15. เป็นห่วง
เสียงหัวเราะดังขึ้นตามหลัง เพราะทางที่นางวิ่งไปนั้นมันตัน มิมีทางออกนอกจากกำแพงเรือน ซึ่งมันสูงเกินกว่าคนที่มิเป็นวรยุทรจะกระโดดขึ้นไป แม้กระทั่งพวกเขาเองก็มิแน่ว่าจะทำได้ ทว่าสตรีตัวน้อยผู้นี้ก็ดีดปลายเท้ายันกำแพงแล้วหมุนตัวขึ้นไปบนหลังคาด้วยท่าทางอ่อนช้อย
“พวกเจ้ามิตามขึ้นมาหรือ” ฟางซินยังมิวายเย้ยทั้งสามก่อนจะวิ่งไต่ไปตามหลังคา และมันอยู่คนละด้านกับคนร้ายซึ่งเริ่มวิ่งมาสบทบกันเรื่อยๆ ทว่าทั้งหมดก็ได้แต่ยืนมองตามร่างเล็กที่หายไปท่ามกลางความมืด และมันก็อยู่ในเขตของจวนเสิ่นอ๋อง
“ทำเช่นไรดีขอรับพี่เฉิน” กลุ่มคนร้ายได้แต่ยืนมองความว่างเปล่าเวิ้งว้างด้านบน เพราะมิคิดว่าสตรีรูปร่างอรชรอ้อนแอ้น จะมีวรยุทรจนหนีได้รวดเร็วเช่นนี้
“กลับไปรายงานพี่เหรินเจี๋ยก่อน อีกมินานทหารคงวิ่งวุ่นกันทั่วเมืองตามหาอนุผู้นี้เป็นแน่” เอ่ยจบพวกเขาก็เดินเลี่ยงออกไปจากที่นี่ เพื่อกลับไปสมทบกับผู้เป็นนาย
ด้านฟางซิน นางกำลังไต่ไปตามหลังคาเรือนอย่างแผ่วเบา ก่อนจะสะดุดลงเมื่อได้ยินเสียงพูดคุยกัน มือเล็กจึงค่อยๆ ขยับแผ่นกระเบื้องหลังคาเปิดออก ทว่านางก็มิอาจเห็นใบหน้าของผู้ที่พูดคุยกันอยู่ได้
“ทางนั้นเป็นเช่นใดบ้าง” เสียงทุ้มเอ่ยถามคนของตน
“เจ้าเมืองฉางสิ้นใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ ก่อนหน้าตี้อ๋องเดินทางไปมิถึงครึ่งวัน ดูเหมือนทางนั้นจะลงมือทันทีที่มิอาจค้นหาบัญชีที่ทำหายได้”
“หึ! เช่นนี้เสด็จอาคงลงมือกับไห่ถังมิได้สินะ คงทำได้แค่เอาผิดเจ้าเมืองฉางที่ตายไปแล้ว และกวาดล้างการยักยอกที่เกิดขึ้นในท่าเรือเท่านั้น จะสืบสาวหาต้นตออีกก็คงมิได้” คนด้านล่างเอ่ยก่อนจะยกน้ำชาดื่ม ท่าทางของเขาดูใจเย็นมิน้อย นั่นคือสิ่งที่ฟางซินคิด
“ทำไมสองคนนี้ถึงรู้เรื่องของท่านอ๋องดีจัง หรือว่าจะพัวพันธ์กับเรื่องนี้ด้วย แต่ว่าท่าทางเหมือนไม่เดือดเนื้อร้อนใจเลย หรือจะเป็นคนละฝ่ายกัน เอ๋! หรือว่าที่นี่จะเป็นจวนของรุ่ยอ๋อง ไม่นะ!” คนบนหลังคานึกในใจ ทว่านางก็ยังแอบฟังการพูดคุยของคนด้านล่างและเฝ้าสังเกตอยู่นาน
“น่าเสียดายที่มิอาจเอาผิดรุ่ยอ๋องได้นะพ่ะย่ะค่ะ กว่าจะสืบหาหลักฐานได้มิใช่เรื่องง่ายเลย” น้ำเสียงนั้นฟังดูผิดหวังเป็นอย่างมาก
“หึ! คนคิดการณ์มิรอบคอบเช่นนั้น อีกมินานก็ทำพลาดอีกจนได้ สูญเสียแหล่งหาเงินรายใหญ่ไป มินานเขาก็ต้องมองหาที่ใหม่ มิมีทางอยู่เฉยอีกเป็นแน่”
สองนายบ่าวพูดคุยกันอยู่นาน ก่อนจะแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อน คนด้านบนจึงได้ปิดแผ่นกระเบื้องไว้เช่นเดิม ก่อนจะเคลื่อนตัวไปตามหลังคา และมองหาทิศทางที่จะกลับไปยังจวนตี้อ๋อง ทว่ามันก็มิได้ง่ายนัก เพราะตอนเดินมาก็สำรวจแค่กำแพงบ้านเรือน
“แย่ล่ะ จะกลับยังไงล่ะทีนี้” นั่งมองหลังคาบ้านเรือนและถนนที่ดูคล้ายกันไปหมด ราวกับคนหมดอาลัย
“คิดจะนั่งอยู่ตรงนี้ิอีกนานแค่ไหนล่ะแม่นาง” เสียงทุ้มออกจะคุ้นหูดังขึ้น ฟางซินรีบหันไปหาที่มาทันที ร่างสูงยืนตระหง่านบนหลังคา พร้อมกับส่งยิ้มมาให้
“เอ่อ พอดีข้ามาตามหาแมวหน่ะ” โกหกหน้าตายเพราะมิรู้จะเอ่ยอันใด นึกขึ้นได้แค่นี้ก็รีบตอบ คนฟังจึงมองซ้ายขวาเหมือนจะช่วยนางหาสิ่งที่กล่าวถึง
“ดูเหมือนมันจะไม่อยู่แถวนี้นะ ข้าว่ามันคงกระโดดลงไปแล้วล่ะ หรือไม่อาจจะกลับไปรอเจ้าที่เรือนแล้วก็ได้”
“คงเป็นเช่นนั้น” ตอบกลับเขาก่อนจะยิ้มแหยส่งให้ มิรู้ว่าคนผู้นี้พึ่งเห็นนาง หรือว่าตามมาจากจวนหลังนั้น เพราะว่าซุ่มเสียงนี้เหมือนพึ่งได้ยินมาไม่นาน ทว่าเขาก็มิได้มีท่าทีอันใดสื่อให้รู้ว่ากำลังจับผิดนาง แต่คนอย่างฟางซินก็มิเคยวางใจผู้ใด โดยเฉพาะคนที่พูดจาดี
“เช่นนั้นเราก็ลงไปข้างล่างดีกว่านะ อยู่บนนี้อากาศมันเย็น” คนตัวโตเอ่ยบอก ก่อนจะก้าวมารั้งเอาแขนเล็กแล้วพาเหาะลงมายืนอยู่ด้านล่างด้วยวิชาตัวเบา
“กลัวหรือ?” เสียงทุ้มเอ่ยถาม เพราะคนตัวเล็กกำชายเสื้อเขาไว้แน่น จึงคิดว่านางคงตกใจ
“คะ…ใครจะไม่กลัวล่ะเจ้าคะสูงเพียงนี้” บอกเสียงสั่น ราวกับว่านางรู้สึกเช่นนั้นจริง แม้จะมิรู้ว่าอีกฝ่ายตามมาหรือไม่ ทว่าแสร้งตบตาเขาไว้ก่อนก็น่าจะดีกว่า เผื่อเขาพึ่งเห็นนางในยามที่หยุดพักตรงนี้
“หึ! ทีคราแรกที่ขึ้นไปมิกลัวหรือ” เย้าเสียงอ่อนโยน คนตัวเล็กก็ได้แต่ยิ้มแห้งใส่เขา
“ขอบคุณนะเจ้าคะ” บอกก่อนจะย่อตัวอย่างนอบน้อม
“บ้านเจ้าอยู่ที่ใด เป็นบุตรสาวของเรือนใด ข้าจะไปส่ง” คนตัวโตใบหน้าคมคายเอ่ยพร้อมกับขยับเข้ามาใกล้ ทว่าสองเท้าเล็กก็ถอยห่างออกมา
“ขอบคุณ คุณชายเจ้าค่ะ ข้าน้อยกลับเรือนเองได้ มิเหมาะนักที่จะมีบุรุษไปส่ง ขอตัวนะเจ้าคะ” กล่าวจบนางก็รีบย่อตัวลงอีกรอบ ก่อนจะหมุนตัววิ่งไปในตรอกที่ทะลุผ่านไปยังถนนอีกเส้น โดยมิรู้เลยสักนิดว่ามันจะไปที่ใด
“ฟู่ว!” เสียงพ่นลมเปล่งออกมาจากปากอิ่ม เมื่อหยุดพักที่หน้าเรือนของใครก็มิรู้ ก่อนจะมีเสียงเรียกขององครักษ์ดังขึ้น ทำให้ฟางซินรีบตรงไปหาพวกเขา
“อนุซู เป็นเช่นไรบ้างขอรับ บาดเจ็บหรือไม่” จางเหยารีบถาม แขนเขามีผ้าสีขาวพันไว้พร้อมกับรอยซึมของโลหิต คาดว่าคงได้รับบาดเจ็บเป็นแน่
“ข้ามิเป็นอันใด ว่าแต่พวกเจ้าเถอะมีคนเจ็บอีกหรือไม่ แล้วหรงเอ๋อล่ะเป็นอย่างไรบ้าง พวกเจ้าหานางเจอหรือไม่” เพราะมิเห็นองครักษ์อีกสองนายจึงอดเป็นห่วงมิได้ รวมถึงสาวใช้คนสนิทที่ดีกับนางเสมอ
“ปลอดภัยดีขอรับ ส่วนที่เหลือก็นำกำลังออกตามหาอนุซูอีกทาง เรารีบกลับจวนกันเถอะขอรับ”
“เช่นนั้นเราก็กลับกันเถอะ” เอ่ยแล้วก็เดินตามเหล่าองครักษ์และทหารที่มีมากกว่าสิบคนกลับจวน ซึ่งมันอยู่คนละทิศทางกัน และไกลนับสี่ลี้ [2กิโลเมตร]
“นั่นคนของตี้อ๋องนี่พ่ะย่ะค่ะ” ฟูเก๋อเอ่ยกับผู้เป็นนาย
“นางเป็นคนของเสด็จอากระนั้นหรือ หรือว่าจะเป็นอนุที่พึ่งได้รับการแต่งตั้ง” น้ำเสียงของเสิ่นหลางมันเจือปนความผิดหวังเอาไว้มิน้อย
“ดูจากท่าทางขององครักษ์ก็น่าจะมิผิดนะพ่ะย่ะค่ะ จางหย่าเป็นคนใกล้ตัวของตี้อ๋อง แต่มิได้ติดตามไปเมืองฉางด้วย ดูท่าอนุผู้นี้คงสำคัญมาก”
“ไปสืบมา เหตุใดนางจึงมาอยู่ที่นี่ในยามดึกเช่นนี้ได้” เสียงสั่งการดังขึ้น ก่อนที่เขาจะเดินกลับไปยังจวนของตน ซึ่งอยู่ห่างออกไปสองตรอก หากเสิ่นหลางรู้ว่านางแอบฟัง เขาคงมิปล่อยให้กลับไปง่ายดายเพียงนี้
ทว่าเขาเห็นเงาคนเดินอยู่บนหลังเรือนที่อยู่ห่างออกไป จึงเกิดความสงสัยจนต้องเหาะขึ้นหลังตามมาดู พอเห็นเพียงแค่เสี้ยวหน้า ใจแกร่งก็เต้นรัวจนอดมิได้ที่จะเข้าไปทักทายนาง เสิ่นหลางก็ยิ่งพึงใจมากขึ้นเมื่อได้พูดคุย จึงอยากสืบดูให้รู้ชัดว่านางเป็นใครกันแน่
ด้านฟางซินและเหล่าองครักษ์เดินมาได้ครึ่งทางแล้ว พวกเขาต่างก็เฝ้าระวังผู้เป็นนายอย่างดี แม้จะมีคนมาเพิ่ม แต่กลุ่มคนร้ายก็มากฝีมือมิต่างกัน ยังดีที่อนุซูมิเป็นอันใด มิเช่นนั้นท่านอ๋องคงเอาพวกเขาตายเป็นแน่
“ฟางซิน!!” เสียงเรียกดังขึ้น พร้อมกับเสียงฝีเท้าม้าที่ควบมาด้วยความเร็ว ก่อนจะหยุดลงมิไกล เมื่อคนด้านบนดึงบังเหียน สองเท้าของมันยกขึ้นพร้อมกันทันที
“ท่านอ๋อง!!” เสียงของอนุตัวน้อยและองครักษ์เปล่งออกมาพร้อมกัน มองไปยังร่างสูงของผู้เป็นนายที่กำลังกระโดดลงมาจากม้า แล้ววิ่งตรงมายังร่างเล็ก จับไหล่นางหันซ้ายหันขวาเหมือนจะตรวจดูว่าบาดเจ็บหรือไม่
“หม่อมฉันมิได้เป็นอันใดเพคะ” บอกให้เขาคลายกังวล สิ้นคำนางก็ถูกคนตัวโตสวมกอดเอาไว้ทันที
“ดีจริง” ตี้ซีเหยียนเอ่ยเพียงแค่นั้น ก่อนจะคลายอ้อมแขนออก “กลับบ้านเรากัน” น้ำเสียงอ่อนโยนเปล่งออกมา
“เพคะ” เสียงหวานตอบรับเมื่อเห็นถึงความห่วงใยที่สามีแสดงออก นางจึงทำตามคำของเขาอย่างว่าง่าย เพราะนี่ก็ดึกมากแล้ว ทั้งเหนื่อยทั้งง่วง ทำให้นางหลับคาอ้อมอกของตี้อ๋อง ซึ่งบังคับม้ากลับโดยมีเหล่าองครักษ์เดินขนาบข้างจนกระทั่งมาถึงจวน
“หึ! สถาณการณ์เช่นนี้ก็ยังหลับได้อีกนะ” เสียงทุ้มเปล่งออกมา ก่อนจะวางร่างเล็กลงบนเตียง แล้วเขาก็ออกไปหารือกับคนของตนที่ห้องตำรา