บทที่ 2
“โจอันน่า” เขาเขย่าร่างเธอเบาๆ “โจอันน่า.... คุณได้ยินที่ผมเรียกหรือเปล่า? ผมต้องการให้คุณตื่นขึ้นนะผมจะนับหนึ่งถึงสามนะ คุณพร้อมแล้วใช่ไหม?... หนึ่ง.... สอง.... สาม”
ศีรษะของเธอกลิ้งไปมาอยู่บนพรมปูพื้น ดวงตาเบิกโพลงไม่กะพริบ ช่องตาดำยังขยายกว้างอยู่เช่นเดิม
“โจอันน่า คุณได้ยินผมไหม? หนึ่ง.... สอง... สาม” โคเฮนประคองไหล่พยุงร่างเธอขึ้นจากจากพื้น “โจอันน่า ในนามของพระเจ้า.... ฟังผมนะ.... ”
ความตกใจที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงของเขาทำให้แซมทำอะไรบางอย่างลงไปโดยสัญชาติญาณ เขาทรุดตัวลงคุกเข่าข้างตัวคนทั้งสองเอื้อมไปจับชีพจรตรงลำคอของหญิงสาว
“ไคร้สต์ ไม่เต้นเลยนี่”
“โจอันน่า” โคเฮนเขย่าร่างของเธอแรงขึ้นในหน้าเผือดซีดราวขี้เถ้า “โจอันน่า....ตื่นได้แล้วโจอันน่า” เขาพยายามตั้งสติให้มั่นอย่างสุดความสามารถ “ฟังผมนะคุณต้องเริ่มหายใจเดี๋ยวนี้.... หายใจช้าๆ.... ใจเย็นๆ นะ.... ได้ยินไหม? เอาล่ะ.... คุณเริ่มหายใจได้แล้วนะ.... ช้าๆ.... คุณได้อยู่กับวิลเลียมแล้ว ได้กินอาหารแล้ว คุณมีความสุขแล้วนะ.... เนื้อตัวคุณอุ่นขึ้นแล้ว.... คุณกลับฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว โจอันน่าคุณยังมีชีวิตอยู่นะ”
แซมรู้สึกตีบตันขึ้นมาในลำคอข้อมือของหญิงสาวที่อ่อนเปลี้ยอยู่ในระหว่างนิ้วมือเมื่อครู่เริ่มเย็นลง สีหน้าของเธอเหมือนคนที่ตายไปแล้วริมฝีปากเริ่มเป็นสีเทา
“เห็นจะต้องเรียกรถพยาบาลเสียแล้ว” น้ำเสียงของโคเฮนหมดความมั่นใจลงอย่างเห็นได้ชัด ดูเขาแก่ไปถนัดเมื่อผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ไม่มีเวลาแล้ว” แซมผลักร่างศาสตราจารย์ให้ห่างออก “คุณคุกเข่าลงข้างหัวเธอเถอะแล้วผายปอดเธอ....ทันทีเดี๋ยวนี้เลย” เขาโน้มตัวลงไปเอาหูแนบกับอก ใช้ข้อมือคลึงลงตรงหัวใจพร้อมกับนับไปด้วยในใจ
โคเฮนนิ่งงันไปเป็นครู่ก่อนโน้มร่างลงทำตามที่แซมสั่ง ทันทีที่เขาเป่าลมลงโจอันน่าก็เริ่มอ้าปากหอบหายใจ แซมผุดลุกขึ้นนั่งเอื้อมไปจับชีพจรเธออีกครั้งดวงตาจับจ้องใบหน้าขณะที่เปลือกตาของเธอเริ่มเคลื่อนไหว
“พูดกับเธอสิ” น้ำเสียงของเขาเร่งร้อนไม่ยอมละสายตาจากใบหน้า สังเกตเห็นว่าสีหน้าเผือดซีดเมื่อครู่เริ่มมีสีสันแล้ว เขาเลื่อนมือไปแตะลงตรงชายโครงเบาๆ สังเกตเห็นความมีชีวิตที่เริ่มกลับมาสู่ การหายใจของเธอในระยะแรกเหมือนอาการหอบ แซมถูมือที่เย็นชืดแรงๆ สัมผัสรอยคราบเลือดที่แห้งกรังติดอยู่บนนิ้วและฝ่ามือของเธอเขาก้มลงดูบาดแผลที่เธอได้รับมันเป็นของจริงมีรอยช้ำเกิดอยู่รอบเล็บและบนนิ้ว รอยช้ำบวมบนฝ่ามือและรอยแตกบนข้อนิ้ว
โคเฮนใช้ความสามารถอย่างที่สุดเพื่อบังคับใจให้สงบ เขาเริ่มพูดกับเธอเบาๆ เพื่อปลุกให้ฟื้นขึ้นจากภวังค์ลึก
“ดีมากโจอันน่า..... ดีมากทีเดียว ตอนนี้คุณเริ่มปล่อยใจให้สบายได้แล้วนะ รู้สึกอบอุ่นสบายขึ้นมากทีเดียวทันทีที่คุณรู้สึกว่าตัวเองแข็งแรงพอผมอยากให้คุณลืมตาขึ้นแล้วก็มองหน้าผมนะ.... ดีมาก ดีมากจริงๆ”
แซมจับตามองดูเธอเผยอเปลือกตาขึ้นช้าๆท่าทางของโจอันน่าในยามนี้ดูเหมือนเธอจะไม่ได้มองดูห้องหรือผู้ชายทั้งสองคนที่คุกเข่าอยู่ข้างกายแม้แต่น้อย สายตาของเธอยังจับจ้องอยู่กับบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ในระยะไกลออกไป สีหน้าเลื่อนลอย แต่ทำให้สีหน้าของโคเฮนดีขึ้น
“ใช่แล้ว เอาละตอนนี้คุณรู้สึกสบายพอจะลุกขึ้นนั่งได้หรือยังล่ะ?” เขาประคองไหล่ให้เธอลุกขึ้นนั่งช้าๆ“ผมจะช่วยให้คุณยืนขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้นวมไงล่ะ” เขาหันไปมองหน้าแซมเหมือนขอคำปรึกษาและอีกฝ่ายก็พยักหน้า
จากนั้นบุรุษทั้งสองก็ช่วยกันประคองเธอลุกขึ้นยืนและพาเดินข้ามห้องไปยังเก้าอี้นวม เมื่อเธอทอดร่างลงตามคำสั่งอย่างว่าง่ายแล้วโคเฮนหยิบผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวให้ สีหน้าของหญิงสาวยังเผือดซีดเลื่อนลอยอย่างเห็นได้ชัด เธอขดร่างขึ้นแต่ลมหายใจเริ่มกลับเป็นปกติแล้ว
โคเฮนใช้ปลายเท้าเขี่ยเก้าอี้เข้ามาทรุดตัวลงนั่งโน้มร่างเข้าไปจับมือข้างหนึ่งของเธอไว้
“เอาล่ะโจอันน่าผมอยากให้คุณตั้งใจฟังที่ผมพูดนะ ผมปลุกคุณให้ตื่นขึ้นมาในนาทีนี้ เมื่อผมปลุกคุณขึ้นมาแล้วคุณจะจำไม่ได้เลยว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นกับในวันนี้บ้าง คุณเข้าใจไหม? คุณจะจดจำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น จนกว่าเราจะพบกันและคุณอยากระลึกชาติใหม่อีกครั้ง เมื่อถึงเวลานั้นคุณจะอนุญาตให้เราสะกดจิตอีกครั้งเมื่อคุณเข้าสู่ภวังค์อีกครั้งหนึ่งแล้วคุณจะเริ่มเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคุณในชาติก่อน สิ่งที่คุณได้จดจำมาจนกระทั่งถึงวันตาย คุณเข้าใจที่ผมพูดมาทั้งหมดไหมโจอันน่า?”
“คุณทำอย่างนั้นไม่ได้นะ” แซมมองหน้าศาสตราจารย์โคเฮนอย่างตกใจ “พระเจ้า นี่คุณกำลังใส่ระเบิดเวลาลงในสมองของเธอนะ”
“เราต้องรู้ให้ได้ว่าเมื่อชาติเมื่อชาติก่อนเธอเป็นใครกันและมันมีอะไรเกิดขึ้นกับเธอบ้าง” โคเฮนมองตอบอย่างไม่ลดละ “เราต้องพยายามบันทึกหลักฐานทั้งหมดไว้ให้ได้ เวลานี้เรายังไม่รู้เลยนะว่ามันเป็นสมัยไหน.... ”
“ก็แล้วมันสำคัญนักหรือครับ?” แซมพยายามรักษาน้ำเสียงไว้อย่างสุดความสามารถ “เห็นแก่พระเจ้าเถอะเมื่อครู่นี้คุณก็เห็นว่าเธอเกือบตายไปแล้ว”
“ถูกต้อง” โคเฮนยิ้มออกมาอย่างนุ่มนวล “เมื่อครู่นี้เธอตายไปจริงๆ แต่เป็นเพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น เธอเป็นผู้รับการทดลองที่น่ามหัศจรรย์อย่างที่สุดด้วย ผมกำลังคิดนะว่าผมวางโปรแกรมใหม่ให้เธอได้แล้ว คุณลองดูมือทั้งสองข้างของเธอนั่นสิ ผมอยากรู้ว่าผู้หญิงที่น่าสงสารไปทำอะไรมามือถึงได้รับบาดเจ็บขนาดนั้น ไม่มีทางหรอกหมอแฟรงคลินผมยอมปล่อยเรื่องไว้เพียงแค่นี้ไม่ได้แน่ ผมต้องรู้ให้ได้ว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นกับเธอเมื่อชาติก่อน” เขาถอนหายใจเบา ๆ
“คุณมองไม่เห็นหรอกหรือว่าเรื่องราวของเธอพิสูจน์อะไรได้ตั้งหลายสิ่งหลายอย่าง” เขาก้มลงมองดูเธออีกครั้ง ประคองใบหน้าเผือดซีดไว้ในอุ้งมือไม่สนใจกับการทักท้วงของแซม
“โจอันน่าคนดีผมจะมจะนับหนึ่งถึงสามนะแล้วคุณก็ตื่นขึ้น เมื่อตื่นขึ้นแล้วคุณจะรู้สึกมีความสุขสดชื่น คุณจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้จนหมดสิ้น” เขาเงยหน้าขึ้นมองแซม “ตอนนี้ชีพจรของเธอเป็นปกติดีหรือยังล่ะหมอแฟรงคลิน?” เขาถามด้วยน้ำเสียงชาเย็น
แซมมองหน้าเขาก่อนเอื้อมมือไปจับชีพจรตรงข้อมือ
“ปกติดีมากเลยครับ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงเป็นงานเป็นการ “หน้าตาก็ดูมีสีเลือดขึ้นแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นผมจะส่งเธอกลับบ้านเสียที” โคเฮนว่า “ผมไม่อยากเสี่ยงอันตรายที่จะเกิดขึ้นต่อไป คุณช่วยไปส่งเธอหน่อยนะแล้วดูแลให้แน่ใจเสียก่อนว่าเธอจะไม่เป็นอะไร เพื่อนร่วมห้องของเธอเป็นเทคนิคเชี่ยนทำงานอยู่ในห้องทดลองที่นี่ผมจะขอร้องให้เขาช่วยดูแลอีกคนหนึ่งด้วยเพื่อให้แน่ใจว่ามันจะไม่มีผลกระทบตามมาในภายหลัง ที่จริงผมแน่ใจอยู่แล้วล่ะว่ามันต้องไม่มี”
แซมเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าต่างทอดสายตามองออกไปภายนอกมองดูปุยหิมะที่โปรยปรายอยู่ในอากาศขณะเดียวกันพยายามสงบระงับความไม่พอใจที่พลุ่งพล่านอยู่ในใจลงไว้
“เรื่องผลกระทบที่จะเกิดตามมาภายหลังมันต้องมีแน่ ความตายอาจเกิดได้ถ้าร่างกายของคนเราอ่อนเพลียอย่างมาก” ในน้ำเสียงราบเรียบแฝงความเยาะหยัน แต่โคเฮนกลับสั่นศีรษะอย่างไม่เห็นด้วย
“คุณผู้หญิงคนนี้ลืมทุกสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด เราจะให้เวลาเธอพักผ่อนสักสองวันจากนั้นผมจะให้เธอมาพบกับผมที่นี่ใหม่” ดวงตาของเขาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้นเห็นได้ชัดแม้จะสวมแว่นตาหนาเตอะอยู่ “ถ้าเราควบคุมสภาพของเธอไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว เราย่อมพาเธอย้อนกลับไปสู่ชาติก่อนเมื่อครั้งที่เธอยังเป็นใครคนหนึ่งก่อนจะตายลง” เขาเม้มริมฝีปากล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าเช็ดหน้าตัวเอง
“ถึงเวลาแล้วโจอันน่า ได้ยินผมพูดหรือเปล่า? หนึ่ง.... สอง.... สาม”
โจอันน่านอนนิ่งอยู่กับที่มองหน้าคนโน้นทีคนนี้ทีก่อนฝืนยิ้มออกมา
“ขอโทษค่ะการสะกดจิตได้ผลไหมคะ แต่ลึกลงไปในจิตใต้สำนึกฉันคิดว่ามันไม่น่าจะได้ผลเลยนะคะ” เธอประคองกายขึ้นนั่งปัดผ้าห่มออกจากตัว เหวี่ยงเท้าลงบนพื้น แต่แล้วก็หยุดชะงักงันอยู่กับที่ ยกมือขึ้นประคองศีรษะตัวเองไว้ ท่าทางของเธอยามนี้ทำให้แซมต้องกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอเต็มที
“คุณทำได้ดีมากทีเดียวครับ ผลที่เกิดขึ้นเป็นผลที่น่าพอใจอย่างมากสำหรับเรา” เขาฝืนยิ้มเมื่อหยิบโน้ตในมือเลื่อนแผ่นบนสุดไปไว้ด้านล่างเพื่อที่เธอจะได้ไม่เห็น แต่เมื่อเขาเหลือบมองไปทางเครื่องบันทึกเทปก็เห็นว่ามันยังคงทำงานอยู่จึงรีบเอื้อมมือไปปิดสวิทซ์ลงพร้อมกับถอดปลั๊กออกเสียด้วย แต่ขณะเดียวกันก็ยังจ้องมองหน้าเธออยู่
โจอันน่าใช้ความพยายามประคองกายไว้ ใบหน้ายังเผือดซีดคล้ายคนหลงทางไม่มีผิด
“ขอน้ำชาร้อนสักถ้วยหรืออะไรก็ได้ที่มันพอจะเรียกเลือดในกายให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ?” เธอเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“ได้สิครับ” โคเฮนยิ้มให้เธอ “ผมคิดว่าคุณหมอแฟรงคลินคิดไว้ในใจแล้วว่าจะพาคุณไปดื่มน้ำชาให้เป็นพิธีการสักหน่อยเพราะมันเป็นส่วนหนึ่งในการบริการของเราครับ เพื่อทำให้คุณอยากกลับมาหาเราใหม่ไงล่ะ” เขาลุกขึ้นยืนเดินตรงไปยังประตูหยิบเสื้อคลุมของเธอลงมาจากตะขอที่แขวนไว้ “ปกติแล้วเราจะขอให้อาสาสมัครกลับมาหาเราเพื่อทำการทดสอบอีกครั้งเสมอถ้าเขาทำได้อย่างน้อยเพื่อเป็นการยืนยันผลที่เราได้รับในครั้งแรกไงครับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ฉันเข้าใจค่ะ” แต่สีหน้าของเธอยังบอกความสงสัยเมื่อสอดแขนเข้าไปในเสื้อแจ๊คเก็ต หยิบผ้าขึ้นมาพันคอขณะล้วงมือลงไปในกระเป๋าเสื้อเพื่อหยิบถุงมือขึ้นมาสวมเธอร้องอุทานออกมาด้วยความเจ็บ
“ตายแล้วมือฉันเป็นอะไรนี่ มีเลือดติดอยู่บนผ้าพันคอด้วย..... ตายจริง..... เลือดเต็มไปหมดเลย” น้ำเสียงของเธอบอกความตกใจอย่างแท้จริง
โคเฮนไม่ได้กะพริบตาเลยเมื่อตอบเธอว่า
“สงสัยเกิดจากความหนาวเย็นของอากาศละมังครับ คุณนี่ซนจริงเวลาไปไหนมาไหนไม่ชอบสวมถุงมือดูสิมือไม้แตกหมด”
“แต่.... ” สีหน้าของเธอบอกความงุนงง “แต่มือฉันไม่ได้เย็นนะคะ ฉันไม่เข้าใจเลยว่า.... ”
แซมเอื้อมไปหยิบเสื้อฝนรู้สึกวิงเวียนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“อากาศมันเปลี่ยนเร็วมากหิมะตกลงมาหลังจากอากาศร้อนอยู่ไม่นาน” เขาพูดเหมือนช่วยรับรองเท่าที่จะทำได้ “ผมจะสั่งยาให้คุณนะครับถ้าคุณต้องการ แต่ผมแนะนำว่าขนมสโคนส์กับชาร้อนจะเป็นยาขนานที่ดีที่สุดสำหรับคุณในตอนนี้ คุณเห็นด้วยไหมล่ะ?” เขาเอื้อมมาจับแขนเธอไว้ “เราไปกันเถอะครับรถผมอยู่ทางด้านหลัง”
ขณะปิดประตูห้องตามหลังแซมบอกกับตัวเองว่าเขาต้องคอยระมัดระวังด้วยตัวเองไม่ให้เธอกลับมาที่นี่อีก