บทที่ 8
ทิมกำลังมองเลยร่างเธอไปทางข้างหลัง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันจูดี้ เคอร์สันยืนอยู่เบื้องหน้าประตู เธออยู่ในชุดค่ำยาวจรดพื้นสีขาวปักลวดลายด้วยลูกปัดสีแดงเป็นรูปเปลวไฟ เรือนผมสีแดงเข้มหวีเรียบติดหนังศีรษะ มองดูเหมือนสวมหมวกแก๊ปสีแดงบนหัวไว้ ดวงตาคู่กลมโตกำลังจ้องจับใบหน้าของนิค
ทิมสั่นหน้าอย่างไม่รู้จะทำอะไรต่อไปดี แต่อ้อมแขนที่รัดอยู่รอบร่างโจกระชับแน่นเข้าไปในกลุ่มคนที่ยืนออกันอยู่อย่างหนาแน่น
เหตุการณ์เกิดขึ้นในตอนค่ำของวันต่อมา
“ทำไมคุณต้องทำอย่างนั้นด้วยนะจูดี้ ?” นิคผลักบานประตูห้องสตูดิโอให้เปิดออกเต็มแรง จูดี้กำลังยืนอยู่เบื้องหน้าขาหยั่งใส่เสื้อเชิ้ตกับกางเกงยีนส์ แปรงสีถือค้างอยู่ในมือ เธอไม่ได้หันมามองหน้าเขาเสียด้วยซ้ำ
“คุณก็รู้คำตอบดีอยู่แล้วว่าเพราะอะไร ก็แล้วทำไมคุณถึงต้องใช้เวลาตั้งสิบเก้าชั่วโมงเพื่อมาตั้งคำถามนี้เอากับฉันล่ะ?”
“เพราะว่าวันนี้ผมต้องทำงานทั้งวันน่ะสิและเป็นเพราะผมเกิดความไม่แน่ใจขึ้นมาว่าผมควรจะมาที่นี่อีกต่อไปดีหรือไม่ด้วย ผมเพิ่งรู้นะว่าคุณเป็นผู้หญิงที่ร้ายกาจมาก”
“โอ ! ในสายเลือดเลยทีเดียวล่ะ” เธอยิ้มเยือกเย็นให้เขา “เมื่อเรื่องมันถึงขั้นนี้แล้วฉันคิดเหมือนกันว่าคุณต้องเกลียดขี้หน้าฉันแย่เลย”
สีหน้าของเธอหม่นหมองลงและจูดี้ก็ขว้างแปรงสีลงกับพื้น
“โธ่ ! นิค..... ฉันน่ะกลุ้มใจจะตายอยู่แล้วนะ”
“มันก็สมควรแล้วนี่เพราะคุณเล่นไปบอกโจต่อหน้าผู้คนว่าผมกับแซมพูดเรื่องอะไรกันทั้งที่มันเป็นเรื่องส่วนตัวลับสุดยอดขนาดนั้น คุณไปว่าเธออย่างสาดเสียเทเสีย คุณทำให้งานที่เขาจัดขึ้นเพื่อความสนุกของเพื่อนฝูงล้มหมดทั้งงานเลย”
“ฉันไม่เห็นหล่อนรู้สึกอะไรสักนิดเลยนะนิคหล่อนมั่นใจในตัวเองมากคุณก็รู้และถึงยังไงหล่อนก็ไม่เชื่อเรื่องที่ฉันพูดอยู่แล้ว ไม่มีใครเชื่อด้วย มีแต่คนคิดว่าฉันเป็นนังมารร้ายกันทั้งนั้น”
เธอยกแขนขึ้นโอบรอบลำคอจูบเขาเบาๆ ราวกับขอโทษ
“อย่าโกรธฉันเลยนะได้โปรดเถอะ”
“แต่ผมโกรธ แล้วก็โกรธอย่างมากด้วย”
“ฉันคิดว่าเมื่อคืนนี้คุณคงตามไปงอนง้อหล่อนถึงบ้านด้วยสินะใช่ไหม ?” เนื้อตัวเธอเริ่มสั่นเทาขึ้นมา
“เปล่าเลย เธอกลับบอกให้ผมไปลงนรกเสียด้วยซ้ำคุณก็รู้ดีอยู่แล้วนี่” เขาเบี่ยงกายออกห่าง ถอดเสื้อนอกโยนลงบนเก้าอี้ “มีเหล้ากินไหม ?”
“คุณก็รู้อยู่แล้วนี่ว่าที่นี่มีเหล้าให้คุณกินเสมอ” เธอเดินไปหยิบแปรงขึ้นมาอย่างขุ่นเคืองเดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าขาหยั่งอีกครั้ง “ชงมาให้ฉันสักแก้วด้วยก็แล้วกัน”
“ยังคงรักษาความเป็นเจ้าของบ้านที่ดีไว้ได้อย่างสมบูรณ์ทีเดียวนะ” เขาเยาะให้
“อย่างน้อยฉันก็ดีกว่าโจ” เธอตวาดเสียงเกรี้ยวกลับมาทันที
“คุณอย่าไปเอาเธอมาเกี่ยวข้องด้วยหน่อยเลย” นิคพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ผมคงไม่ต้องบอกคุณอีกหรอกนะว่าคุณกำลังทำให้ผมเบื่ออย่างที่สุด”
ความเงียบปกคลุมห้องนั้นไว้ จูดี้ปาดสีลงบนผืนผ้าใบราวจะระบายอารมณ์
นิคถอนหายใจหันหลังเดินเข้าไปในครัว มีไวน์อยู่ในตู้เย็น เขาจึงหยิบมันออกมาพร้อมแก้วอีกสองใบ
เขารู้ว่าเขาไม่ได้เล่าความจริงทั้งหมดให้จูดี้ฟังเมื่อคืนนี้เที่ยงคืนแล้ว เขาได้ไปที่คอร์นวอลล์ การ์เด้นส์เดินเข้าไปในอพาร์ตเม้นท์ของโจที่ตั้งอยู่ในความมืด เปิดประตูเข้าไปในห้องพักของเธออย่างเงียบกริบเขาพยายามเงี่ยหูฟังสรรพสำเนียงต่างๆ และสังเกตเห็นว่ายังมีแสงไฟสว่างอยู่ในห้องครัว เมื่อเขาผลักประตูให้เปิดออกก็พบภายในห้องมีแต่ความว่างเปล่า แต่ขณะที่กำลังกวาดสายตาชื่นชมกับความสะอาดภายในห้องครัวก็ได้ยินเสียงถามขึ้นทางข้างหลัง
“คุณมาที่นี่ทำไม?” โจอยู่ในชุดสีขาวเดินเข้ามา
“โจผมมีเรื่องที่จะต้องพูดกับคุณนะ.... ” นิคพยายามตั้งสติให้มั่นไว้
“ไม่นิค เราไม่มีอะไรต้องพูดกันอีกแล้ว” เธอตอบด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเคร่งขรึม
ขณะที่จ้องมองเธอนิคเพิ่งสำนึกว่าเขาอยากกอดร่างเธอไว้ในวงแขนเสียเหลือเกิน
“โธ่ ! โจ ผมเสียใจ”
“ฉันก็เหมือนกันนิคและเสียใจมากด้วย ทั้งหมดที่จูดี้พูดมามันเป็นความจริงใช่ไหม ? ฉันกำลังจะบ้าอย่างที่เขากล่าวหาใช่ไหม ?”
“เธอไม่ได้พูดอย่างนั้นนะโจ”
“หรือว่าเป็นคำพูดของแซม ?”
“เปล่าเลย คุณรู้ว่าแซมต้องไม่พูดอย่างนั้นเด็ดขาด เขาพูดแต่ว่าคุณต้องระวังตัวให้มากเท่านั้น” ตลอดเวลานิคพยายามแต่งน้ำเสียงให้แจ่มใสเข้าไว้
“แล้วทำไมจูดี้ถึงรู้เรื่องอะไรต่อมิอะไรมากมายขนาดนั้นด้วยล่ะ? คุณเอาเรื่องของฉันไปคุยให้เธอฟัง อย่างนั้นหรือ ?”
“ผมจะทำอย่างนั้นได้ยังไง เธอแอบฟังเรื่องที่ผมกับแซมพูดโทรศัพท์กันอยู่เป็นการส่วนตัว ที่จริงแล้วเธอไม่น่าทำอย่างนั้นเลยแต่เธอก็ไม่ได้ยินอะไรมากนักหรอก ผมรับรองได้ เธอพูดออกไปทั้งหมดนั่นน่ะเธอแตงขึ้นมาเองทั้งนั้น”
“แต่คุณไม่ควรโทรศัพท์ไปหาแซมนะนิค” เธอคลั่งแค้นเขาขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ “ฟังนะนิค นับแต่วันนี้เป็นต้นไปคุณจงอย่าได้เข้ามาวุ่นวายกับเรื่องของฉันอีก ฉันไม่ต้องการให้คุณเข้ามายุ่งเข้าใจไหม ? และฉันไม่ต้องการให้พี่ชายคุณเข้ามาเกี่ยวข้องกับฉันด้วย ฉันไม่ต้องการติดต่อเกี่ยวข้องกับบุคคลในตระกูลแฟรงคลินอีก เอาล่ะ ! ออกจากบ้านฉันได้แล้ว”
“ไม่โจ.... ผมไม่ไปจนกว่าเราจะพูดกันให้รู้เรื่องเสียก่อน”
“เราไม่มีอะไรต้องพูดกันอีกแล้ว ฉันขอย้ำ และฉันก็สบายดีทุกประการด้วย ไปสิ” น้ำเสียงที่ออกปากไล่สั่นสะท้าน “ไป.... ออกไปให้พ้นนะ..... ออกไป๊....”
“โจ... อย่าเอะอะอย่างนี้สิ” นิคค่อยๆ ถอยหลังออกมา “ผมกำลังจะไปอยู่แล้ว แต่ได้โปรดเถอะโจ.... ได้โปรดสัญญากับผมสักอย่างหนึ่ง....”
“ฉันบอกว่าให้ออกไป”
เขาจำต้องออกจากบ้านเธอมา....
นิคกรอกเหล้าเข้าปาก รินเติมลงในแก้วอีกครั้งก่อนจะเดินเข้าไปในสตูดิโอ
พีท ลีเวสันกำลังยืนอยู่ข้างตัวจูดี้มองภาพที่ปรากฏอยู่บนผืนผ้าใบอย่างสนใจ นิคทำเสียงบางอย่างอยู่ในลำคอและพีทก็ยกมือขึ้น
“ผมคิดไว้แล้วว่าต้องพบคุณที่นี่ มีใครบอกคุณหรือยังว่าเวลานี้คุณกลายเป็นคนสารเลวในสายตาของคนอื่นไปแล้ว ?”
นิคยื่นแก้วใบหนึ่งส่งให้เขา
“คุณไม่ได้เรียกผมด้วยชื่อที่ผมยังไม่ได้เรียกตัวเองมาก่อนหรอก” เขาตอบด้วยน้ำเสียงแห้งแล้งเต็มที
“เอาละ..... เอาละ คุณทั้งสองเลิกพูดจาทิ่มแทงกันเสียทีเถอะ ฉันยอมสารภาพแล้วว่าฉันเองที่เป็นคนก่อเรื่องทั้งหมดขึ้น ฉันเป็นคนเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้เธอฟังเองไม่ใช่นิค ถ้าคุณมาที่นี่เพื่อจะมากล่าวหาใครสักคนคน ๆ นั้นควรจะเป็นฉันไม่ใช่เขา” เธอยกมือขึ้นท้าวสะเอวอย่างท้าทาย
“ถูกต้อง ก็คุณนั่นแหละ” พีทพูดยิ้มๆ
“ทำไมโจเขาเสียใจมากนักหรือ ?” จูดี้อดถามด้วยความอยากรู้ไม่ได้
“ก็นิดหน่อย เป็นใครมันก็ต้องเสียใจด้วยกันทั้งนั้นแหละ เธอไม่เชื่อเรื่องที่คุณพูดเลยแม้แต่คำเดียว แต่คุณเล่นไปประจานเธอต่อหน้าผู้คนอย่างนั้นมันก็ทำให้เธออายบางสิ”
“เอ๊ะ ! แต่ไม่มีใครได้ยินที่เราพูดกันนะ.... ”
“จูดี้” พีทมองหน้าเธออย่างหมั่นไส้ “คุณก็รู้ว่าทุกคนที่อยู่ในงานเมื่อคืนนี้ได้ยินทุกคำพูดของคุณ รวมทั้งนิเกล เดมพ์สเตอร์ด้วย ผมพูดโทรศัพท์กับเขามาแล้วแต่ออกจะน่าเสียดายสักหน่อยที่เขาไม่อาจตัดข่าวที่เพิ่มรสชาติให้กับคอลัมน์ของเขาได้ ยิ่งกว่านั้นมันเป็นงานของเขาอยู่ด้วยซึ่งก็เหมือนกับงานของผมนั่นแหละ คุณลองพิจารณาข้อความต่อไปนี้สิ........ คอลัมนิสต์ชื่อดังถูกต่อว่าต่อขานจากศิลปินสาวในงานวันเกิดของเฮชแชม..... ข่าวอย่างนี้นิเกลตัดไม่ลงแน่จริงไหม? และเขาเห็นเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้นด้วยตาตัวเองด้วย เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงหรอก ฉบับวันศุกร์นี่แหละคุณได้อ่านข่าวใหญ่แน่”
“ไอ้ห่ะ” นิคสบถออกมาอย่างเดือดดาล “ถ้าทำกันขนาดนี้มันก็เท่ากับทำลายโจให้ย่อยยับลงกับตาเลยเธอใช้เวลานานมากนะกว่าจะขึ้นมายืนอยู่บนบันไดขั้นนี้ได้”
“อย่าห่วงหน่อยเลยน่าหล่อนไม่เป็นอะไรหรอก” จูดี้สวนขึ้นทันที “แม่คนนี้หล่อนเก่งออกจะตายไป”
“เธอไม่ได้เก่งอย่างที่เธอแสดงออกมาให้พวกเราเห็นหรอกจูดี้” นิคตอบอย่างใช้ความคิด “เพราะลึกลงไปในใจเธอก็เป็นเพียงผู้หญิงผู้ไม่มีทางช่วยตัวเองได้คนหนึ่งเท่านั้นเอง”
“แล้วฉันล่ะ ไม่ใช่ผู้หญิงด้วยหรือไง?” จูดี้ถามเสียงประชด เมินหน้าไปเสียทางหนึ่งอย่างน้อยใจ
“เราไม่ได้พูดถึงคุณนะจูดี้ คุณไม่น่าทำเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเหยื่อของพวกนักข่าวเลย”
“เขาก็ฟ้องได้นี่”
“ถ้าเธอคิดจะฟ้องใครสักคนก็ควรจะเป็นคุณนั่นแหละไม่ว่าจะเป็นการฟ้องฐานหมิ่นประมาทหรือใส่ร้ายมันก็สมควรแล้วทั้งนั้น”
จูดี้หน้าซีดเผือดลงทันที เธอไม่ตอบโต้อะไรเลยแม้แต่คำเดียวเมื่อดึงแก้วมาจากมือนิคและเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าต่างทอดสายตาเหม่อมองออกไปยังพื้นดินที่ว่างเปล่าด้วยท่าทางมึนตึง
“ผมอยากรู้นะ” พีทเอ่ยขึ้น “เรื่องนี้มันจริงสักแค่ไหน ?” เขาถามเสียงต่ำ
“ไม่มีอะไรเลยเพราะว่าจูดี้เข้าใจผิดอย่างถนัด” นิคเม้มริมฝีปากอย่างโกรธจัด “คุณจะเขียนเรื่องนี้ยังไงก็เขียนไปเถอะนะพีทเพราะถึงยังไงมันก็ไร้สาระอยู่แล้วแต่นั่นแหละ.... ” เขาอึ้งไปมีความหวาดหวั่นในอะไรบางอย่างปรากฏอยู่ในสีหน้า “ถึงยังไงความเสียหายก็เกิดขึ้นแล้ว คุณลองคิดดูเองก็แล้วกันว่ามันจะสร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นกับโจอีกมากแค่ไหน”
“นั่นสินะ” พีทพยักหน้าอย่างเข้าใจ “แต่ผมมีเหตุผลที่ต้องถามอยู่ดี คุณแน่ใจแล้วหรือว่าการสะกดจิตจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายขึ้นกับโจอีก?”
“ไม่หรอก” นิคฝืนหัวเราะออกมา บอกกับตัวเองว่าเมื่อปฏิเสธแล้วก็จำเป็นต้องปฏิเสธให้ตลอด “ว่าแต่คุณถามทำไม ?”
“ก็ไม่มีเหตุผลอะไรหรอก........ ไม่มีเหตุผลอะไรเลย.....”