บทที่ 4
โจเดินกลับมาพร้อมด้วยกาแฟดำสองถ้วยใหญ่ เธอส่งถ้วยหนึ่งให้ทิมหลังจากนั้นก็เปิดกระเป๋าหยิบโน้ตปึกใหญ่ออกมาดึงสำเนาส่งให้เขา
“ลองดูหัวข้อเสียก่อนสิจะได้มีแนวความคิด”
เขาอ่านข้อความในโน้ตแต่ละชิ้นช้าๆ พยักหน้าหงึกหงักอย่างวิจารณ์ไปพลาง ขณะที่โจนั่งจิบกาแฟ
“รู้สึกว่ามันเป็นการค้นคว้าแบบใหม่ใช่ไหมที่รักขีดเส้นตายไว้เมื่อไหร่ล่ะ?”
“ยังมีเวลาอีกเป็นเดือนนั่นแหละ เพราะมันยังต้องค้นคว้าอีกมากคุณช่วยทำให้ฉันหน่อยได้ไหมล่ะ?”
เขาเงยหน้าขึ้นมองเธอ ดวงตาคู่สีเขียวอ่อนบอกความสนใจอย่างมาก
“แน่นอน แต่เราคงต้องใช้ทั้งคนที่จะเป็นแบบเจ้าหน้าที่ห้องสตูดิโอ ต้องมีทั้งอาหารและเสื้อผ้า แจ๋ว.. ผมว่าผมชอบงานชิ้นนี้เป็นพิเศษนะ การระลึกชาติ.... ผมมองเห็นภาพว่าผมต้องถ่ายรูปคุณแม่บ้านนอกผู้กำลังถูกสะกดจิตแล้วฝันไปว่าตัวเองเป็นคลีโอพัตราที่กำลังถึงจุดสุดยอดอยู่กับแอนโทนี่ เสียดายจังเลยที่เราไม่มีตัวแอนโทนี่เท่านั้น” เขาโยนโน้ตปึกนั้นลงกับพื้นห้อง หยิบกาแฟขึ้นมาจิบอย่างใช้ความคิดก่อนจะพูดต่อ
“เมื่อสักไม่กี่เดือนมานี่เองผมเห็นการสะกดจิตรายหนึ่งนะ มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์เหนือธรรมชาติจริงๆ คนที่ถูกสะกดจิตพูดจาเหมือนเด็กทารกไม่มีผิดร้องไห้จนน้ำตาเปียกปอนเสื้อผ้าไปหมด หลังจากนั้นเขานำแกไปสู่สิ่งที่เรียกว่าชีวิตเมื่อชาติก่อนหรืออะไรทำนองนั้น แล้วผู้ชายคนนั้นก็พูดออกมาเป็นภาษาเยอรมัน พูดได้ชัดแจ๋วเหมือนชาวพื้นเมืองทีเดียว”
“แกล้งทำน่ะสิใช่ไหม?” โจหรี่ตาถาม
“อื้อฮึ..... ไม่รู้สินะแต่ผมไม่ยักคิดอย่างนั้นหรอกแล้วนายคนนั้นเขาก็สบถสาบานว่าไม่เคยรู้ภาษาเยอรมันเลยแม้แต่คำเดียว แต่เขาพูดได้คล่องมาก คล่องปรื๋อเลยล่ะ บอกตรงๆ นะว่าตอนนั้นผมอยากให้มีใครสักคนหนึ่งที่มีความรู้เกี่ยวกับเยอรมันตอนปี 1880 อยู่ด้วยเพราะว่ามันเป็นช่วงที่เขาอ้างถึง แล้วใครจะสงสัยเขาได้ล่ะ มีคนดูอยู่คนหนึ่งที่พูดเยอรมันกับเขา ส่วนคนที่ทำหน้าที่สะกดจิตน่ะพูดได้ไม่กี่คำหรอกยิ่งกว่าเด็กนักเรียนเสียอีก”
“คุณคิดว่าเราเอาเรื่องนี้มารวมไว้ด้วยดีไหม?” โจถาม
“อ้าว! ถ้าทำอย่างนั้นมันก็กลายเป็นหนังสือไปน่ะสิ ผมว่าคุณอย่าไปทำให้สารคดีที่คุณเขียนมันด้อยค่าลงดีกว่า ตามความคิดเห็นส่วนตัวของผมนะผมว่าเรื่องอย่างนี้มันยังต้องมีอะไรอยู่อีกมากทีเดียว คุณอยากให้ผมแนะนำให้รู้จักกับบิลล์ วอลตันไหมล่ะ? เขาเป็นนักสะกดจิตมีชื่อเสียงคนหนึ่งนะ”
“ดีมากเลยทิม” โจรีบพยักหน้ารับทันที “ตอนนี้ฉันมีข้อมูลมากมายที่ได้มาทั้งจากหนังสือแล้วก็สารคดีอยู่แล้ว แต่ฉันต้องเข้ารับการสะกดจิตด้วยตัวเองสักครั้งหรือสองครั้งด้วย มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อจริงๆ นะที่คนเรามีความเชื่อถือเกี่ยวกับเรื่องอดีตชาติของตน คุณก็รู้ว่ามันไม่มีทางเป็นอย่างนั้นไปได้”
เธอขมวดคิ้วจ้องมองดูผนังห้องตรงหน้าซึ่งทิมเอารูปถ่ายขาวดำของสาวสวยผมบลอนด์เปลือยกายติดไว้
“นั่นเป็นคนที่ฉันคิดใช่ไหม?”
“จะเป็นใครเสียอีก ว่าแต่คุณชอบหรือเปล่า?” เขายิ้มกว้างให้
“ก็ผัวหล่อนชอบหรือเปล่าล่ะ?”
“ผมแน่ใจเลยนะว่าเขาต้องชอบ คุณเห็นไหมว่ามันเป็นรูปที่ให้แสงมาจากข้างหลัง โชว์เงาผมแต่บังนมไว้มันเหมือนภาพชีวิตจริงอย่างที่สุด สงสัยชาติก่อนหล่อนคงจะเกิดเป็นวัวพันธุ์นมล่ะมั้ง”
โจอดหัวเราะกับคำวิจารณ์ของเขาไม่ได้
“โอเค ทิมคุณช่วยบอกมิสเตอร์วอลตันของคุณด้วยก็แล้วกันว่าเขาต้องใช้ความพยายามทำให้ฉันเชื่อให้ได้ด้วยดีไหม” เธอลุกขึ้นเดินไปพิจารณารูป “เขาเรียกว่าคริปตอมนีเซีย ความทรงจำใต้สำนึก มันเป็นความทรงจำที่ถูกซ่อนเร้นไว้อย่างลึกซึ้งมาก ในรายที่คุณเล่ามาถ้าค้นคว้าให้ลึกลงไปคุณอาจพบว่าผู้ชายคนนั้นอาจเคยมีแม่นมชาวเยอรมันตอนเขาอายุแค่สามเดือนก็ได้ เขาก็ลืมไปแล้วว่าเคยได้ยินแม่นมพูดด้วย แต่ขณะเดียวกันเขาก็เรียนรู้แล้วก็เก็บมันเข้าไว้ในความทรงจำจนกระทั่งถึงวันหนึ่งที่จิตใต้สำนึกถูกปลุกให้ตื่นแล้วทำให้เขาพูดออกมา.... รูปนี้เข้าท่ามากทีเดียวคุณทำให้เขาสวยขึ้นพะเรอเลย”
“นั่นมันเป็นงานที่เขาจ่ายเงินให้ผมทำนะโจ” เขาจับตามองหน้าเธออย่างใกล้ชิด “เมื่ออาทิตย์ก่อนผมพบ dกับจูดี้ เคอร์สัน หล่อนไปเปิดนิทรรศการที่โบฝอร์ดแกลเลอรี่คุณรู้หรือเปล่า?”
“รู้” เธอหันกลับมามองหน้าเขา “คุณก็รู้เหมือนกันสินะ”
“เรื่องคุณกับนิคน่ะหรือ? ผมว่าเขาแค่จีบเล่น ๆ เท่านั้นแหละผมยังนึกแปลกใจนะที่คุณเห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องคอขาดบาดตายไปได้”
เธอเอื้อมไปหยิบถ้วยกาแฟขึ้นมาถือไว้และเริ่มเดินกลับไปกลับมา
“มันเกิดขึ้นบ่อยเหลือเกินทิม ยิ่งนานมันก็ยิ่งทำให้ฉันเจ็บใจ” สีหน้าของโจเคร่งขรึมเมื่อมองเขา “ฉันยอมให้ตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไม่ได้หรอก เมื่อไรก็ตามที่ผู้ชายเป็นสาเหตุทำให้ฉันเริ่มนอนไม่หลับฉันถือว่ามันไม่ใช่ความสัมพันธ์ตามธรรมชาติเสียแล้ว เพราะฉะนั้นควรรีบตัดเขาออกไปจากชีวิตโดยเร็วที่สุด”
ทิมดึงร่างตัวเองให้ลุกขึ้นยืนตาม
“คุณนี่เป็นผู้หญิงใจร้ายชมัดเลย ผมดีใจนะที่ตัวเองไม่ใช่หนึ่งในจำนวนคู่รักของคุณ” เขาดึงถ้วยกาแฟมาเสียจากมือของเธอเดินเอาไปวางลงในอ่างล้างจาน “คุณคงไม่รังเกียจไม่ใช่หรือถ้าผมจะชวนจูดี้ไปงานวันเกิดของผมด้วย?”
“ไม่รังเกียจเลยถ้าฉันเอาใครไปด้วยได้”
“ก็ใครล่ะ?” เขาหันมามองหน้าเธอทันที
“ฉันกำลังคิดถึงใครคนหนึ่งอยู่”
“โธ่! ใครคนหนึ่งแบบนั้นอีกแล้ว ก็คงเป็นใครสักคนหนึ่งที่ทำให้นิคตาถลนออกมานอกเบ้าได้แน่” เขาวางมือลงบนไหล่มองหน้าเธออยู่เป็นครู่ “ที่จริงคุณก็รู้นะว่าใครคนนั้นสามารถจะเป็นผมได้เสมอเลยโจ”
เธอโน้มกายเข้าไปจูบเขาแรงๆ ตรงแก้ม
“เป็นไปไม่ได้หรอกทิมเพราะฉันชอบคุณมากเกินไป” คำตอบของเธอทำให้เขาครางออกมาเบา ๆ
“ผมว่าไอ้วิธีการพูดที่แย่ที่สุดของผู้หญิงที่พูดกับผู้ชายสักคนหนึ่งซึ่งเธอไม่ต้องการเขาในฐานะคู่รักก็คือคำว่า “ฉันชอบคุณมากเกินไป” นี่แหละ” เขาแกล้งทำเสียงเล็กเสียงน้อยเหมือนผู้หญิงแล้วระเบิดเสียงหัวเราะออกมา“เอาล่ะ! อย่างน้อยมันก็ยังดีที่คุณไม่พูดว่าเพราะผมแก่เกินไป เอ้า!... ไปได้แล้ว ผมยังมีงานต้องทำ ไปพิจารณาเรื่องงานรูปดูก็แล้วกันแล้วบอกผมให้รู้ว่าคุณจะลงมือทำได้เมื่อไหร่”
นิค แฟรงคลินเดินเข้าไปในสำนักงานของเบท กันนิ่ง เธอกำลังยืนอยู่ตรงหน้าต่างห้องทำงานทอดสายตาเหม่อมองลงไปยังแม่น้ำซึ่งอยู่ต่ำลงไปถึงสิบเอ็ดชั้นของอาคารสำนักงานขณะจุดบุหรี่สูบพลาง เรือสำราญลำหนึ่งกำลังแล่นช้าๆอยู่กลางแม่น้ำ ท้องเรือสีครีมตัดกับพื้นน้ำด้วยกำลังแรงของเครื่องยนต์ ขณะแล่นจากท่าเรือเวสมิน สเตอร์ไปยังทาวเวอร์
“จะให้ฉันช่วยอะไรบ้างล่ะนิค?” เธอหันมามองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า นิคอยู่ในกางเกงยีนส์สวมเสื้อผ้าฝ้ายที่ตัดอย่างได้รูปทรงเน้นความสูงสง่าของเรือนร่างกับสีผิวของใบหน้า
“คุณยังสวยมากเหมือนเดิมนะเบท” เขาทักทายด้วยยิ้มกว้าง “งานหนักนี่มันเหมาะกับคุณจังเลย”
“คุณกำลังต่อว่าที่ฉันพบคุณไม่ได้ตั้งแต่คุณโทรมาเมื่อสามวันก่อนนั่นใช่ไหมล่ะ?”
“หมายความว่าบรรณาธิการหญิงต้องอยู่กับงานล้นมือจนไม่สามารถจะพบกับคนที่ส่งลูกค้าโฆษณารายใหญ่มาให้ได้เท่านั้น” เขาทรุดตัวลงนั่งในเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของเธอพร้อมกับยกขาขึ้นไขว่ห้าง
“อย่ามาพูดอย่างนี้กับฉันหน่อยเลยนิค” เบทพูดยิ้มๆ “ฉันว่าคุณไม่อตส่าห์มาถึงนี่เพราะเรื่องโฆษณาของวอนด้าหรอก”
“คุณพูดถูกนะ ผมมาเพราะอยากขอความช่วยเหลือจากคุณในฐานะเพื่อนสักหน่อย”
คราวนี้ดวงตาของเบทหรี่ลงทันที ถามโดยไม่หันมามองหน้าเขาว่า
“เรื่องอะไร?”
“โจ”