11. ตามติด
ทว่ายามนั้นเธอก็ทำใจดีสู้เสือราวกับมิได้เขินอายเขา เพราะอยากให้ตี้อ๋องคิดว่านางเป็นสตรีประเภทนี้ อาจเป็นวิธีป้องกันตัวดีที่สุดก็เป็นได้
“แกตายแน่ฟางซิน อยู่ใกล้แค่คืบ แถมยังแต่งตัวล่อแหลมต่อหน้าเขาอีก โอ๊ย! ทำไมสวรรค์ใจร้ายแบบนี้ล่ะ ถ้าเขาเกิดจำได้ขึ้นมา เรื่องมันจะไปกันใหญ่ไหมเนี่ยะ”
ตัดพ้อโชคชะตาตนเองเสียงเบาและเดินวนไปมารอบห้องอยู่นาน กว่าจะลงบ่ออาบน้ำชำระเนื้อตัวให้เรียบร้อย เพราะหากชักช้าคนข้างนอกอาจจะเข้ามาตามอีกก็ได้ ฟางซินขึ้นจากน้ำได้ก็แต่งกายใส่ชุดนอนสีขาวเข้ารูปเช่นทุกวัน พอเปิดประตูแหวกออกดูความเป็นไปในห้องนอน คิ้วสวยก็ผูกกันเป็นปม รีบก้าวเดินออกมายืนมองที่นอนตรงหน้า
“เจ้าเกรงว่าจะมีคนร้ายเข้ามาอีกมิใช่หรือ ข้าก็เลยมานอนเป็นเพื่อนอย่างไรล่ะ ทว่าเจ้านอนตรงนั้นแล้วกันนะ ข้ามิชอบนอนกับผู้อื่น” บอกหน้าตาย ก่อนจะยิ้มเยาะคนตัวเล็ก ในเมื่อนางปากดีใส่เขาก็จะไม่ปรานีเช่นกัน
“ชิ! คิดจะเอาคืนงั้นเหรอ รู้จักฟางซินน้อยไปแล้วท่านอ๋อง แม่จะทำให้อยู่ไม่เป็นสุขเชียว รังเกียจนักใช่ไหม” นึกในใจพร้อมกับยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย
ตี้ซีเหยียนนอนมองอนุของตนนิ่ง คิ้วเรียวเริ่มย่นเข้าหากันเมื่อเห็นนางเดินตรงมาที่เตียง เนินเขาสองเต้านั้นก็ช่างกระไรดึงดูดสายตาเขาดีเหลือเกิน ทำเอาอ๋องหนุ่มถึงกับลืมไปเลยว่านางกำลังก้าวเท้ามาหาเขา
“หม่อมฉันมิยอมนอนพื้นหรอกเพคะ ได้เป็นถึงอนุซูท่านอ๋องทั้งที จะยอมลดตัวลงไปนอนพื้นอีกได้เช่นไร” กล่าวจบนางก็ปีนขึ้นเตียงและข้ามตัวเขาไปนอนอีกฝั่งหน้าตาเฉย คนตัวโตที่นอนขาไขว้กันอยู่ถึงกับดีดตัวลุกนั่ง
“นี่เจ้า! ไร้ยางอายสิ้นดี” ตำหนิด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด เพราะการกระทำของอนุตัวน้อยมันทำให้เขาตกใจเป็นอย่างมาก มิใช่โกรธที่นางล่วงเกิน ทว่ามันมีบางสิ่งที่ชนเข้ากับแผงอกแกร่ง จนทำให้อ๋องน้อยตื่นตัวต่างหาก และตี้อ๋องก็เกรงว่านางจะเห็น จึงรีบลุกนั่งทันที
“นี่เตียงหม่อมฉันเพคะ หม่อมฉันมีสิทธินอน” บอกแค่นั้นก็เอนตัวลงหันหลังให้เขา แล้วดึงผ้าห่มมาคลุมจนถึงคอ ยามนี้ใบหน้านางเห่อร้อนและแดงก่ำ เพราะกระดากอายกับการกระทำของตน ใช่ว่าจะใจกล้าอย่างที่คิดแค่ใช้วิธีนี้ปกป้องตนเองก็เท่านั้น แต่จะกำราบอ๋องผู้หยิ่งทะนงคงต้องใช้ไม้นี้แหละ เขามิมีทางเข้าใกล้สตรีที่ตั้งใจยั่วยวนเป็นแน่ นี่อาจเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เขาออกไปจากห้อง
ทว่าตี้อ๋องก็ยังอยู่ มิหนำซ้ำยังเอนตัวลงนอนเช่นเดิม เขาเหลือบมองอนุตัวน้อยด้วยหางตา ดูท่านางคงจะหลับไปแล้วกระมัง เพราะนี่ก็ดึกมากแล้ว เขาเบี่ยงหน้ามองเพดานเบื้องบน มินานก็ปิดตาลงและหลับไปในที่สุด
“ชิ! ยังจะหน้ามึนอยู่ต่ออีก” ฟางซินนึกในใจ มองคนที่หลับไปแล้ว นางแอบมองใบหน้าคมคายของเขา มิคิดว่าจะมีโอกาสเช่นนี้อีก หลังจากที่ทุกอย่างผ่านมากว่าสามปีแล้ว ภาพยามที่เขาหลับมันยังคงเหมือนคืนนั้นมิมีผิด บุรุษที่พรากพรหมจรรย์ในวัยสิบหกปีของนาง
“คุณยาย โคมไฟที่หนูเลือกให้นำทางในวันนั้นคือเขาใช่ไหมค่ะ ทำไมเขาใจร้ายจัง” คำถามผุดขึ้นมาในหัว
เมื่อนึกถึงคำบอกเล่าของยายเจียง หญิงชราที่รับอุปการะนางในยุคนี้ นางบอกว่ารุ่นปู่ย่าเอ่ยถึงประตูลึกลับ ว่ากันว่ามันนำพาภูตผีและคนต่างถิ่นเข้ามา และจะมีผู้นำทางยืนถือโคมไฟเพื่อมอบให้แก่ผู้ที่หลงทาง เลือกถูกก็ได้พบกับโชคชะตาที่ดี หากเลือกผิดก็จะเจอชะตากรรมมิต่างจากตกนรก ยามนี้ฟางซินจึงมิรู้ว่าตนเองเลือกได้ทางไหน เหตุใดชีวิตถึงได้ดูยุ่งเหยิงขนาดนี้
เช้าของวันใหม่ ฟางซินเปิดเปลือกตาขึ้นก็เห็นว่าตนนั้นซุกอยู่ที่ซอกคอของตี้อ๋องและยังหนุนแขนเขาด้วย ใจดวงน้อยเต้นรัวยิ่งกว่ากองศึก มิกล้าจะขยับเลยแม้แต่น้อย เกรงจะทำให้เขาตื่น ทว่าคนที่นางคิดว่าหลับอยู่ก็เอ่ยขึ้น
“เจ้ามิคิดว่าข้าจะเมื่อยบ้างหรือ ตื่นแล้วก็ลุก ทีหลังอย่าได้เอาตัวเข้ามาใกล้ข้าอีกเชียว” เสียงตำหนิรอดไรฟันเปล่งออกมา พร้อมกับนัยน์ตาคมดุ
ฟางซินดีดตัวลุกขึ้นนั่งทันที แก้มเนียนแดงก่ำมิต่างจากลูกตำลึงน่ามองยิ่งนัก ทว่าคนตัวโตกลับลุกขึ้นลงจากเตียง แล้วเดินออกจากห้องไปมิหันมามองสักนิด
“ชิ! กอดนิดกอดหน่อยก็ไม่ได้ ทำเป็นเล่นตัว” บ่นหงุบหงิบคนเดียวบนเตียง ก่อนจะคว่ำปากใส่ผู้ที่มิได้อยู่ในห้องนี้แล้ว นางจึงลุกออกไปล้างหน้าที่ห้องอาบน้ำ มิกี่อึดใจสาวใช้ก็หน้าตื่นเข้ามาหา
“อนุซูท่านอ๋องบรรทมที่นี่หรือเจ้าคะ”
“อืม พี่ก็เห็นแล้วนี่ แต่มิต้องถามนะว่าเกิดอันใดขึ้นหรือไม่ เพราะมิมีเลย ท่านอ๋องก็แค่เกรงว่าจะมีคนร้ายบุกมาอีกเท่านั้น เช้ามาเขาก็ออกไปอย่างที่เห็น” บอกตามความจริงเพราะเกรงสาวใช้จะคาดหวังผิดๆ
หรงเอ๋อถอนหายใจยาว นึกเสียดายที่นายทั้งสองมิยอมใช้โอกาสร่วมกันเสียที ทั้งที่อยู่กินเป็นสามีภรรยากันแล้ว แม้จะไม่มีงานมงคลให้ได้ชื่นชม ทว่าอนุซูก็ได้รับแต่งตั้งจนผู้คนทั่วเมืองรับรู้ ทว่าทั้งคู่ก็ยังมิลงรอยกันเสียที
“รีบไปจัดการเรื่องอาหารเถอะ ข้าหิวแล้ว”
“ท่านอ๋องรับสั่งว่าให้พาอนุซูไปรับอาหารที่เรือนใหญ่เจ้าค่ะ” บอกก่อนจะยิ้มอย่างมีความหวังคิ้วสวยผูกกันเป็นปมทันที หันมองหน้าสาวใช้อย่างมิเข้าใจ หรงเอ๋อก็พยักหน้าให้พร้อมกับยิ้มหน้าบาน ฟางซินจึงอดหมั่นไส้กับท่าทีนี้มิได้ ดูเหมือนนางจะอยากให้เขากับอีตาอ๋องลงรอยกันตามประสาสามีภรรยาเป็นแน่
“พอเลยข้าจะกินที่นี่ พี่รีบไปจัดการเถอะ” บอกแล้วก็ยกผ้าขึ้นซับหน้า ซึ่งมีหยดน้ำเกาะอยู่
“มิได้นะเจ้าคะ ประเดี๋ยวท่านอ๋องจะตำหนิเอา”
“ข้ากลัวหรือ?” เอ่ยแล้วก็ยักคิ้วใส่ หรงเอ๋อจึงได้แต่ก้มหน้าทำตาม บอกสาวใช้อีกคนให้ไปรายงานเรือนใหญ่ ตามที่อนุซูสั่ง แม้ในใจจะกังวลแทนก็เถอะ
หนึ่งก้านธูป [30นาที] อาหารถูกจัดวางอย่างเรียบร้อยในสวนของเรือนด้านหลัง ซึ่งฟางซินชอบบรรยากาศตรงนี้ เพราะมีต้นหลิวใหญ่ผลิใบเขียวมองแล้วสบายตา
ยามมันถูกสายลมพัดพาช่างเหมือนกับชีวิตนางที่กำหนดเองมิได้ แล้วแต่ชะตาฟ้าจะลิขิตให้เป็นไป ช่างเป็นภาพที่สะท้อนให้เห็นชีวิตอาภัพของตนได้ดียิ่ง
ฟางซินได้แต่ทอดถอนใจ ก่อนจะหันมาหาอาหารตรงหน้า ทว่ายังมิทันได้ลงมือคีบเข้าปาก มือเล็กก็ต้องชะงักลงเสียก่อน เมื่อสาวใช้เอ่ยรายงาน
“ท่านอ๋องเสด็จมาเจ้าค่ะ” หรงเอ๋อถอยออกมายืนมิไกลนัก เหลือบมององครักษ์อย่างตงไห่มิวางตา เพราะนางมิชอบที่เขามักกล่าววาจามิดีกับอนุซู ซึ่งมันมิสมควรเลยสักนิดมิรู้จงเกลียดจงชังอันใดนัก
“ข้าสั่งให้ไปรับอาหารที่เรือนใหญ่มิใช่หรือ” เสียงกดต่ำดังมา ฟางซินถอนหายใจยาวบ่งบอกความรู้สึก ก่อนจะลุกย่อตัวคำนับอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม ทว่าใบหน้านั้นกลับงอง้ำจนเห็นได้ชัด จนตี้ซีเหยียนต้องขบกรามข่มอารมณ์ มิคิดว่านางจะยังคงแสดงท่าทีเช่นนี้กับเขา หากเป็นสตรีอื่นได้นอนร่วมห้องคงออดอ้อนเอาใจไปแล้ว