บทที่ 3
ลอนดอน.... เวลาในปัจจุบัน
“ถ้าจะว่ากันในขั้นพื้นฐานแล้วฉันชอบแนวความคิดของเธอมากเลยนะ” เบท กันนิ่งโน้มร่างเหนือโต๊ะอาหาร ดวงตาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าโจประกายที่อยู่เบื้องหลังกรอบแว่นรูปสี่เหลี่ยมดูแรงกล้า
โจเองก็กำลังมองหล่อนด้วยความรู้สึกเดียวกัน เธอชื่นชมในความสนใจงานอย่างแท้จริงของเบท ภายหลังจากพักอารมณ์อย่างสบายด้วยอาหารกลางวันที่วีลเลอร์’ สมาแล้ว
ดวงตาของสองสาวประสานกันอยู่และต่างก็ยิ้มให้แก่กันด้วยความรู้สึกพึงใจ เบทกับโจเป็นเพื่อนกันมาห้าปีแล้ว นับตั้งแต่เบทรับตำแหน่งบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์วีเม่น อิน แอ๊คชั่น ตอนนั้นโจเป็นสตาฟฟ์อยู่และกำลังเรียนรู้เรื่องการเป็นนักหนังสือพิมพ์ที่ดี เธอเรียนรู้งานได้เร็วมากและเมื่อเธอลาออกไปเป็นคอลัมนิสต์อิสระมันก็หมายความเพียงแค่ที่ว่าทำให้เธอสามารถมีชื่ออยู่เหนือสารคดีหรือบทความที่เธอเขียนขึ้นเท่านั้น
“ฉันว่าเธออาจเขียนอะไรก็ได้เช่นเรื่องชาติพันธุ์เรื่องของยาที่ใช้กันอยู่ในสมัยกลาง หรือว่าเรื่องแห่งจักรวาลอะไรก็ว่าไปฉันรับอยู่แล้ว แต่นี่เธอกำลังเขียนอะไรกันแน่? เรื่อง “การทำสมาธิจิตกับศาสนา” เชียวรึ? ฉันว่ามันต้องทำความเข้าใจกันให้กระจ่างชัดเสียก่อนจะดีกว่า”
เบทกำลังลำดับความคิดของตนเองอยู่ในสมอง
“การระลึกชาติ...... ประวัติศาสตร์ยังคงมีชีวิตอยู่จริงหรือ? อันนี้รู้สึกว่าเป็นเรื่องของการกลับชาติมาเกิดนะใช่ไหม? รู้สึกว่าฉันเพิ่งได้อ่านข้อเขียนบางชิ้นเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่ไหนสักแห่งเมื่อเร็ว ๆ นี้เอง ถ้าจำไม่ผิดดูเหมือนเขียนโดยผู้หญิงชาวอเมริกันคนหนึ่ง มันน่าเชื่อไม่น้อยเลย ฉันเห็นจะต้องให้ความสนใจในเรื่องนี้เสียหน่อยแล้วสำหรับเธอเมื่อศึกษาเรื่องอย่างนี้เธอคงจะมีจุดยืนที่เป็นไปในทางตรงข้ามแน่”
“เขาเคยลองสะกดจิตฉันมาแล้วครั้งหนึ่งด้วยซ้ำ” โจพูดยิ้มๆ “ก็ที่มหาวิทยาลัยนั่นแหละและเพราะการสะกดจิตครั้งนั้นที่ทำให้ฉันเกิดความคิดขึ้นมา มิชเชลโคเฮนน่ะเขาเป็นนักจิตวิทยาระดับโลกคนหนึ่งทีเดียวนะ เขาพยายามสะกดจิตฉันอยู่ตั้งนานแต่ก็ทำได้ไม่สำเร็จ แต่เขาทำให้ฉันถึงกับขนลุกขนพองทีเดียว ไม่เห็นมันจะน่าเชื่อตรงไหนเลย”
เบทเปล่งเสียงหัวเราะแกมหมิ่นออกมา
“ก็ได้โจ ลองร่างเค้าโครงเรื่องมาให้ฉันดูย่อๆ ก่อนก็แล้วกัน เธออาจใช้เวลาตอนช่วงปีใหม่หรือตอนหยุดพักฤดูสปริงเขียนก็ได้ เธอจะได้มีเวลาทำงานมากๆ ไงล่ะ แล้วเรื่องการใช้รูปประกอบล่ะเธอจะหามาเองหรือว่าอยากให้เขามาถ่ายทำในบ้านล่ะ?”
“ฉันอยากให้เป็นฝีมือของทิม เฮชแชมนะ”
“ถ้าได้ตัวเขามานับว่าโชคดีอย่างมากเลย เพราะฉันรู้ว่าตอนนี้เขามีคิวยาวแล้วก็คิดราคาแพงมากด้วย”
“แต่เขาต้องทำให้ฉันแน่”
“หมายความว่าเขารู้เรื่องนี้แล้วงั้นหรือ?” เบทเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย
“อีกไม่นานเธอก็รู้เอง”
“แล้วนิคเขาว่ายังไงล่ะ?”
“ฉันว่าคราวนี้เขาคงต้องกระโดดเข้าแข่งแล้วล่ะ” สีหน้าของโจเครียดขึ้น
“ฉันเข้าใจ.... ออกจะแย่หน่อยนะ”
“แย่มาก”
“เขาย้ายออกไปแล้วหรือ?”
“ย้ายออกไปแล้ว.... ขอครีมด้วยค่ะขอบใจ” โจเงยหน้ายิ้มกับบริกรที่เดินเข้ามาพร้อมด้วยเหยือกกาแฟ เบทรออยู่จนเมื่อบริกรเดินออกไปแล้วจึงถามต่อ
“เป็นการถาวรเลยใช่ไหม?”
“ใช่ ฉันปากล้องถ่ายรูปเขาลงกับพื้นห้องทันทีที่ฉันจับได้ว่าเขาไปนอนกับจูดี้ เคอร์สันมา”
“เก่งนี่” เบทหัวเราะด้วยน้ำเสียงบอกความชื่นชม
“กล้องนั่นมีประกันแต่ประสาทฉันมันไม่ได้ประกันด้วยนี่ ที่จริงฉันก็ไม่ได้หึงหรอกนะเบท แต่เขาไม่น่าสร้างเรื่องยุ่งให้กับฉันถึงขนาดนี้ เมื่อมันต้องจบก็ให้จบไปเลยรู้แล้วรู้รอด บ้านฉันไม่ใช่โรงแรมนี่ ว่าแต่เธอจะให้ฉันตั้งชื่อเรื่องว่าอะไรล่ะ?”
“ฉันว่าจะใช้ชื่อว่า ‘การระลึกชาติ’ เป็นไง?” เบทเงยหน้าขึ้นเอียงคอถาม “ไม่เลวนะ ฉันยังไม่ถึงกับเชื่อเรื่องนี้เสียทีเดียวหรอกแต่พอจะเข้าใจเรื่องการค้นคว้าของเธออยู่” เธอหันไปพยักหน้าเรียกพนักงานให้มาเก็บเงิน“เธอไม่เล่าเรื่องนิคให้ฉันฟังอีกสักหน่อยหรือ?”
โจวางถ้วยกาแฟที่ถืออยู่ในมือลงพร้อมกับเลื่อนออกห่าง ก้มลงมองมือตัวเองที่กางอยู่บนโต๊ะ กดข้อนิ้วเบา ๆ เหมือนทดสอบว่ามันยังใช้การได้อยู่หรือไม่
“มันต้องใช้เวลาถึงสามปีสี่เดือนกับอีกแปดวันทีเดียวนะกว่าที่ฉันจะได้พบกับแซมอีกครั้งหนึ่งและเขาแนะนำให้ฉันรู้จักกับน้องชายของเขา เธอไม่แปลกใจหรอกหรือที่ได้ยินฉันพูดอย่างนี้?”
“ถ้าจะแปลกใจก็ตรงที่เธอนั่งนับเดือนนั่นมากกว่าแม่หนู” เบทตอบเสียงเข้มเอาบัตรเครดิตวางลงในถาดของบริกร
“ฉันเพิ่งคิดได้ตอนที่กำลังอาบน้ำเมื่อคืนนี้เองรู้สึกว่ามันเป็นเวลานานมากทีเดียวนะเบทนานสำหรับการที่เราจะฝังตัวเองไว้ในกระเป๋าของใครสักคนหนึ่ง เราคงไม่เป็นอย่างนั้นบ่อยนักหรอก”
“บ้าที่สุด เธอน่ะเกิดมาเพื่อกันและกันนะ”
โจหยิบช้อนขึ้นมาขีดกากบาทลงบนน้ำตาลที่อยู่ในถ้วยดินเผากลางโต๊ะ มองดูเกล็ดสีขาวที่รวมตัวกันอยู่อย่างใช้ความคิด
“บางทีมันอาจเป็นอย่างนั้นจริงก็ได้เพราะเรามีอะไรคล้ายกันหลายอย่างทีเดียว มันคล้ายกับเราแข่งขันกันอยู่ในทีด้วย นับว่าเป็นความสัมพันธ์ที่แย่มาก” เธอลุกขึ้นยืน ชุดกลางวันสีเขียวมะกอกเน้นผิวสีแทนตรงต้นแขนให้นวลงาม เมื่อเธอเอื้อมไปหยิบกระเป๋าที่แขวนไว้กับพนักเก้าอี้ขึ้นสะพายไหล่
“ทิมบอกว่าจะอยู่ที่สตูดิโอตอนบ่ายวันนี้ฉันจะเลยไปพบเขาที่นั่นเลย เธอล่ะจะข้ามแม่น้ำกลับเลยหรือ?”
“คงอย่างนั้น ฉันมีประชุมตอนบ่ายสามโมง” เบทเอาเครดิตการ์ดใส่ลงในซองเงิน “ฉันคงจะไม่ให้คำแนะนำที่ดีกับเธอหรอกนะโจเพราะฉันรู้ว่าถึงยังไงเธอคงไม่ยอมฟังอยู่แล้ว แต่อย่าผลีผลามกระโดดขึ้นเตียงกับทิมเพื่อเป็นการแก้แค้นล่ะ เขาเป็นคนดีนะดีมากจนเกินกว่าเธอจะไปใช้เขาเป็นเครื่องมือแก้แค้นของเธอ”
“ฉันไม่ได้ยินที่เธอพูดสักคำเลยนะคะคุณกันนิ่ง” โจตอบยิ้มๆ “ยิ่งกว่านั้นฉันก็เป็นคนดีเหมือนกันนะอย่างน้อยก็บางครั้ง เธอจำได้ไหมล่ะ?”
เธอเดินช้าๆไปตามถนนที่พลุกพล่านด้วยผู้คนแสงอาทิตย์ในเดือนมิถุนายนสาดความร้อนจัดจ้าลงบนบาทวิถีทางเดินอย่างไร้ความปราณี บรรดาร้านอาหารข้างทางเอาร่มออกมากางไว้เพื่อให้ร่มเงากับโต๊ะที่ตั้งอยู่บนบาทวิถีซึ่งมีลูกค้านั่งดื่มกาแฟ
ในประเทศอังกฤษแสงแดดทำให้สีหน้าของผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใสซึ่งนับว่าเป็นสิ่งดีเพราะในเมืองที่มีสภาพอากาศร้อนสามารถทำให้คนฆ่ากันตายได้ง่ายๆ
เธอวิ่งขึ้นบันไดตรงไปยังสตูดิโอของทิมซึ่งอยู่ในโกดังเก่าตรงข้ามลอง เอเคอร์และเดินเข้าไปภายในโดยไม่มีการเคาะประตูบอกกล่าวให้รู้ตัว ภายในห้องสตูดิโอว่างเปล่า มืดครึ้มและหนาวเยือกเย็น เธอกวาดสายตามองไปทั่วสงสัยว่าทิมจะลืมนัดแล้ว
แต่เขาก็อยู่ที่นั่น อยู่เพียงลำพังบนเก้าอี้นอนเบาะหุ้มกำมะหยี่ มีกระป๋องลอง ไล้ฟ์อยู่ในมือ เหนือขึ้นไปบนท้องฟ้าดวงอาทิตย์ที่ปราศจากเมฆหมอกหนาหนักปกคลุมเช่นเคยสาดแสงจัดจ้าลงมาต้องร่าง
“โจชีวิตเป็นไงบ้างล่ะ?” ทิมขยับตัวลุกขึ้นเขาเป็นคนรูปร่างผอมบางสูงหกฟุตสี่นิ้ว เมื่อยืนเท้าเปล่าเรือนผมสีอ่อนเสื้อเชิ้ตที่ไม่ได้กลัดรังดุมเผยออ้าเผยให้เห็นสายสร้อยเงินที่แขวนเหรียญไว้
“เอาเบียร์หรือกาแฟดีล่ะที่รัก ผมกำลังดื่มแชมเปญอยู่”
โจโยนกระเป๋าถือลงกับพื้นห้องเดินตรงไปยังส่วนที่แบ่งเป็นห้องครัวซึ่งอยู่ติดกับห้องมืด
“กาแฟ.... ขอบใจนะฉันชงเองได้ คุณไม่เมาใช่ไหมทิม?”
“เอ๊ะ! มีวันไหนหรือครับคนสวยที่ผมเมา?” เขาเลิกคิ้วถามอย่างน้อยใจ
“บ่อยไป ฉันมีงานให้คุณทำนะ ถ้าจะเอาตัวเลขให้แน่ๆ กันลงไปเลยก็คือหกชิ้น แล้วฉันอยากคุยกับคุณเรื่องนี้ด้วย หลังจากนั้นเราจะไปพบเบท กันนิ่งด้วยกันในอีกสักอาทิตย์หรือสองอาทิตย์นี่แหละถ้าคุณตกลง”