บทที่ 6
แสงแดดทอดทาบเข้ามาทางช่องหน้าต่างตกต้องลงบนพื้นพรม นำเสียงของมหานครลอนดอนในยามบ่ายใกล้ค่ำเข้ามาด้วย ทั้งเสียงยวดยานที่สัญจรอยู่บนท้องถนนเสียงตะโกนของเด็กเล่นกันอยู่ในสวนสาธารณะ เสียงเครื่องผสมซีเมนต์ที่ดังมาจากที่ใดที่หนึ่ง โจทรุดตัวลงนั่งกับพื้นพรมเอื้อมไปหยิบถ้วยกาแฟมาถือไว้ ยืดขาทั้งสองออกไปข้างหน้า พลิกสมุดจดบันทึกหมายเลขโทรศัพท์ที่หยิบติดมือมาจากโต๊ะและลากโทรศัพท์ลงมาวางไว้บนเข่าขณะหมุนหมายเลขของพีท ลีเวสัน
“พีทใช่ไหม ? นี่โจนะ”
“โอ้โฮ” น้ำเสียงที่ดังมาจากปลายสายบอกความแปลกใจ “ว่าไงครับโจอันน่าคนสวยมีอะไรหรือ?”
“ขาดคู่ควงไปงานปาร์ตี้น่ะสิ คุณอยากไปไหมล่ะ?”
“ปาร์ตี้ของใคร?”
“ทิม เฮชแชม”
พีทเงียบไปเป็นครู่ก่อนตอบกลับมาว่า
“ผมน่ะต้องรู้สึกเป็นเกียรติอยู่แล้วล่ะ แต่อยากถามเสียก่อนว่ามันหมายความว่าเวลานี้นิคไม่ใช่คู่ควงของคุณแล้วใช่ไหม?”
“ถูกต้อง” คำตอบห้วนๆ ของเธอทำให้พีทหัวเราะออกมา
“งั้นก็โอเคโจ แต่ขอผมพาคุณไปกินอาหารเย็นก่อนนะ ตอนนี้งานเป็นไงบ้างล่ะ?”
“ก็น่าสนใจมากเชียวล่ะ เออ.... ว่า แต่คุณเคยได้ยินชื่อบิลล์ วอลตันบ้างไหมพีท?” เธอลดสายตาลงมองโน้ตที่จดบันทึกไว้
“เอ..... รู้สึกว่าไม่เคยรู้จักเลยนะแล้วผมควรจะรู้ไหมล่ะ?”
“คนนี้เขาเป็นนักสะกดจิตทำให้คนที่รับการสะกดจากเขาให้ระลึกย้อนหลังไปถึงอดีตชาติได้ด้วยนะ” เธอพยายามรักษาน้ำเสียงระมัดระวังให้มันเป็นกลางอย่างที่สุด แต่แปลกใจอยู่ไม่น้อยที่พีทไม่ได้หัวเราะออกมา
“เพื่อการรักษาทางจิตหรือว่าทดลองเล่นสนุกๆ ?”
“คุณว่าเพื่อการรักษาทางจิตอย่างนั้นหรือ?” เธอย้อนถามเขาอย่างไม่เชื่อหู “อย่าบอกฉันนะคะว่าคุณเห็นดีเห็นงามไปกับเรื่องนี้ด้วย” เธอเหลือบตามองไปยังกองหนังสือและเอกสารที่กำลังใช้เป็นข้อมูลในการค้นคว้ายังมีอีกกว่าครึ่งที่ยังไม่ได้อ่าน
“ถ้าคุณอยากให้ผมพูดความจริงผมก็ยอมรับว่ามันเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากทีเดียว” เขานิ่งเงียบไปเป็นครู่เหมือนกับลืมโทรศัพท์ไปแล้ว แต่เขาก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง “นี่คงเป็นงานที่คุณกำลังสนใจจะทำสิใช่ไหม? ตอนนี้ผมเองก็กำลังหาหมายเลขโทรศัพท์อยู่ คุณจำเดวิด ซิมมอนด์ได้ไหมล่ะ น้องสาวของเขาทำงานอยู่กับจิตแพทย์คนหนึ่งผู้ใช้วิธีการสะกดจิตนี่แหละรักษาผู้ป่วยโรคจิตที่มีอาการกลัวอย่างรุนแรง การสะกดจิตของเขาก็ใช้วิธีนำเข้าสู่อดีตชาติเช่นเดียวกัน ถ้าคุณสนใจเรื่องนี้วันหลังผมจะเล่าให้ฟัง
ตีหนึ่งครึ่งแล้วตอนที่มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นภายในห้องสตูดิโอ จูดี้ คอร์สันสะดุ้งตื่นผุดลุกขึ้นนั่งบนเตียงผมเผ้ายุ่งเหยิง
“ใครกันนะโทรศัพท์มาดึกดื่นอย่างนี้” เธอบ่นพึมพำ
นิคครางออกมาเบาๆ เอื้อมมือไปหาเธอ
“อย่าไปสนใจกับมันเลย สงสัยต่อผิดเสียละมากกว่า”
แต่จูดี้ลุกขึ้นจากเตียงแล้วหาวออกมาพร้อมกับดึงผ้าห่มคลุมกายเขาออกมาพันร่างไว้ ควานมือไปกดสวิทช์ไฟหัวเตียง
“ฉันไม่เชื่อหรอกว่าดึกขนาดนี้จะมีใครโทรผิดสงสัยต้องมีใครตายแน่เลย” เธอเดินออกไปยังห้องสตูดิโอ
นิคพลิกร่างกลับมานอนหงายยกมือขึ้นเสยผมพร้อมกับเงี่ยหูฟังไปพลางได้ยินจูดี้พูดแว่วๆ เสียงเงียบไปเป็นครู่และจูดี้ก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าประตูห้องนอน
“พี่ชายของคุณเขาโทรมาจากเอดินเบิร์ก เขาบอกว่าคุณโทรไปหาเขาแล้วก็สั่งไว้ว่าให้โทรกลับมาหาคุณ ให้ได้ไม่ว่าจะดึกดื่นสักแค่ไหนก็ตาม”
“ใช่ ต้องขอโทษด้วยนะจูดี้ เมื่อวานนี้ผมต้องใช้เวลาทั้งวันพยายามติดต่อกับเขาให้ได้ เดี๋ยวผมจะไปพูดในห้องนั่งเล่นจำเป็นต้องพูดกับเขาให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้เสียด้วยสิ”
เขาปิดประตูตามหลังเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
“แซม...... ได้ยินผมพูดไหมนี่ ? ก็เรื่องโจนั่นแหละผมต้องการคำแนะนำจากพี่นะ”
“เฮ้อ.... นอนกับคนหนึ่งแต่กลับไปหลงรักอีกคนหนึ่งหรือนี่” มีเสียงหัวเราะดังมาตามสาย “แค่นี้ก็แน่ใจได้แล้วว่านายกำลังต้องการคำแนะนำของฉันอย่างยิ่งทีเดียว”
“แซม..... มันเป็นเรื่องร้ายแรงนะ เวลานี้โจกำลังเขียนสารคดีเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับการสะกดจิตเพื่อระลึกชาติผมอยากรู้ว่าผมควรบอกให้เธอรู้เรื่องที่มันเคยเกิดขึ้นเมื่อครั้งก่อนนั่นจะดีไหม ?”
“ไม่ได้นะนิค อย่าทำเป็นอันขาดมันเสี่ยงเกินไปคนที่จะพูดเรื่องนี้ควรเป็นฉันมากกว่าจะเป็นนาย เสียดายที่ฉันเลื่อนการเดินทางครั้งนี้ไม่ได้เสียด้วยสิ นายพยายามรั้งไว้ให้เธอรอจนกว่าฉันจะกลับมาเสียก่อนได้ไหมล่ะ? มันก็แค่อาทิตย์เดียวเท่านั้นจากนั้นฉันจะบินตรงไปลอนดอนเลย แล้วก็จะพูดเรื่องนี้กับเธอเอง พยายามรั้งเขาไว้ก่อนนะโอเคไหม? อย่าเพิ่งให้เธอทำอะไรลงไปอย่างเด็ดขาดนะ”
“ผมจะพยายามยับยั้งเขาไว้ให้ได้” นิคพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “แต่พี่ก็รู้จักโจดีอยู่แล้ว ถ้าลงเธอกัดอะไรได้จะให้ปล่อยเห็นจะยาก.... ”
“นิคมันสำคัญมากนะ” แซมพูดหนักแน่นจริงจัง “ฉันอาจเข้าใจผิดไปเองแต่ฉันแน่ใจว่าตอนนี้มันมีความรุนแรงซ่อนเร้นอยู่ลึกลงไปในจิตใต้สำนึกของโจ ฉันเคยปรึกษาเรื่องนี้กับมิชเชล โคเฮนมานับครั้งไม่ถ้วน เขาอยากให้โจกลับไปทดลองอีกครั้งนายก็รู้ แต่ฉันพยายามเกลี้ยกล่อมไว้ชี้ให้เขาเห็นว่ามันเสี่ยงต่ออันตรายอย่างมาก” เขาถอนหายใจเบาก่อนพูดต่อว่า
“แต่ถึงยังไงมันยังคงมีความจริงอย่างหนึ่งว่าตอนที่เธอรับการสะกดจิตครั้งนั้นหัวใจของเธอหยุดเต้นและลมหายใจก็หยุดสนิทเลยนะนิค ถ้าเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นอีกแล้วคนที่ทำไม่รู้วิธีจัดการละก้อ... ฉันคงไม่ต้องพูดใช่ไหมว่ามันจะมีอะไรเกิดขึ้น แบบนี้จะปล่อยให้เกิดขึ้นไม่ได้เป็นอันขาดและการเตือนเธอให้รู้ตัวมันก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น ถ้านายบอกเธอว่าภายหลังจากการถูกสะกดจิตครั้งนั้นแล้วเธอได้รับคำสั่งว่าให้ลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดเธอไม่มีทางเชื่อนายหรอก นายคงเห็นว่ามันเป็นเรื่องเสี่ยงเกินไป มันอาจก่อให้เกิดปฏิกิริยาขึ้นในจิตใจของเธออย่างรุนแรงขึ้นมาก็ได้ ทางที่ดีที่สุดก็คือนายต้องพยายามเหนี่ยวรั้งไว้ให้เธอคอยฉันก่อน ฉันรับรองว่าพอเสร็จธุระแล้วจะรีบไปที่นั่นทันที”
“โอเค แซม ขอบใจมากนะสำหรับคำแนะนำ ผมจะพยายามทำดีที่สุด แต่ตอนนี้ปัญหายังมีอยู่ว่าเธอไม่ยอมพูดกับผมเสียด้วยสิ” คำพูดของน้องชายทำให้แซมต้องหัวเราะออกมาอีก
“ฉันไม่แปลกใจหรอกในเมื่อนายนอนกับผู้หญิง อีกคนหนึ่งอยู่แล้วนี่หว่า”
หลังจากนั้นนิคก็วางหูโทรศัพท์
“ลองเล่าให้ฉันฟังหน่อยสิว่าทำไมคุณถึงต้องปรึกษาหารือเรื่องโจ คลิฟฝอร์ดกับพี่ชายของคุณตั้งครึ่งค่อนชั่วโมงกลางดึกอย่างนี้?”
เขาหันไปมองจูดี้ เคอร์สันซึ่งสวมเสื้อคลุมเรียบร้อยและกำลังยืนอยู่ตรงหน้าประตูอย่างละอายใจ
“จูดี้....”
“ก็ใช่น่ะสิจูดี้.... เวลานี้คุณนอนอยู่ในเตียงของจูดี้สิงสู่อยู่ในอพาร์ตเม้นท์ของจูดี้ แล้วก็ยังใช้โทรศัพท์ของจูดี้อีกด้วย”
“ฮันนี่” นิคเดินเข้าไปหาวางแขนลงบนไหล่ “เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับคุณ.... เอ้อ.... หรือที่ถูกกับเราหรอกมันก็แค่....เอ้อ....” เขาพยายามค้นหาคำพูดอย่างรีบเร่ง “คุณก็รู้ว่าแซมเป็นหมอ”
“ฉันรู้ว่าแซมเป็นจิตแพทย์” เธอสูดลมหายใจลึก “คุณพูดนี่หมายความว่าโจมีปัญหาทางจิตอย่างนั้นเหรอ?”
นิคพยายามแต่งสีหน้าให้ยิ้มแย้มแจ่มใสที่สุดเท่าที่จะทำได้
“มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอก คุณเห็นอยู่แล้วนี่ว่าเธอไม่ได้มีอาการผิดปกติเลยแม้แต่น้อย ฟังนะจูดี้ แซมกำลังเดินทางมาที่นี่เพื่อปรึกษาเรื่องอะไรบางอย่างกับเธอ มันก็แค่นั้น เขารู้จักกันมาตั้งสิบห้าปีแล้ว และแซมเป็นคนแนะนำให้ผมได้รู้จักกับเธอเอง โจชอบแซมแล้วก็ไว้วางใจในตัวแซมมาก ผมต้องพูดกับเขาคืนนี้ก็เพราะพรุ่งนี้เช้าเขาต้องเดินทางไปสวิสเซอร์แลนด์แล้ว มันไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นหรอก เขาจะมาช่วยโจเขียนสารคดีเรื่องหนึ่งต่างหาก”
แม้นิคอธิบายอย่างยืดยาวแต่สีหน้าของจูดี้ก็ยังบอกความระแวงสงสัยอยู่นั่นเอง
“แล้วเรื่องนี้มันมาเกี่ยวอะไรกับคุณด้วยล่ะ”
“ไม่มีอะไร ผมไม่ได้เกี่ยวด้วยสักหน่อย นอกเสียจากว่าแซมเป็นพี่ชายของผมและผมยังคิดว่าโจเป็นเพื่อนของผมอยู่เท่านั้นเอง”
มีอะไรบางอย่างในสีหน้าของเขาที่ทำให้จูดี้กล้ำกลืนความน้อยเนื้อต่ำใจลงไว้ เธอเพียงแต่ยิ้มให้เขาแต่เป็นยิ้มของคนเสียขวัญอย่างสิ้นเชิง
นิคพยายามหักห้ามใจตัวเองไว้ไม่รั้งร่างเธอเข้ามากอด....