บทที่ 5
เธอรอฟังอยู่เงียบๆ รู้ดีว่าเขากำลังจ้องมองแผ่นหลังของเธอและแล้วเบทก็หันหน้ามาช้าๆ เขากำลังมองเธออยู่และเห็นแววระแวดระวังที่ปรากฏอยู่ในดวงตาของเธอด้วย
“โจอยากให้ฉันช่วยด้วยอย่างนั้นหรือ?” เธอถาม
“ผมรู้ว่าเธอกำลังเอาความคิดบางอย่างมาใส่หัว คุณนะเบท ผมอยากให้คุณเลิกล้มความคิดเรื่องนั้น”
เขามองเห็นเงาแห่งความไม่พอใจผ่านแวบขึ้นมาบนใบหน้าแต่ก็ถูกอำพรางลงอย่างรวดเร็ว ขณะที่เธอเดินกลับมาทรุดตัวลงนั่งลงตรงโต๊ะทำงานโน้มร่างมาข้างหน้าและจ้องมองเขา
“ฉันคิดว่าคุณควรพูดให้ฉันเข้าใจมากกว่านี้นะนิค”
“ผมรู้ว่าเธอคิดจะเขียนสารคดีบทหนึ่งซี่งจะลงพิมพ์ในวีเม่น อินแอ๊คชั่นของคุณ หนึ่งในจำนวนนั้นคือเรื่องของการสะกดจิตซึ่งผมไม่อยากให้เธอเขียน”
“ก็แล้วคุณเป็นใครล่ะถึงจะมาสั่งให้เธอเขียนหรือไม่เขียนเรื่องไหน?” เสียงถามของเบทเยือกเย็นอย่างน่ากลัว สายตายังไม่ละจากใบหน้าของเขา
“ผมแคร์เธอมากนะเบท” กล้ามเนื้อตรงร่องแก้มเกร็งขึ้น เบทผุดลุกขึ้นยืนทันที
“แต่มันไม่เหมือนกับที่ฉันได้ยินมาเลยนะ เวลาความสนใจทั้งหมดของคุณทุ่มให้กับศิลปินสาวคนนั้นแล้วไม่ใช่หรือ? ฉันเพียงแต่ได้ยินจากข่าวซุบซิบเท่านั้นนะ เมื่อเป็นเช่นนี้คุณก็ไม่มีสิทธิเข้าไปก่อกวนชีวิตของโจเธออีก ฉันหมายถึงว่าคุณเคยมีสิทธิอย่างนั้นมาก่อน” เธอดับบุหรี่ที่เพิ่งสูบไปได้แค่ครึ่งมวนลงในที่เขี่ย “เสียใจนิคฉันยอมตกลงกับคุณไม่ได้หรอก ก็แล้วมันเรื่องอะไรคุณถึงห้ามไม่ให้เขาเขียนสารคดีเรื่องนั้นล่ะ?”
“ผมมีเหตุผลที่ดีมากมากเลยเบท” นิคผุดลุกขึ้นยืนตาม “ผมไม่รู้หรอกนะว่าใครเป็นคนเอาเรื่องส่วนตัวของผมมาเล่าให้คุณฟัง แต่เพียงแค่การที่ผมไปคุ้นเคยกับใครอีกคนหนึ่งมันไม่ได้หมายความว่าผมไม่แคร์โจเลยนี่” เขาเดินกลับไปกลับมาบนพื้นพรม “ผมรู้ว่าเธอเป็นนักข่าวมีฝีมือมากคนหนึ่งเบท เธอค้นคว้าเรื่องนั้นมาโดยตลอด........” เขาหยุดเว้นระยะยกมือขึ้นเสยผม
“ก็นั่นน่ะสิฉันถึงสงสัยไงล่ะว่าทำไมคุณถึงไม่ให้เธอเขียน?” เบททรุดนั่งลงตรงขอบโต๊ะทำงานมองหน้าเขาอย่างสนใจ นิคหยุดเดินแล้วกำลังยืนเอนร่างพิงอยู่กับผนังห้อง ยกมือขึ้นกอดอกไว้เผชิญหน้าเธอด้วยหน้าเธอด้วยทั้งสีหน้าและแววตาที่บ่งบอกความกังวล
“ถ้าผมเล่าให้คุณฟังมันเท่ากับผมเปิดเผยความลับที่ปกปิดมาเป็นเวลานานพอสมควรทีเดียว”
“แต่ถ้าคุณไม่เล่าให้ฉันฟัง ฉันก็ไม่มีทางช่วยคุณได้เหมือนกันนะ”
“คุณนี่มันเหลือเกินเลยนะเบท โอเค แต่ถ้าคุณรู้แล้วผมขอร้องให้คุณเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับด้วยเพราะไม่อย่างนั้นมันจะกลายเป็นจะกลายเป็นเรื่องที่เลวร้ายที่สุดสำหรับโจไป ผมไปรู้มาว่าเวลานี้เธอจะเข้ารับการทดลองสะกดจิตด้วยตัวเอง ถ้าเธอถูกสะกดจิตแล้วเธอต้องพบกับความยุ่งยากแน่” เขาหยุดเว้นระยะไปเป็นครู่
“คุณคงไม่รู้หรอกว่าครั้งหนึ่งตอนที่ยังเป็นนักศึกษาอยู่เธอเคยเป็นอาสาสมัครในห้องทดลองของมหาวิทยาลัยมาแล้ว ตอนนั้นแซมพี่ชายของผมเป็นจิตแพทย์เขาทำงานอยู่ในแผนกนั้นด้วยและเป็นพยานในเรื่องนี้ได้อย่างดีทีเดียว ตอนนั้นเขากำลังค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องการระลึกชาติซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสาขาจิตวิทยา คุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตามแต่โจเคยถึงกับหมดสติเกือบจะตายมาแล้ว และโจไม่รู้เรื่องนี้เลยก็เพราะในระหว่างการสะกดจิตเธอได้รับคำสั่งว่า “เมื่อคุณตื่นขึ้นคุณจะจดจำอะไรไม่ได้เลย” แต่แซมเล่าให้ผมฟังว่าศาสตราจารย์ผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับโครงการณ์นี้ถึงกับออกปากว่าไม่เคยเห็นใครมีปฏิกิริยาตอบสนองที่น่าทึ่งขนาดนี้มาก่อน น้อยคนนักที่จะเข้าภวังค์ได้อย่างสมบรูณ์ถึงขนาดนี้ แต่มันทำเอาเธอเกือบตายอย่างที่ผมบอกมาตอนต้นนั้นแหละ”
เบทหยิบดินสอขึ้นมาใส่ปากกัด สายตาไม่ได้ละจากใบหน้าของนิคเลย
“คุณพูดจริงหรือเปล่า?” เธอเอ่ยถามขึ้นในที่สุด
“ผมไม่เคยพูดจริงอย่างนี้มาก่อนเลยนะ”
“แต่มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์มากทีเดียวนะนิค ลองคิดถึงสารคดีที่เธอจะเขียนขึ้นมาสิ”
“พระเจ้า....เบท” นิคผละออกจากห้องทุบกำปั้นลงกับโต๊ะโครมใหญ่ “คุณไม่เห็นหรอกหรือว่าเธอไม่ควรทำอย่างนั้นอีก?”
“ไม่เห็นหรอก โจไม่ใช่คนโง่นะนิคเธอต้องไม่ยอมเสี่ยงอย่างเด็ดขาด ถ้าเธอรู้........”
“แต่เธอไม่เคยรู้เลย” นิคขึ้นเสียงอย่างโกรธจัด “ผมเคยถามเธอเรื่องนี้มาแล้วแต่เธอไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้เลยจริงๆ ผมเคยพูดกับเธอมาแล้วว่าผมคิดว่าการสะกดจิตอันตรายมากและมันก็มีอันตรายจริงๆ และคนอย่างโจน่ะถ้าลองเธอคิดว่าผมต่อต้านแล้วเธอจะยิ่งทำมันหนักขึ้นไปใหญ่ เธอคิดว่าทุกอย่างที่ผมพูดมันไม่เข้าท่าไปหมด ได้โปรดเถอะเบท ผมขอความช่วยเหลือจากคุณครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น ผมขอสัญญาจากคุณด้วยว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เธอนำความคิดเรื่องนี้มาเสนอคุณแล้วบอกปัดไปได้เลย”
“ฉันจะลองคิดดูก่อน” เบทเอื้อมไปหยิบบุหรี่ออกมาจุดสูบ “เอาละฉันต้องขอโทษด้วยเดี๋ยวจะมีประชุมที่ห้องชั้นล่าง” เธอยิ้มหวานให้เขา “เออ! คุณรู้หรือเปล่าว่าเรากำลังทำรีวิวนิทรรศการของจูดี้ เคอร์สันอยู่? ฉันว่าหล่อนต้องชอบมากเลย พีท ลีเวสันเป็นคนเขียน ฉันเชื่อว่าเมื่อตีพิมพ์ออกมาแล้วมันจะทำให้มีคนสนใจเข้าชมมากขึ้น”
“ผมรู้ว่ามันเป็นนิทรรศการที่ดีที่สุดงานหนึ่ง” เขามองหน้าเธอเมื่อเอื้อมมือไปจับลูกบิดประตู “เบท.... ”
“ฉันบอกแล้วไงล่ะว่าขอคิดดูก่อน”
เธอนั่งมองดูโต๊ะทำงานตรงหน้าหลังจากที่เขาออกไปจากห้องแล้วอีกนาน ในที่สุดก็ล้วงมือลงในกระเป๋าถือที่วางอยู่บนพื้นพรมข้างเท้าหยิบโน้ตทั้งหมดที่โจส่งมาให้พิจารณาขึ้นมาดูอีกครั้ง
ย่อหน้าที่เขียนถึงการสะกดจิตเพื่อระลึกชาติอยู่แผ่นบนสุด เบทพลิกอ่านคร่าวๆ ไปแต่ละหน้าแล้วยิ้มออกมา จากนั้นก็เอาโน้ตทั้งปึกใส่เข้าไว้ในลิ้นชักบนสุดของโต๊ะทำงานและใส่กุญแจล็อคเสียอีกชั้น”
ขณะที่โจเดินเข้าไปในห้องเช่าของตนเองสัญชาติญาณทำให้เธอหยุดและเงี่ยหูฟัง จากนั้นก็โยนกระเป๋าถือลงกับพื้นหันไปปิดประตูล็อคกุญแจแน่นหนา เธอไม่อยากคิดว่านิคจะกลับมาที่นี่อีก
เธอเดินเข้าไปในห้องครัวเสียบปลั๊กหม้อต้มกาแฟหลังจากเวลาผ่านไปเป็นครู่เธอจึงคิดถึงเขาขึ้นมาอย่างจับใจ สมบัติทุกชิ้นที่เคยเป็นของเขาไม่ว่าจะเป็นเสื้อแจ๊คเก็ต ปึกเอกสาร บุหรี่ที่ยังเหลือกว่าครึ่งซอง และเทปที่ใช้เล่นกับวิทยุนับจำนวนไม่ถ้วนล้วนคือสิ่งที่บอกว่าเขาเคยอยู่ที่นี่ เธอส่ายหน้าถอนใจเบาๆ เอื้อมไปเปิดตู้หยิบขวดกาแฟออกมา
“เราเห็นจะสิ้นสุดกันเสียทีนะนิโคลาส” เธอพูดออกมาดังๆ “คุณควรเดินออกไปให้พ้นจากชีวิตของฉันได้แล้ว”
บนโต๊ะในห้องนั่งเล่นเต็มไปด้วยกองหนังสือและเอกสาร เธอเลื่อนมันไปไว้เสียทางหนึ่งเพื่อหาที่วางถ้วยกาแฟ ก่อนจะเดินไปเปิดหน้าต่างแบบฝรั่งเศสอันเป็นช่องทางที่เดินออกไปสู่ระเบียงด้านนอกมองลงไปเห็นสวนสาธารณะคอร์นวอลล์ การ์เด้นส์ได้อย่างชัดเจน กลิ่นหอมของดอกฮันนี่ซัคเคิ้ลซึ่งปลูกไว้ในร่องคอนกรีตเป็นแนวยาวกรุ่นเข้ามาถึงในห้อง
เธอสะดุ้งสุดตัวเมื่อเสียงกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้น.... ทิมเฮชแชมนั่นเอง
“โจ ผมนัดหมายเรื่องที่เราจะไปพบบิลล์ วอลตันเพื่อนผมให้แล้วนะ”
“ทิม คุณนี่ยิ่งกว่าเทวดาเสียอีก จะไปพบเขาที่ไหนแล้วก็เมื่อไหร่ล่ะ?” เธอคว้ากระดาษดินสอขึ้นมาถือไว้
“หกโมงสิบห้า วันพฤหัสที่เชิร์ช โร้ด ริชมอนด์ผมจะไปกับคุณแล้วก็เอาเจ้าบราวนี่คู่ใจไปด้วย” คำตอบของเขาทำให้โจหัวเราะออกมาด้วยความดีใจ
“ขอบใจมาก ฉันจะไปพบคุณที่งานปาร์ตี้ของคุณก่อน”
“ก็คงเป็นคุณกับใครคนหนึ่งอย่างที่เคยบอกไว้สินะโอเค โจเอาไงเอากันเท่านี้นะ”
ทิมมักพูดโทรศัพท์อย่างรีบร้อนเสมอ ไม่มีการอารัมภบทหรือลงท้ายประจำ