมเจียงมิตายในวันนั้น นางก็อยู่ได้มินานอยู่ดี อย่าได้โทษตนเองเลย” บอกก่อนจะโอบนางมาซบไหล่
“เอาล่ะ ข้ายังมีธุระที่ต้องไปจัดการอีก จะให้องครักษ์มาเฝ้าที่นี่เพิ่ม” บอกก่อนจะคลายอ้อมแขนออก เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ทว่ายังมิได้ก้าวเดินก็ถูกรั้งเอาไว้
“พระองค์คิดว่าหลักฐานนี้เพียงพอเอาผิดฝ่ายนั้นหรือเพคะ ในนี้มิมีอันใดระบุถึงผู้สั่งการเลย นอกจากตราประทับของเจ้าเมืองฉาง” ฟางซินเอ่ยเตือนสติสามี
ตี้อ๋องชะงักนิ่งไป เขามัวแต่ดีใจที่ได้หลักฐาน เป็นเช่นที่นางเอ่ย หากปราศจากประจักษ์พยานบุคคล เขาก็มิอาจเอาตัวการใหญ่มารับโทษตามที่ต้องการได้
ร่างสูงนั่งลงบนเตียงอีกรอบ เขามองดูบัญชีในมือ มันคงสะสางได้แค่เจ้าเมืองฉางและเส้นทางการเงินที่ถูกยักยอกไป นอกเสียจากว่าท่านเจ้าเมืองผู้นี้จะยอมเอ่ยปาก ซึ่งตี้อ๋องก็รู้อยู่แล้วว่ามันเป็นเรื่องยาก
“เจ้าคิดว่าข้าควรทำเยี่ยงไร” จู่ๆ เขาก็หันมาถามอนุตัวน้อย ซึ่งนางก็ได้แต่ผูกคิ้วเข้าหากัน มิเข้าใจว่าเหตุใดเขาถึงได้หันมาถามความคิดเห็นจากคนที่เขารังเกียจ
“หากถามหม่อมฉัน พระองค์ก็คงต้องรีบจับกุมตัวท่านเจ้าเมืองเอาไว้เพคะ ก่อนที่เขาจะถูกเก็บ” บอกไปอย่างที่คิด จนลืมไปว่าตนได้เอ่ยประโยคประหลาดออกมา จนสามีขมวดคิ้วเข้าหากันมองนางอย่างสงสัย
“ถูกเก็บ? หมายถึงอันใดกัน” ขยับกายหันหน้ามาหาคนตัวเล็ก รอคำตอบที่เขาอยากรู้ ฟางซินยิ้มแห้งก่อนเอ่ย
“หมายถึง สังหารก่อนที่คนอื่นจะรู้เพคะ ท่านเจ้าเมืองอาจจะถูกคนของรุ่ยอ๋องสังหารก่อนก็เป็นได้ ใครจะปล่อยให้คนที่รู้ทุกอย่างรอดชีวิตหากเรื่องที่ทำถูกจับได้ล่ะเพคะ” เพราะดูซีรี่ย์มาหลายเรื่อง ตัวละครส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนี้ ชีวิตจริงก็คงมิต่างกันนัก ยิ่งอยู่จุดสูงสุดก็ยิ่งต้องรักษาอำนาจไว้ มิให้มันสั่นคลอนแม้จะต้องกำจัดไปกี่คนก็ตาม
ตี้อ๋องเผยยิ้มออกมา ก่อนจะเอ่ยเสียงทุ้มอ่อน “หึหึ ฉลาดคิดนะเจ้า ข้าจะออกไปจัดการเรื่องนี้ ประเดี๋ยวจะให้หรงเอ๋อมาอยู่เป็นเพื่อน มิต้องห่วงจากนี้จะมิมีผู้ใดเข้ามาในจวนทำร้ายเจ้าได้อีก” บอกแล้วก็ยกมือวางบนหัวอนุ
“อะไรกันอีตาอ๋องนี่ ทำไมถึงอ่อนโยนจัง” นึกในใจในขณะเงยหน้ามองสามี สายตาเขาที่ส่งมามันต่างออกไปจากแต่ก่อนเป็นอย่างมาก
“ข้าจะรีบกลับ” บอกแล้วก็เดินออกจากห้องไป มินานหรงเอ๋อก็เข้ามา นางดูหน้าตาตื่นเมื่อเห็นผู้เป็นนายนั่งนิ่ง
“อนุซูไยถึงปากบวมเช่นนี้เจ้าคะ” ถูกทักเรื่องนี้ คนที่นั่งอยู่ก็ตาโตนึกขึ้นได้ จึงรีบยกมือขึ้นปิดปากทันที สาวใช้เห็นนางทำเช่นนี้ก็ยิ้มกริ่ม เพราะพอจะมองออกว่าเกิดสิ่งใดขึ้น จึงมิเซ้าซี้เอาความอีก
หลังจากนั้นก็ผ่านมาห้าวันแล้ว ตี้อ๋องมิได้กลับมาที่จวน เพราะเดินทางไปเมืองฉาง เพื่อจัดการกับท่านเจ้าเมือง ฟางซินเลยได้ใช้ชีวิตปกติสุขในช่วงนี้ นางออกไปเดินเที่ยวในเมือง โดยมีองครักษ์คอยติดตามข้างกายถึงสามคน และเป็นยอดฝีมือที่ตี้อ๋องคัดเลือกด้วยตนเอง ยามนี้นางกำลังเดินดูโคมไฟที่ประดับประดาเอาไว้ เพราะอีกมินานก็จะมีงานเทศกาลไหว้พระจันทร์
ยามซวี [19:00-20:59] ฟางซินเดินกลับมาที่จวน เพราะอยากออกกำลังกาย หลังจากที่กินบะหมี่ในตลาดมาเรียบร้อย พร้อมกับสาวใช้และองครักษ์ทั้งสาม
ทว่าจู่ๆ จางเหยาก็หยุดแล้วยกมือขึ้นส่งสัญญาณ ทำให้สหายที่เดินตามต้องชะงักเท้า มิต่างจากฟางซินและสาวใช้ ซึ่งยามนี้มีสีหน้าตื่นตระหนกมิน้อย
“เงียบเกินไประวังให้ดี” องครักษ์หนุ่มเอ่ยขึ้น ระยะทางเหลืออีกแค่สามตรอกก็จะถึงจวนแล้ว ตามปกติต้องมีผู้คนเดินไปมาอยู่บ้าง ทว่ายามนี้กลับเงียบสงัด ยังมิทันได้เอ่ยอันใดอีก ก็มีกลุ่มคนชุดดำมากกว่าสิบเดินออกมาห้อมล้อมคนทั้งห้าไว้
“ส่งตัวนางมา แล้วข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า” เสียงเหี้ยมภายใต้ผ้าปิดหน้าดังขึ้น พร้อมกับลูกสมุนซึ่งมีอาวุธครบมือ องครักษ์ทั้งสามรีบยืนล้อมผู้เป็นนายไว้ทันที
“อนุซูหากสบโอกาสก็วิ่งกลับจวนเลยนะขอรับ” จางเหยาเปล่งเสียงเบาบอกผู้เป็นนาย
ถึงเขาจะมีฝีมือดี ทว่าหากต่อสู้โดยต้องห่วงพะวงก็เป็นเรื่องยากที่จะรับมือ ฟางซินก็พยักหน้ารับ เข้าใจสถานการณ์ตรงนี้ดี นางเองก็มิอยากเป็นตัวถ่วงใคร อีกอย่างคนเหล่านี้ก็มาเพราะต้องการของที่อยู่กับนาง ดูท่าคงมิรามือไปง่ายๆ แน่ถ้าหากยังมิได้สิ่งที่ตามหา
“เอาตัวนางมา” สิ้นคำสั่งของหัวหน้า คนที่เหลือก็ง้างดาบเข้าหาเหล่าองครักษ์ทันที การต่อสู้เกิดขึ้นจนเสียงดาบปะทะกันดังไปทั่วถนนใหญ่ในเมือง
ฟางซินถูกสาวใช้ลากให้วิ่งออกมาจนถึงตรอกห่างจากกลุ่มขององครักษ์ที่ต่อสู้กัน เพื่อตรงไปยังจวนตี้อ๋อง ทว่าหรงเอ๋อก็ถูกลูกดอกปักลงที่ขาเสียก่อน จึงทรุดลงกับพื้นในทันที “วิ่งต่อไปเจ้าค่ะมิต้องห่วงข้าน้อย” นางเอ่ยกับผู้เป็นนาย พร้อมกับกุมต้นขาไว้แน่น
“บ้าหรือ ใครจะไปทิ้งพี่ลง” บอกอีกฝ่ายที่ยามนี้ใบหน้าซีดเผือดลงแล้วเพราะพิษบาดแผล
“หึ! มิหนีต่อแล้วหรือ” เสียงเหี้ยมของคนชุดดำเปล่งออกมา ฟางซินมองบุรุษตัวโตสามคนซึ่งกำลังก้าวเข้ามาหานาง ภายใต้ผ้าคลุมหน้านี้คงแสยะยิ้มอยู่กระมัง
“ไปกับเราเสียดีดี แล้วข้าจะปล่อยสาวใช้ของเจ้า”
“ก็ไปสิ” นางเอ่ยกับกลุ่มคนร้าย ก่อนจะเดินเบี่ยงตัวออกไป ทำเอาคนชุดดำถึงกับเป็นงง หรงเอ๋อก็ได้แต่มองตามผู้เป็นนายจนลับตาไปก่อนที่นางจะหมดสติไป
ฟางซินถูกพามายังตรอกห่างออกมาสี่ลี้ [2 กิโลเมตร] นางยังคงมิมีท่าทีตื่นกลัว ยังคงเดินนำคนร้ายไปราวกับทั้งสามเป็นองครักษ์เสียอย่างนั้น
“พี่เฉิน เหตุใดนางถึงได้ดูเฉยชาเช่นนี้ มิมีท่าทีตื่นกลัวเราเลยสักนิด” เสียงกระซิบหนึ่งดังขึ้น
“หึ! แล้วอย่างไร ก็แค่สตรีตัวเล็กนิดเดียว” เสียงหยันดังขึ้น เมื่อพวกเขาใกล้จะถึงจุดหมาย ซึ่งมีผู้เป็นนายรออยู่
ฟางซินยกยิ้มเมื่อได้ยินคำของบุรุษด้านหลัง นางยังคงเดินนำโดยที่ทั้งสามก็ยังประกบมิห่าง ดวงตาคู่สวยสำรวจมาตลอดเส้นทางเดิน เมื่อเห็นช่องทางพอเหมาะนางก็วิ่งตรงไปในทันที