10. แค่กลัวคนร้ายมาอีก
ตี้อ๋องมิได้เอ่ยอันใดเพียงแต่ในหัวเขาก็คิดว่าคำพูดของฟางซินมันก็มิผิดเลย นางได้รับแต่งตั้งอย่างถูกต้องแม้จะเป็นเพียงอนุเขา ก็เท่ากับว่าเป็นนายผู้หนึ่งในจวน
“ข้าถามเจ้าว่ายามนั้นไปซ่อนที่ใด พวกมันจึงหามิพบ” อ๋องหนุ่มยังย้ำคำเดิม ทว่าน้ำเสียงนั้นนุ่มลงมาก จนสามสหายที่ยืนอยู่อดมิได้หันมองหน้ากัน ทว่าต้องตาโตกับคำตอบของอนุซูแทน
“ที่อยากรู้ คือถามเผื่อวันหน้าหากมีคนร้ายแอบเข้ามาอีก พระองค์ก็จะแจ้งข่าวและเปิดทางให้กับพวกมันเช่นคืนนี้ใช่หรือไม่เพคะ” ถามกลับก่อนจะยิ้มหวานส่งให้ ทว่าสายตานางนั้นแค่มอง ก็รู้ว่ากำลังเหน็บแนมเขาอยู่
“นางรู้ว่านี่คือแผนที่ข้าวางไว้กระนั้นหรือ” ตี้อ๋องนึกในใจ มิคิดว่าสตรีบ้านนอกผู้นี้จะล่วงรู้ถึงแผนการณ์ที่เขาวางไว้ ฟางซิน ยกยิ้มมองบุรุษตรงหน้าก่อนจะเอ่ยอีกครั้ง
“คงเพราะหม่อมฉันยังมิถึงคราวตายกระมัง คนร้ายตาถั่วเหล่านั้นจึงหามิพบ เอาไว้โอกาสหน้าหม่อมฉันจะนั่งรอพวกมันบนเตียงก็แล้วกันนะเพคะ หม่อมฉันจะมิทำให้ท่านอ๋องผิดหวังอีกเป็นแน่” กล่าวจบก็หมายจะเดินหนี เพราะมิอยากเห็นหน้าสามีใจร้ายที่ใช้ตนเป็นเหยื่อล่อ
เขาคงมิหยุดแน่ หากยังมิได้ในสิ่งที่ต้องการ และฟางซินก็คาดว่ามันน่าจะเป็นบัญชีที่นางเก็บได้ในสวนผักเป็นแน่ ทว่า! พอหมุนตัวแขนเล็กกลับถูกรั้งเอาไว้ด้วยอุ้งมือใหญ่ที่กำจนรอบ นัยน์ตาคมสบเข้ากับคนตัวเล็กอีกครั้ง
ฟางซินมองอีกฝ่ายนิ่งมิเข้าใจการกระทำเขา ก่อนที่สายตาจะต่ำลงมาที่แขนของตน ตี้ซีเหยียนรีบสะบัดข้อมือนางออกห่างทันที
“หึ! ข้าแค่อยากให้เจ้าหยุด มิได้อยากแตะต้องเนื้อกายของเจ้าแม้เพียงนิด ข้ายังพูดมิจบ” ตอบออกไปทันควัน เพื่อมิให้นางเข้าใจผิดคิดว่าเขาพึงใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีก
“ในเมื่อเจ้ารู้ว่าข้าใช้เป็นเหยื่อล่อ ก็ควรทำตัวให้มีประโยชน์กว่านี้หน่อย” เอ่ยโดยมิมองหน้านางในคราแรก ทว่าเมื่อได้ยินถ้อยคำตอบกลับเขาก็ต้องรีบหันมา
“อย่างไรเพคะ เผยตัวออกมาให้พวกมันจับ มิว่าจะเกิดสิ่งใดกับหม่อมฉันก็ต้องยอมกระนั้นหรือ?” เอ่ยเสียงเรียบ พร้อมกับมองสบนัยน์ตาคมที่จ้องอยู่มิละออก
ตี้ซีเหยียนกลืนน้ำลายลงคอ มิคิดว่าจะถูกนางตำหนิซึ่งหน้าได้ สตรีผู้นี้มิได้ตื่นกลัวเขาเลยสักนิด และที่สำคัญนางมิมีท่าทีเสียใจแม้แต่น้อย ซ้ำยังเปล่งถ้อยคำเสียดแทงใจออกมาหน้าตาเฉย จนเขามิอาจเอ่ยคำพูดใดออกมาได้
“หากมิมีสิ่งใดจะกล่าว หม่อมฉันขอตัวนะเพคะ เพราะยามนี้หม่อมฉันเข้าใจทุกอย่างแล้ว มิจำเป็นต้องกล่าวถึงอีก” เอ่ยจบนางก็เดินเลี่ยงออกไปโดยที่ตี้อ๋องก็มิได้ห้าม
“ท่านอ๋องจะปล่อยอนุซูไปเช่นนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ” แม้จะถูกตำหนิ ทว่าองครักษ์หนุ่มก็ยังคงมิลดละที่จะหาเรื่อง
“สั่งคนของเราเดินยามรอบเรือนนางเป็นสองเท่า อย่าให้ใครลอบเข้ามาทำร้ายคนในจวนได้เป็นอันขาด” ออกคำสั่งเสียงเรียบ ในหัวนึกถึงประโยคสุดท้ายของนาง
ดูแล้วอนุตัวน้อยคงตั้งใจจะมาต่อว่าเขาเรื่องนี้ ทว่านางกลับมิเอ่ยถ้อยคำรุนแรงออกมาแม้สายตาจะขุ่นเคืองมากก็เถอะ การกระทำของอนุตัวน้อยมันยิ่งเพิ่มความละอายใจให้กับเขา แม้จะทำเพื่อประโยชน์ของบ้านเมือง
ทว่า! หากนางต้องบาดเจ็บหรือตายไปในคืนนี้ มันก็เป็นความผิดของตี้อ๋องโดยตรง เพราะเป็นผู้สั่งเปิดทางให้คนร้ายเข้ามา เพื่อสืบให้รู้ว่าเหรินเจี๋ยทำสิ่งใดหายไป และเกี่ยวข้องอันใดกับฟางซิน
ทั้งที่ตอนเกิดเรื่องนางก็มิได้อยู่เรือน หรือว่าจะเกิดเหตุการณ์อื่นก่อนหน้านั้นที่เขามิรู้ เมื่อคิดถึงตรงนี้ตี้อ๋องก็ก้าวเท้าไปยังเรือนของอนุทันที เขามีเรื่องจะถามนางให้รู้แจ้ง หลังจากที่คราแรกมิได้คิดถึงมันเลย สั่งคนสืบทุกอย่างทว่าเขากลับปล่อยผ่านมองข้ามข้อนี้ไป
ด้านฟางซินกลับมาจากเรือนทิศใต้ก็ตรงเข้าห้องอาบน้ำ เพราะรู้สึกเหนียวตัวกับการออกกำลังปีนป่ายต้นไม้ ทั้งที่มันก็มืดค่ำแล้ว ทว่านางก็ยังทำตัวเป็นลิงอีก
“ดึกมากแล้วพี่กลับไปพักเถอะ ข้าอยู่คนเดียวได้” เอ่ยปากไล่สาวใช้ทันทีที่ลงแช่น้ำในบ่อ
“มิได้เจ้าค่ะ เกิดมีคนร้ายเข้ามาอีกใครจะช่วยอนุซูกันล่ะเจ้าคะ” บอกอย่างที่คิด ทว่ามันก็ทำให้ฟางซินอดขันมิได้ ก่อนจะเอ่ยกับสาวใช้เสียงใส
“พี่จะเป็นตัวถ่วงข้ามากกว่านะหากเกิดเรื่องจริงๆ ไปเถอะข้าอยู่ได้” ออกปากไล่อีกรอบ จนคนฟังต้องก้มหน้าทำตาม เพราะคงเป็นเช่นที่อนุซูเอ่ย
หรงเอ๋อเตรียมทุกอย่างให้ผู้เป็นนายเรียบร้อยก็เดินออกไป และนางก็สวนกับตี้อ๋องที่หน้าประตูห้อง
ตี้ซีเหยียนโบกมือไล่แล้วเสียงประตูก็ปิดลง คนในบ่อจึงเข้าใจว่าสาวใช้ของตนออกไปแล้ว จึงฮัมเพลงโปรดของนักร้องที่ชื่นชอบ และเปล่งเสียงร้องไพเราะเพราะพริ้ง จนผู้ที่ยืนแอบฟังอยู่ถึงกับขมวดคิ้วเป็นปม เพราะมิเคยได้ยินท่วงทำนองเช่นนี้มาก่อนเลย
“นางขับร้องเพลงผู้ใดกัน ไยถึงมีถ้อยคำประหลาดมากมาย ราวกับมิใช่ภาษาของแคว้นเรา” ตี้อ๋องนึกในใจ
ตี้ซีเหยียนมิได้ย่างกลายเข้าไปในห้องอาบน้ำ เพราะอย่างไรเสียนางก็เป็นสตรี ถึงจะอยู่ในตำแหน่งอนุเขาก็เถอะ ทว่าเขามิได้มีใจพิศวาทนางจึงมิอยากเห็นเรือนร่างนี้ให้ติดตา จึงใจเย็นยืนรอจนกระทั่งฟางซินเดินออกมาพร้อมกับอาภรณ์ห่อหุ้มร่างกายอย่างหมิ่นเหม่ เพราะนางตั้งใจจะออกมาเอาสบู่ที่พึ่งทำขึ้นมาใหม่ไปทดลองใช้ และมันก็วางอยู่ที่โต๊ะหนังสือในมุมห้องนอน
เสียงร้องเพลงยังคงดังไปเรื่อย โดยมิรู้เลยว่ามีใครยืนมองขาเรียวขาวและแผ่นหลังเนียนสวยจนกระทั่งนางเดินถึงโต๊ะหนังสือซึ่งต่ำแค่หัวเข่า พอโน้มตัวลงหยิบก้อนสบู่ผ้าด้านหลังมันก็รั้งขึ้น จนเผยให้เห็นแก้มก้นกลมน่าจับน่าตี ตี้อ๋องยืนชะงักกับท่าทางของนาง ซึ่งมันทำให้ขนบนตัวลุกซู่ รวมถึงด้านล่างที่ทำให้เขาต้องปวดหนึบ ยามที่นึกถึงภาพบางอย่างซึ่งมันผุดขึ้นมาในหัว ทว่า!
“ว๊าย!! อีตาบ้าเข้ามาได้ยังไงเนี่ยะ ออกไปนะ!” พอหันมาเจอเจ้าของจวนยืนอยู่ เสียงหวานก็แห้วใส่ทันที มิสนว่าเขาจะเป็นใคร เพราะนี่มันห้องส่วนตัวของนาง มิเช่นนั้นคงมิกล้าเดินออกมาในสภาพนี้แน่นอน
ตี้ซีเหยียนเองก็ทำสิ่งใดมิถูก ใครจะคิดว่าสตรีนางนี้จะมิรู้จักอาย เดินในห้องโดยที่มีแค่ผ้าผืนบาง และสั้นจนเกือบจะปิดสิ่งใดมิมิด บนแผ่นดินนี้มิมีสตรีใดทำกันแน่ ทว่าเขาก็เอ่ยออกมาด้วยเสียงราบเรียบ
“รีบจัดการตนเองให้เรียบร้อย ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า” บอกพร้อมกับหันหน้าไปทางประตู มิยอมออกไปจากห้อง ทำให้คนตัวเล็กกล่าวตำหนิอีกรอบ
“พรุ่งนี้ก็ได้กระมังเพคะ ไยต้องเป็นยามนี้ด้วย หรือว่าจะมีคนร้ายมาอีก เลยคิดว่าหม่อมฉันคงมิรอดพ้นคืนนี้ จึงต้องมาสอบถามเอาความก่อนที่หม่อมฉันจะตาย” ย้อนอีกฝ่ายอย่างที่คิด อะไรจะรีบร้อนจนตามมาถึงห้องขนาดนี้ หากเขามิมีแผนอันใดต่ออีก
ทว่าฟางซินคิดผิดที่เอ่ยถ้อยคำเช่นนี้ออกมา เพราะแทนที่ตี้อ๋องจะเดินออกไป เขากลับหมุนตัวเดินตรงมาหานางเสียได้ และยังยืนอยู่ต่อหน้าห่างกันแค่คืบ
“หากเจ้าคิดเช่นนี้ ข้าก็จะนอนที่นี่ก็แล้วกัน เผื่อคนร้ายเข้ามาข้าจะได้รู้ว่าอันที่จริงแล้วมันต้องการสิ่งใดกันแน่ เจ้าหรือสิ่งของที่พวกมันมาหา” ปากเอ่ย ทว่าสายตาเขากลับมองต่ำลงมายังเนินเนื้อเบื้องหน้าซึ่งมันใหญ่น่าจับยิ่งนัก ทั้งขาวทั้งอวบจนล้นผ้าที่นางผูกรอบอก
“มองพอหรือยังเพคะ หม่อมฉันจะได้ไปอาบน้ำ” ถามกลับพร้อมกับจ้องหน้าคนตัวโตเขม็ง ตี้อ๋องที่รีบหันเหสายตาไปทางอื่นทันที แม้สิ่งที่นางเอ่ยจะเป็นจริงก็เถอะแต่เขาก็มิยอมให้นางเข้าใจผิดว่ามีใจพิศวาสหรอก
ร่างเล็กเบี่ยงตัวออกมาเดินกลับไปยังห้องอาบน้ำ ทำเหมือนมิมีสิ่งใดเกิดขึ้น ทว่าแค่เดินผ่านประตูเข้าห้องอาบน้ำมา เสียงพ่นลมหายใจก็ดังขึ้น พร้อมกับยกมือตีแก้มตัวเองเบาๆ เพราะตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น