12. ปากเก่ง
“เรือนใหญ่เป็นที่พำนับของท่านอ๋องเพคะ เท่าที่จำได้คนของพระองค์เคยบอกว่า มิให้หม่อมฉันเข้าไปยุ่งวุ่นวายและเฉียดใกล้ที่นั่นเพคะ” บอกในสิ่งที่ตนเคยได้ยินมา พร้อมกับสายตาราบเรียบมองไปยังตงไห่ ผู้ที่เคยสั่งห้ามนางมิให้ไปเดินบริเวณเรือนใหญ่ ตี้อ๋องมองตามสายตาของคนตัวเล็กก็พอจะรู้แล้วว่านางหมายถึงผู้ใด
“แต่เมื่อเช้าข้าสั่งคนของเจ้าเอง หรือนางมิได้บอก”
“ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิตด้วยเพคะ หม่อมฉันบอกอนุซูแล้ว ทว่า” หรงเอ๋อรีบคุกเข่าหมอบอยู่ที่พื้น
“หากจะโทษก็โทษหม่อมฉันเพคะ หรงเอ๋อบอกหม่อมฉันแล้ว เป็นฟางซินเองที่มิอยากไปที่นั่น” กล่าวกับคนตรงหน้าทันที เพราะเกรงเขาจะลงโทษสาวใช้ ลำพังตนเองฟางซินมิห่วง กังวลก็แค่ความดื้อรั้นของตน จะทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนหากเป็นเช่นนั้น นางก็จะยอมอ่อนข้อให้เขา
“โทษของสาวใช้ หากมิสามารถทำตามคำสั่งผู้เป็นนายได้ ต้องถูกโบยสิบไม้” ตงไห่เอ่ยขึ้นเมื่อได้ที
“โบยเจ้าน่ะสิ!! ใครกล้าแตะต้องคนของข้าเป็นได้เจอดี” ว่าพร้อมกับกำมือ สายตาก็จ้องเขม็งไปที่องครักษ์หนุ่ม
ตี้ซีเหยียนมองคนตัวเล็กพร้อมกับยกยิ้มที่มุมปาก ตัวแค่นี้ทำเป็นเก่งใส่บุรุษ สตรีทั่วแคว้นมิมีผู้ใดทำกัน คงมีแค่นางกระมังที่แปลกแยกออกไปทุกสิ่งอย่าง ทว่ามันกลับดึงดูดให้เขาสนใจได้อย่างน่าประหลาด และมันก็มิใช่แค่เรื่องนี้ เพราะตี้อ๋องต้องการสืบบางอย่างจากนางด้วย
“ข้าหิวแล้ว ใครมีหน้าที่ทำอันใดก็ไปทำ” สั่งเสียงเรียบ ก่อนจะนั่งลงหยิบตะเกียบของอนุตัวน้อยคีบอาหารเข้าปาก โดยมิใส่ใจสายตาของคนสนิททั้งสามที่มองอยู่ รวมถึงอนุซูที่ได้แต่ยืนอ้าปากหวอ มิเข้าใจการกระทำของผู้ที่เอ่ยว่ารังเกียจนางเลยสักนิด
“นั่งลงสิ จะยืนค้ำหัวข้าอีกนานแค่ไหน” เหลือบตามองอนุตัวน้อยที่ยืนงงทำสิ่งใดมิถูก
เขาเอื้อมมือรั้งแขนนางให้นั่งลงข้างกัน “ไปเอาถ้วยกับตะเกียบมาสิ หรือจะให้ข้าป้อนนายของเจ้า” ร้องสั่งอีกรอบ
หรงเอ๋อรีบรับคำ ก่อนจะเดินกึ่งวิ่งไปเอาสิ่งที่ขาดมาอีกชุด มิกี่อึดใจมันก็วางอยู่ตรงหน้าฟางซิน ตี้อ๋องจึงใช้สายตากับคนตัวเล็กอีกรอบเป็นการบังคับให้นางกิน ทว่าคนที่หิวอยู่แล้วก็มิปฎิเสธ ซ้ำยังคีบอาหารทานเช่นปกติที่อยู่คนเดียว หาได้มีท่าทีประหม่าไม่
ตี้ซีเหยียนยกยิ้มเล็กน้อยและทานอาหารต่อกันเงียบๆ โดยมีสายตาของคนสนิทมองอย่างสงสัย ในหัวพวกเขากำลังคิดไปในทางเดียวกันนั่นคือ ท่านอ๋องมีแผนการณ์อันใดเป็นแน่ เพราะผู้เป็นนายมิเคยนั่งเสวยอาหารกับสตรีอื่น นอกจากฮูหยินของแม่ทัพฉางอี้
ผ่านไปหนึ่งเค่อ [15นาที] อาหารบนโต๊ะก็หมดเกลี้ยง หรงเอ๋อรีบยกกามารินน้ำสีเหลืองลงถ้วยชาให้ผู้เป็นนายทั้งสอง ตี้อ๋องขมวดคิ้วเข้าหากันทันที เพราะมิเคยเห็นชาเช่นนี้ ทั้งมันยังส่งกลิ่นหอมละมุนอีกด้วย
“ชาหรือ?” เขาเงยหน้ามองสาวใช้ และหันกลับมาที่อนุตน ซึ่งนางกำลังยกถ้วยเป่าไอน้ำที่กำลังลอยขึ้น
“เพคะ ชาเก็กฮวย หม่อมฉันให้คนนำดอกมาตากแห้ง แล้วเอามาต้มชงเหมือนชาทั่วไป หากชอบหวานก็เติมเกร็ดน้ำตาลลงไปเพคะ แต่ถ้าดื่มเช่นนั้นต้องดื่มแบบเย็นถึงจะสดชื่น” บอกตามจริง ก่อนที่ปากอิ่มแดงระเรื่อจะแนบลงบนจอก เพื่อจิบชาหอมกรุ่นอย่างละเมียดละมัย ทว่าคนมองกลับสนใจริมฝีปากนางเสียมากกว่า
เขามิเคยได้สังเกตอนุตัวน้อยอย่างจริงจังสักที วันนี้มีโอกาสจึงขอสำรวจเสียหน่อย และสิ่งแรกที่เขามองอยู่นานก็คือปากอิ่มที่ชอบต่อกรกับเขา ต่อมาก็แก้มเนียนใสและจมูกสวยได้รูป ไต่ขึ้นไปที่ดวงตากลมโตเหมือนกวางน้อย มันช่างรับกับแผขนตาที่งอนยาวได้ดีนัก
ฟางซินเป็นสตรีที่งามมากคนหนึ่ง ใบหน้าหวานมิต่างจากมู่อันอันเลย ทั้งรูปร่างและผิวพรรณหาตรงไหนให้ติมิมีเลย และสำคัญไปกว่านั้นก็เนินเขาสองลูกนั่นแหละที่มันดึงดูดเขาที่สุด ซึ่งมันเด่นจนเขาต้องมองมันอยู่เรื่อย ทว่านางก็มีข้อเสียนั่นคือเถียงคำมิตกฟากนี่แหละ
“จะมองอีกนานไหมเพคะ พระองค์มิมีการมีงานทำกระนั้นหรือ ถึงได้มีเวลามานั่งเฝ้าหม่อมฉันเช่นนี้” ถามเขาเสียงเรียบ ก่อนจะวางถ้วยชาลงพร้อมกับเคาะนิ้วบนขอบ ใช้สายตามองสามีอย่างสงสัย
“งานข้ายามนี้ก็คือเจ้า” ตอบพร้อมกับมองเสี้ยวใบหน้างาม เป็นเหตุให้คิ้วสวยย่นเข้าหากันแล้วหันมาเผชิญหน้ากับอ๋องหนุ่มทันที พร้อมกับยกนิ้วชี้มาที่หน้าตนเอง
“หม่อมฉัน? เกี่ยวอันใดกันเพคะ”
ตี้ซีเหยียนหันไปหาคนของตน จางเหยาจึงจัดการสั่งให้สาวใช้ที่มิเกี่ยวข้องออกจากตรงนี้ไป เหลือแค่คนสนิทเท่านั้น เพราะเขาไว้ใจคนทั้งสี่ซึ่งอยู่ด้วยกันมานาน
“ข้าอยากรู้ว่าเหตุใดคนเหล่านั้นถึงเจาะจงเข้ามาหาเจ้า มีสิ่งใดที่พวกมันต้องการกระนั้นหรือ” เมื่อมิมีผู้อื่น ตี้อ๋องก็ตั้งคำถามกับนางทันที เพราะเขาต้องออกไปข้างนอกอีก
“เอ๋…ท่านอ๋องสืบเรื่องนี้มิได้ความหรือเพคะไยต้องมาถามหม่อมฉัน” เสียงหวานถามกวนอีกฝ่าย
เพราะดูจากรูปการณ์เขาน่าจะรู้ว่าคนร้ายบุกเข้ามาด้วยเหตุใด และที่สำคัญการที่เขาเข้าหานางก็ต้องมีแผนเป็นแน่ มิเช่นนั้นจะยอมลดตัวมานั่งกินข้าวด้วยทำไม หากมิมีผลประโยชน์เช่นที่เขาเคยเอ่ย
ตี้ซีเหยียนมองหน้าอนุตัวน้อยก่อนจะยกยิ้ม สายตาเขามันอ่อนลงมากจนอีกฝ่ายต้องเบี่ยงหลบไปเอง เพราะไม่ชินที่ตี้อ๋องทำตัวอ่อนโยนขึ้นในฉับพลันเพียงแค่คืนเดียว “อารมณ์ไหนอีกเนี่ยะ” นึกตำหนิอีกฝ่ายในใจ
“แล้วถ้าข้าอยากขอให้เจ้าช่วยล่ะ” เสียงทุ้มเปล่งออกมาจนคนฟังถึงกับขนลุก
“พระองค์มิต้องทำเสียงเช่นนี้ก็ได้เพคะ มันน่ากลัวกว่าตอนที่ตีหน้าพญายมเสียอีก” บอกอย่างที่คิด พร้อมกับหันมายิ้มแหยใส่เขา ทำให้ตงไห่เกิดมิพอใจขึ้นมาอีก ตั้งท่าจะเดินเข้ามาตำหนิอนุซูเช่นที่เคยทำ
ทว่าเขาหันมาเห็นสายตาผู้เป็นนายเสียก่อน จึงต้องหยุดชะงักกระทันหัน ฟางซินจึงอดที่จะยิ้มเยาะอีกฝ่ายมิได้ เมื่อเห็นองครักษ์หนุ่มเอาแต่จ้องตาขวาง
“หึ! ข้าน่ากลัวเพียงนั้นเชียว แต่ข้ามิเห็นเจ้าจะกลัวเลยสักนิด ข้าในสายตาเจ้าก็แค่คนธรรมดามิใช่หรือ หาใช่ท่านอ๋องสูงศักดิ์ที่น่าเคารพนับถือไม่” คำประชดเปล่งออกมา พร้อมกับนัยน์ตาคมที่ฟางซินมิอาจอ่านออก ใจดวงน้อยยามนี้เกรงว่าเขาจะมีแผนร้ายเสียมากกว่า นางจึงยิ้มแห้งส่งให้ เหมือนพยายามจะสร้างมิตรภาพอันดีต่อกัน
“หม่อมฉันจะช่วยอันใดได้หรือเพคะ” ถามกลับเสียงเบา เพราะดูจากสีหน้าเขาในยามนี้นางมิควรยอกย้อนเช่นทุกครั้ง ภัยร้ายอาจจะมาถึงตัวก็เป็นได้
“หึ! พอพูดจาอ่อนลงก็น่ารักมิเบา ไยต้องยอกย้อนเถียงทุกคำด้วย” ตี้อ๋องนึกในใจและยังคงจับจ้องที่ใบหน้าหวาน ซึ่งยามนี้เอาแต่ก้มหน้ามิกล้าสบตา เป็นเช่นนี้ก็เพราะฟางซินอายที่เขาเอาแต่จ้องมิเอ่ยอันใด
ฟางซินเกรงว่าที่เขาเป็นเช่นนี้เพราะจำบางอย่างได้ หรือไม่ก็กำลังวางแผนทำให้เธอตายใจ ถึงจะบอกตัวเองเช่นนั้น ทว่าใจดวงน้อยมันก็อดตื่นเต้นมิได้ คนตรงหน้าคือสเปกเธอ หนุ่มใหญ่อายุเลยสามสิบใครเห็นก็เป็นต้องชื่นชอบ ท่านอ๋องทรงเหมือนมาเฟียในซีรี่ย์มาก รูปร่างกำยำ หน้าท้องมีมัดกล้ามเหมือนคนเข้ายิมทุกวัน
คนจากยุคปัจจุบันได้แต่นึกในใจและเผลอยิ้มออกมาในบางครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นแก้มเนียนก็ยังแดงก่ำขึ้นมาดื้อๆ เมื่อนึกถึงเรื่องคืนนั้นขึ้นมา ทำให้นางเผลอสะบัดหัวสลัดความคิดอย่างลืมตัว จนคิ้วหนาของตี้อ๋องย่นเข้าหากัน
“เจ้าเป็นอันใด ไยถึงส่ายหัว จะมิบอกข้าเรื่องนี้หรือ” ถามในสิ่งที่สงสัยทันที ก่อนจะตาโตเมื่อเห็นแก้มนางแดงเรื่อ จึงรีบใช้หลังมือวางที่หน้าผาก
“ตัวก็มิร้อนไยหน้าเจ้าถึงแดงนัก” ถามเสียงเบา ท่าทางเป็นห่วงนี้เขาแสดงออกมาอย่างชัดเจน เป็นที่แปลกใจของคนสนิทและผู้รับยิ่งนัก เมื่อเห็นสายตาทุกคนตี้อ๋องก็รีบขยับตัวออกมาทันที
“หึ! มิได้เป็นอันใดเสียหน่อย อย่ามาเล่นลูกไม้กับข้ารีบบอกมาว่าคนเหล่านั้นตามหาอะไรกัน เป็นเจ้าหรือสิ่งของ หากเจ้ายังปากแข็งมิเอ่ย คนของรุ่ยอ๋องมิมีทางปล่อยเจ้าเอาไว้เป็นแน่ เจ้ามิอยากแก้แค้นให้ท่านยายที่อุปการะเจ้าหรอกหรือ อย่างน้อยก็ควรจะเอาผู้ที่ลงมือกับนางมารับผิด หรือเจ้าคิดจะปล่อยไว้เช่นนี้” ตี้อ๋องเอ่ยตามจริง เพราะคนตัวเล็กน่าจะเดาออกบ้างแล้ว