ข้ามมิติพิสวาส

0 · ยังไม่จบ
Readed
191
บท
233
ยอดวิว
7.0
การให้คะแนน

บทย่อ

"โจ คลิฟฝอร์ด" ...นักข่าวสาวผู้มาดมั่น เธอเข้ารับการสะกดจิตเพื่อย้อนสู่อดีต ก่อนจะพบว่าเธอคือ...มาทิลด้า ผู้ที่มีชีวิตอยู่เมื่อแปดร้อยปีก่อน... "แซม แฟรงคลิน" ...จิตแพทย์ผู้พยายามแก้ไขความผิดพลาดที่ "วิลเลียม เดอ บราโอส" ได้ทำไว้ จนกลายเป็นความยุ่งยากซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ "นิค แฟรงคลิน" ...นักบริหารหนุ่มผู้มีอดีตชาติที่เป็นถึงกษัตริย์ เคยสั่งขัง "มาทิลด้า" จนตายอย่างทรมาน แม้ว่าเธอคือผู้หญิงที่เขารักอย่างฝังใจ ...คนเหล่านี้กลับมาเกิดร่วมกันในโลกปัจจุบัน พวกเขาจะสะสางปัญหาแต่อดีตอย่างไร หรือจะสร้างโซ่ตรวนใหม่ๆ มาร้อยรัดตนเองอีกครั้ง...

นิยายรักโรแมนติกนิยายรักนิยายปัจจุบันรักหวานๆดราม่าเศรษฐีโรแมนติกเกิดใหม่ในนิยายข้ามมิติ

บทที่ 1

เอดินเบิร์ก.... 1970

หิมะกำลังตกลงมาอย่างหนัก แซม แฟรงคลินทอดสายตามองเหม่อออกไปนอกหน้าต่างสกปรกภายในใจคิดอยู่ว่าเมื่อถึงวันหยุดสุดสัปดาห์หมู่เมฆที่มืดครึ้มอยู่ขณะนี้จะเพิ่มจำนวนหิมะให้หนาพอเล่นสกีได้หรือไม่

“ช่วยเปิดเทปได้แล้วครับหมอแฟรงคลิน” เสียงเรียบๆของศาสตราจารย์โคเฮนแทรกเข้ามาทำลายภวังค์แห่งความคิดของเขา แซมหันกลับไปมองผู้หญิงสาวที่นอนสงบอยู่บนเก้าอี้นวมตัวยาวก่อนเอื้อมมือไปเปิดเครื่องบันทึกเทป เธอเป็นผู้หญิงที่หน้าตาสวยมาก เรือนร่างสูงระหงเรือนผมดำขลับ ดวงตาคู่สีเขียวแกมเทาบ่งบอกถึงความมีชีวิตจิตใจ เพียงแต่เพียงแต่ว่าขณะนี้ดวงตาคู่งามกำลังปิดสนิทอยู่ รายล้อมด้วยแผงขนตางอนอ่อนช้อย เขายิ้มให้กับตัวเอง เมื่อปฏิบัติการภายในห้องทดลองครั้งนี้เสร็จสิ้นลงแล้วเขาตั้งใจว่าจะอาสาขับรถเข้าไปส่งเธอในเมือง

ภายในห้องทดลองของแผนกจิตวิทยาขณะนี้เต็มไปด้วยความหนาวเย็น ตอนที่เขาเอื้อมมือไปหยิบสมุดโน้ตเพื่อบันทึกรายงานทั้งหมดเขาโน้มตัวเข้าไปแตะเครื่องทำความร้อนสีครีมที่ตั้งอยู่พร้อมกัน สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นกว่าเดิมเมื่อพบว่ามันเพียงอุ่นๆเท่านั้น

ห้องทำงานของศาสตราจารย์โคเฮนเป็นห้องเล็กยุ่งเหยิงไร้ระเบียบ เครื่องแต่งห้องคือโต๊ะทำงานตัวใหญ่ที่มีทั้งกองหนังสือกองเอกสารทับกันอยู่จนมองไม่เห็นตัวโต๊ะ มีเก้าอี้อีกหกตัวตั้งรวมกันไว้สำหรับให้นักศึกษาเข้ามาเรียนรู้ด้วยประสบการณ์ นอกจากนั้นยังมีเก้าอี้นอนตัวยาวซึ่งอาสาสมัครผู้เข้ามารับการทดลองจะนอนลงบนเก้าอี้ ตัวนี้เมื่อถูกสะกดจิต

“ไม่รู้เป็นยังไงนอนกันอย่างกลัวจะตกลงมาอย่างนั้นแหละ” โคเฮนเคยบ่นให้แซมฟัง ขณะมีผู้หญิงคนหนึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้นวมด้วยท่าทางเหมือนคนที่กำลังจะถูกบูชายัญ

ผนังของห้องนี้ฉาบด้วยสีฟ้าอ่อนซึ่งไม่ได้ช่วยให้อุณหภูมิภายในห้องนี้ดีขึ้นเลย แซมเคยคิดว่าถ้าใครก็ตามเข้ามาในห้องนี้แล้วสามารถลงนอนได้อย่างสบายใจก็หมายความว่าน่าจะเป็นเพราะถูกสะกดจิตบางส่วนมาแล้วมากกว่า ข้างตัวเขาในยามนี้ เสียงเครื่องทำความร้อนครางเบาๆแต่ความร้อนก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย

ศาสตราจารย์โคเฮนทรุดตัวลงนั่งข้างเก้าอี้นวมจับมือหญิงสาวขึ้นมากุมไว้ แซมอดยิ้มไม่ได้เมื่อคิดว่าไม่เห็นเขาทำอย่างนี้กับเหยื่ออีกสองรายที่เพิ่งผ่านไปก่อนหน้านี้เลย

เขาหยิบปากกาขึ้นมาถือและเริ่มลงมือเขียนหัวข้อลงในรายงาน

การสะกดจิตเพื่อรำลึกถึงอดีตชาติ : การทดลองภายในห้องปฏิบัติการด้านจิตวิทยา

ผู้รับการทดลองหมายเลข 224 : โจอันน่า คลิฟฝอร์ด นักศึกษาศิลปศาสตร์ปี 2 อังกฤษ

อายุ 19

บุคลิกภาพ

เขายกปลายปากกาขึ้นกัดหันไปมองทางเธออีกครั้งก่อนเติมข้อความลงในช่องที่ว่างไว้ว่า “กระตือรือร้นและเปิดเผย”

อีกครั้งหนึ่งที่เขาต้องหยุดใช้ความคิด นึกถึงภาพเธอที่ไหวไหล่เบาๆ เมื่อเขาทั้งสองตั้งคำถามพื้นฐานเพื่อประกอบการพิจารณาความรู้สึกโน้มเอียงของเธอที่มีต่อการทดลองในครั้งนี้

“ก็อคงอยู่ในระดับอัตราเฉลี่ยมังคะ” เธอตอบยิ้มๆ “ฉันอาจสนใจกับเรื่องเก่าอยู่บ้าง แต่ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น คือฉันหมายความว่าฉันสนใจเรื่องของปัจจุบันมากกว่าอดีตค่ะ”

เขามองดูเสื้อสเว็ตเตอร์ที่เธอสวมอยู่คู่กับกางเกงยีนส์แนบเนื้อ และเติมข้อความลงไปในช่องที่ว่างไว้เช่น ที่เคยเขียนลงในสมุดบันทึกมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนว่า “อยู่ในอัตราเฉลี่ย”

ศาสตราจารย์โคเฮนเสร็จจากการทดสอบขั้นพื้นแล้วจึงหันมาทางแซม

“เด็กคนนี้น่าจะเป็นผู้รับการทดลองที่ดีมากทีเดียว ตอนนี้เข้าสู่ภวังค์ลึกแล้ว ผมจะเริ่มลงมือซักถามเธอเดี๋ยวนี้”

แซมหันกลับไปมองทางหน้าต่าง เมื่อเริ่มต้นการทดลองเขารอสิ่งที่จะเกิดขึ้นในภาวะนี้ อยากรู้ว่าผู้รับการทดลองจะเปิดเผยอะไรออกมาบ้าง บางคนไม่ได้ให้อะไรเลย ไม่มีการเล่าถึงความทรงจำ ไม่มีสิ่งใหม่เกิดขึ้นบางคนก็เล่าออกมาอย่างมีสีสันซึ่งมักทำให้เขาบังเกิดความพิศวงและประทับใจมาก แต่เป็นเวลาหลายวันมาแล้วทั้งเขาและศาสตราจารย์โคเฮนได้พบกับผู้เข้ารับการทดลองผู้น่าเบื่อหน่ายซึ่งตอบคำถามด้วยคำพูดเพียงแค่พยางค์เดียวกับทุกคำถามที่ตั้งขึ้น แล้วก็ไม่ช่วยให้เกิดความก้าวหน้ากับการค้นคว้าแต่อย่างใด

สิ่งเดียวที่ทำให้ผู้หญิงคนนี้ดูแตกต่างกว่าคนอื่นเท่าที่เขามองเห็นอยู่ในขณะนี้คือรูปร่างหน้าตาของเธอที่บอกให้รู้ว่าเป็นคนมีระดับคนหนึ่ง

หิมะที่กำลังโปรยปรายลงมาเพิ่มความหนาหนักขึ้นมันสาดไปทางด้านเดียวจึงทำให้ไม่สามารถมองเห็นอาคารบ้านเรือนที่ตั้งอยู่อีกฟากของถนน และสะกัดกั้นเสียงของยวดยานพาหนะที่มุ่งหน้าไปทางด้านทิศเหนือของตัวเมืองไว้เกือบหมดสิ้น เขาไม่สนใจฟังเสียงพูดของเธอเท่าไร น้ำเสียงของคนที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของการสะกดจิตมักอ่อนเบาและค่อนข้างไม่ชัดเจนทุกคน ถึงอย่างไรเขาก็ยังต้องฟังจากเทปอีกนับครั้งไม่ถ้วน เมื่อโคเฮนแปลความหมายในข้อความที่เธอพูดออกมาแล้วและพยายามค้นหารายละเอียดให้ลึกซึ้งลงไปว่าคำพูดนั้นมาจากไหน

“และตอนนี้โจอันน่า.... ” เสียงศาสตราจารย์โคเฮนดังขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย เมื่อขยับตัวอยู่บนเก้าอี้ทรงกลมเพื่อให้ตัวเองนั่งในท่าที่สบายขึ้น “เราจะย้อนกลับกันไปอีกครั้ง เราขอให้คุณย้อนกลับไปก่อนหน้าความมืดนั่น กลับไปสู่ก่อนหน้าความฝัน กลับไปสู่เมื่อครั้งที่คุณเคยเกิดมาในโลกนี้เมื่อครั้งก่อน” แซมอดคิดไม่ได้ว่าโคเฮนคงเบื่อหน่ายเหมือนกันเพราะเขาเหลือบเห็นโคเฮนก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ

ทันใดหญิงสาวก็เหวี่ยงแขนออกไปโดนหนังสือที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างเก้าอี้นวมตกระเนระนาดลงกับพื้นห้องแซมอดสะดุ้งไม่ได้เพราะดูเหมือนเธอไม่รู้ตัวเลยว่าทำอะไรลงไป เธอกำลังยันกายขึ้นด้วยข้อศอก ดวงตาเบิกกว้างจ้องมองดูภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า

โคเฮนเต็มไปด้วยความสนใจอย่างเต็มที่ เขาเลื่อนร่างลงจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว ขณะที่เธอลุกขึ้นยืน เขาก็ เคลื่อนร่างออกมาให้พ้นทางของเธอ

แซมเพิ่งตั้งสติได้และจดบันทึกว่า

“ผู้รับการทดลองลุกขึ้นจากเก้าอี้นวมและออกเดินด้วยท่าทางของคนละเมอ ดวงตาเบิกกว้าง ช่องตาดำขยายขึ้นกว่าเดิมสีหน้าเผือดซีดเหมือนคนที่กำลังท้อแท้”

“โจอันน่า” โคเฮนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คุณจะไม่นั่งลงก่อนหรือ ช่วยบอกเราหน่อยสิว่าคุณชื่ออะไร กำลังอยู่ที่ไหน?”

เธอกวาดสายตามองไปโดยรอบแต่ไม่ใช่เพราะต้องการเผชิญหน้ากับเขา ดวงตาคู่นั้นจรดจ้องมองไปยังอะไรบางอย่างที่อยู่ตรงกึ่งกลางห้อง เธอเผยอริมฝีปากเหมือนพูดอะไรบางอย่างออกมาและคนทั้งสองเห็นเธอไล้ปลายลิ้นไปรอบริมฝีปาก และแล้วเนื้อตัวสั่นเทายกมือขึ้นจับคอเสื้อสเวตเตอร์ไว้แน่น

“วิลเลียม” เธอเอ่ยออกมาในที่สุดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนเบาปานเสียงกระซิบ น้ำเสียงแหบพร่าพอได้ยินเป็นคำเท่านั้น เธอก้าวออกไปข้างหน้าอีกก้าวหนึ่ง ดวงตายังคงจรดจ้องอยู่ที่จุดเดิม แซมรู้สึกว่าตัวเองกำลังขนลุกเหมือนมองเห็นภาพนั้นด้วยเช่นกัน อยากจะคาดว่าในนาทีต่อไปนี้ต้องมีใครบางคนหรืออะไรบางอย่างปรากฏขึ้น

เขาลืมสมุดบันทึกในมือไปเสียสนิท แทบลืมหายใจเสียด้วยซ้ำขณะรอฟังและจับสังเกตกิริยาท่าทีของเธอต่อไป หวังได้ยินเธอพูดมากกว่านั้น แต่เธอยังคงยืนนิ่งเงียบ ร่างกายซวนเซ สีหน้าเผือดซีด เมื่อกวาดสายตาจ้องมองไปรอบห้องและแล้วโดยไม่คาดคิดเขาก็เห็นหยาดน้ำตาไหลพรากลงมาตามร่องแก้ม

“ช่วยบอกหน่อยสิว่าเวลานี้คุณอยู่ที่ไหนแล้วก็ร้องไห้เพราะอะไร?” แซมรู้สึกว่าเสียงถามเบาๆ ของศาสตราจารย์โคเฮนในยามนี้เหมือนบุกรุกเข้าไปทำลายภวังค์ความโศกศัลย์ที่กำลังเกิดอยู่กับเธอ แต่แล้วเขาต้องแปลกใจเมื่อเห็นเธอหันมามองหน้าเขา สีหน้าของเธอในยามนี้ดูแก่ชราแลเก่ชราและทุกข์ตรมยิ่งนัก

“วิลเลียม” เธอเอ่ยซ้ำขึ้นอีกและแล้วก็กรีดร้องโหยหวนด้วยเสียงที่บาดใจแซมยิ่งนัก “วิล......เลียม” เธอยกมือทั้งสองข้างขึ้นช้าๆ พิจารณาดูมือของตัวเองอยู่เป็นครู่ แซมถอนสายตาจากใบหน้ามาจ้องมองดูมือนั้นตามไปด้วยขณะนั้นเขาได้ยินเสียงร้องอุทานดังขึ้นและรู้สึกตกใจยิ่งนักเมื่อรู้สึกว่าเสียงร้องหลุดรอดออกมาจากลำคอของตัวเอง

มือทั้งสองข้างเริ่มมีเลือดไหลซึมออกมา........

ด้วยสัญชาติญาณทำให้เขารีบผละออกจากหน้าต่างและเอื้อมมือออกไปหาเธอ แต่เสียงเด็ดขาดของโคเฮนหยุดยั้งเขาไว้

“อย่าแตะต้องตัวเธอ ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น.....มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อจริงๆ.....เหลือเชื่อที่สุด” เสียงของศาสตราจารย์บอกความตื่นเต้น “คุณรู้ไหมว่านี่คือการสะกดจิตตัวเองเพื่อค้นหาแนวความคิดที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง นี่คือบาดแผลบนเรือนกายของพวกคลั่งศาสนาผมไม่เคยเห็นมาก่อนเลยนะมันเป็นเรื่องเหลือเชื่ออย่างที่สุด”

ขณะนี้แซมยืนอยู่ห่างจากเธอเพียงแค่หนึ่งฟุต ขณะที่เธอซวนเซไปอีกครั้งหนึ่งมือทั้งสองแนบอยู่กับอกเหมือนจะช่วยผ่อนคลายความเจ็บปวดให้น้อยลง และแล้วเนื้อตัวของเธอก็มีอาการสั่นเทาขึ้นมาอย่างรุนแรงก่อนที่ร่างจะทรุดฮวบลง

“วิลเลี่ยม.... อย่าทิ้งฉันไป... โอ.... พระเจ้า... ได้โปรดช่วยลูกฉันด้วย” เธอครวญคร่ำด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น “ให้ใครเข้ามาสักคนเถิด.... ได้โปรด.... ช่วยเอา.... อาหาร.... มาให้เรา.... ให้เขา.... ด้วย ... ฉัน... หนาวเหลือเกิน.... หนาว.... หนาว.... เหลือเกิน” หางเสียงปนสะอื้น ร่างทรุดต่ำลงกองกับพื้นห้อง “โอ.... พระเจ้าช่วย....ได้โปรด.... เมตตา.... ฉันด้วย.... ” เธอจิกนิ้วลงบนพรมที่ปูพื้นห้องไว้ แซมจ้องมองดูเลือดที่ไหลหยาดย้อยออกมาจากมือทั้งสองของเธอด้วยอาการตื่นตะลึง เธอนอนตัวแข็งหยาดน้ำตาไหลพรากไม่ขาดสายและเสียงสะอื้นก็ไม่จางลงเลย

“โจอันน่า.... โจอันน่า” โคเฮนคุกเข่าลงข้างกายเธอ วางมือลงบนไหล่อย่างอ่อนโยน “โจอันน่าคนดี ผมอยากให้คุณฟังที่ผมพูดนะ” สีหน้าของศาสตราจารย์สูงอายุเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ ลูบไล้เรือนผมและแก้มที่ซีดเผือดไปมา “ผมอยากให้คุณหยุดร้องไห้นะได้ยินที่ผมพูดไหม? หยุดร้องไห้แล้วก็ลุกขึ้นนั่งเสียนะเด็กดี” น้ำเสียงของเขาสงบบอกความมั่นใจในตนเองขณะจับตามองดูเธอแต่กระนั้นก็นั้นก็ไม่อาจอำพรางแววกระวนกระวายในดวงตาไว้ได้

เสียงสะอื้นค่อยแผ่วเบาลง เธอยังคงนอนนิ่งอยู่ในที่เดิม เสียงที่หลุดรอดออกมาจากลำคอหยุดสนิทลงแล้วโคเฮนโน้มร่างเข้าไปใกล้ยังวางมืออยู่บนไหล่