บทที่ 7
เช้าวันรุ่งขึ้นเขาขับรถไปหาโจที่อพาร์ทเม้นท์ ขณะเหวี่ยงกุญแจประตูอยู่ในนิ้วเขาก็เดินตรงไปยังระเบียงด้านหน้าที่มีเสาทรงกลมต้นใหญ่ค้ำยันไว้ เงยหน้าขึ้นมองหน้าต่างและเห็นว่ามันเปิดกว้างอยู่ เขาพาตัวเดินเข้าไปภายใน
“โจ?” เมื่อประตูห้องของเธอเปิดออกเขาก็ชะโงกหน้าเข้าไปข้างใน “โจ คุณอยู่หรือเปล่า?”
เธอกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นห้อง เครื่องพิมพ์ดีดตั้งอยู่บนโต๊ะเตี้ยตรงหน้า แต่งตัวด้วยกางเกงยีนส์กับเสื้อสเว็ตเตอร์สีเขียวไข่นกการเวก พวงผมรัดรวบไว้ด้วยผ้าไหมสีสวย ท่าทางเธอไม่ได้ยินเสียงเรียกของเขาด้วยซ้ำ
เขาพิจารณาความรู้สึกในสีหน้าของเธออยู่เป็นครู่แผงขนตาสีเข้มงอนงามหรุบลงขณะที่เธอกำลังให้ความสนใจอยู่กับงานตรงหน้าที่กำลังพิมพ์ เสี้ยวหน้าด้านข้างเผยให้เห็นโหนกแก้มที่สูงเด่นกับเรียวปากที่ได้รูป มันเป็นใบหน้าของสาวสวยที่ยิ่งมีอายุมากขึ้นเท่าไรความงามก็ยิ่งมากขึ้นเพียงนั้น และแล้วเขาเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองกำลังเปรียบเทียบความสวยของเธอกับจูดี้ เคอร์สันอยู่ เขาปิดประตูตามหลัง
“ก่อนคุณกลับฉันขอกุญแจคืนด้วยนะ” เธอเอ่ยขึ้นโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง
เขากลับ ทิ้งกุญแจลงในกระเป๋าเสื้อพร้อมกับยิ้มกว้างให้
“เห็นจะต้องมาหยิบไปเองแล้วล่ะ คุณรู้หรือเปล่าว่าโทรศัพท์ของตัวเองเสีย?”
“ฉันถอดปลั๊กออกเองเพราะต้องการทำงาน”
เขาเอื้อมไปหยิบหนังสือเล่มบนสุดในกองซึ่งตั้งอยู่ข้างเครื่องพิมพ์ดีดขึ้นมาดูชื่อ “ความจริงเบื้องหลังการระลึกชาติได้” มันทำให้เขาต้องขมวดคิ้วอย่างกังวลใจ
“โจ ผมอยากจะพูดกับคุณเรื่องสารคดีที่คุณกำลังเขียนขึ้นชิ้นนี้นะ”
“ดี การพูดอะไรที่มันเป็นเรื่องเป็นราวก็ดีทั้งนั้นแหละ”
“แต่คุณรู้ไหมว่าผมมีความคิดเห็นเกี่ยวกับการสะกดจิตนั่นยังไง?”
“คุณก็รู้ด้วยว่าฉันคิดยังไง”
“คุณจะให้สัญญากับผมได้ไหมว่าจะไม่เข้ารับการสะกดจิตด้วยตัวเอง”
“ฉันไม่ให้สัญญาอะไรกับคุณทั้งนั้นค่ะ” เธอโน้มกายมาข้างหน้า เข้าใจแล้วนะนิคว่าฉันไม่มีคำสัญญาที่จะให้กับคุณ”
“ไคร้สต์ คุณไม่รู้หรอกหรือว่าการสะกดจิตอันตรายมากแค่ไหน คุณคงเคยได้ยินได้ฟังเรื่องที่สภาพจิตใจของคนเราต้องได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงมาแล้วเมื่อไปเล่นกับบางอย่างที่เราไม่เข้าใจอย่างแท้จริง”
“ฉันไม่ได้กำลัง “เล่น” หรอกนะคะนิค” เธอตอบด้วยน้ำเสียงชาเย็น “ฉันกำลังทำงานต่างหาก....คุณเข้าใจคำว่าทำงานบ้างไหมล่ะ? การเขียนสารคดีอย่างนี้มันเขียนเล่นๆ ได้เมื่อไหร่ล่ะ ถ้าฉันเป็นนักข่าวที่ต้องรายงานข่าวสงครามฉันก็ต้องออกแนวหน้า ถ้าฉันต้องเขียนเกี่ยวกับเรื่องการสะกดจิต ฉันต้องทดลองด้วยการเอาตัวเองเข้าไปรับการสะกดจิตนั่นด้วย” เธอผุดลุกขึ้นยืนอย่างไม่พอใจ เดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้อง
“แต่ก็เอาเถอะ ถ้าคุณเป็นห่วงเป็นใยในตัวฉันมากคงสบายใจขึ้นได้บ้างละมังถ้าฉันจะบอกคุณว่าไม่มีใครมาสะกดจิตฉันได้สำเร็จหรอก คนบางคนน่ะใจแข็งมากนะไม่มีใครไปสะกดจิตได้ง่ายๆ เขาเคยทดลองทำกับฉันมาแล้วครั้งหนึ่งด้วยซ้ำตอนที่ยังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย”
นิคกระแทกตัวลงนั่งสายตาจรดจ้องมองหน้าเธอ
“แซมเขาเล่าเรื่องการสะกดจิตครั้งนั้นให้ผมฟังแล้ว” เขาใช้คำพูดอย่างระมัดระวังที่สุด
“อ้าว ! ก็ในเมื่อรู้แล้วจะร้อนใจอีกทำไมล่ะ?” เธอหยุดเดินหันมาเผชิญหน้าเขา “คุณโทรศัพท์ไปหาพี่ชายของคุณสิแล้วให้เขาเล่าเรื่องนี้ให้คุณฟังอย่างละเอียด ฉันรับรองเลยว่าคุณหมอแซมมวล แฟรงคลินผู้มีชื่อเสียงต้องเล่าเรื่องนี้ให้คุณฟังด้วยความเต็มใจอย่างที่สุดคุณ”
“โจ แซมจะเดินทางมาลอนดอนอาทิตย์หน้านี้แล้วผมว่าคุณรอไว้จนกว่าเขามาถึงเสียก่อนไม่ดีหรือ ? คุณสัญญากับผมได้ไหมล่ะว่าเมื่อคุณกับเขาได้พบกันแล้ว....”
“เขาน่ะเรอะจะมาหาฉัน?” เธอย้อนถามเสียงเกรี้ยว “ถามจริงๆ เถอะนิคว่าคุณเป็นอะไรไปทำไมคุณต้องเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ด้วย ? โอเค ฉันยอมรับล่ะว่าฉันต้องการพี่ชายคุณเหมือนที่ฉันต้องการตัวคุณอยู่ในเวลานี้ แต่ฉันเคยได้อะไรขึ้นมาบ้าง?”
“โจมันเป็นเรื่องสำคัญมากนะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงท้อแท้ “มันยังมีอะไรบางอย่างที่คุณไม่รู้ บางอย่างที่คุณไม่มีโอกาสจดจำได้.... ”
“คุณหมายความว่ายังไงที่พูดว่าฉันไม่มีโอกาสจดจำได้ ? ฉันจะบอกให้คุณรู้ไว้นะว่าฉันจดจำเหตุการณ์ทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นในเอดินเบิร์กได้อย่างแม่นยำที่สุดมากกว่าที่แซมจะจดจำมันได้เสียอีก อ๋อ ! ฉันรู้แล้วและมั่นใจด้วยว่าเขาไม่ต้องการให้ฉันค้นคว้าเรื่องการสะกดจิตย้อนไประลึกชาตินั่นเพราะว่ามันเป็นงานใหญ่ที่เขาอยากจะทำด้วยตัวเองอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ ? และเขาก็ไม่ต้องการให้ฉันเอามันมาลงตีพิมพ์ในหน้าหนังสือพิมพ์ด้วยเพราะว่ามันจะทำให้งานค้นคว้าของเขาต้องเสียหาย” เธอจ้องมองหน้าเขาอยู่เป็นครู่ก่อนจะพูดต่อ
“เอาละ เมื่อพี่ชายของคุณอยากพบฉันก็ให้เขามาพบได้เลย ฉันจะพูดกับเขาถึงเรื่องนี้ด้วยตัวของฉันเองเวลานี้คุณกับฉันไม่มีเรื่องอะไรต้องพูดกันอีกแล้ว เราหมดเรื่องที่จะพูดกันแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นผมกลับก่อนดีกว่า” นิคพูดอย่างหมดความอดทน
โจกระแทกประตูปิดตามหลังเขาเต็มแรง
ค่ำวันเดียวกันนั้นพีท ลีเวสันโทรศัพท์มาหาเขาบอกชื่อนายแพทย์ที่รักษาโรคด้วยวิธีสะกดจิตแก่โจจิตแพทย์คาร์ล เบนเนท อยู่ที่เดวอนไชร์ เพลซ โจรีบจดชื่อจิตแพทย์ลงในสมุดโน้ต หลังจากที่วางหูโทรศัพท์ไปแล้วเธอยังจ้องมองดูชื่อที่ปรากฏเด่นชัดอยู่ตรงหน้าอีกเป็นครู่
เมื่อถึงค่ำคืนในงานปาร์ตี้ ภายในห้องสตูดิโออันกว้างใหญ่คับคั่งด้วยแขกเหรื่อแล้ว-ตอนที่โจกับพีทมาถึงทั้งคู่หยุดอยู่ตรงหน้าประตูกวาดสายตามองเข้าไปในหมู่แขกรับเชิญ พวกผู้หญิงแต่งตัวกันอย่างสวยสดงดงามส่วนพวกผู้ชายกลับแต่งตัวธรรมดา เสียงพูดคุยเสียงหัวเราะก้องไปทั้งห้อง
ใครคนหนึ่งเอาแก้วแชมเปญมาใส่มือให้สองหนุ่มสาว
โจเห็นนิคเกือบจะในทันที เขากำลังยืนพิจารณารูปที่ถ่ายโดยฝีมือทิมอยู่ เธอจดจำทั้งช่วงไหล่และรูปลักษณ์ศีรษะของเขาได้อย่างแม่นยำ เธอรู้ว่าเขากำลังโกรธแต่ไม่รู้ว่าครั้งนี้เขากำลังโกรธใครเท่านั้น
“โอ้ ! สวยจังเลยโจ สวยเหมือนเดิมเลย” ทิม เฮชแชมเดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างหลัง “แต่ไอ้ท่าช่างคิดนั่นดูมันไม่เหมาะกับคุณเท่าไรนักหรอกนะ”
“คุณว่าฉันกำลังคิดอย่างนั้นหรือ ไม่มีทางหรอก” เธอหันมายิ้มให้เขา “สุขสันต์วันเกิดนะทิมฉันไม่ได้เอาของขวัญมาให้คุณหรอก”
“ก็ใครเขาเอามากันล่ะ?” เขาหัวเราะอย่างรื่นเริง “แต่ผมมีข่าวดีชิ้นหนึ่งสำหรับคุณด้วยนะ วันนี้จูดี้เขาไม่มาหรอก”
“ฉันต้องแคร์ด้วยงั้นหรือ?” เธอสังเกตเห็นว่าพีทเดินข้ามไปยังอีกฟากหนึ่งของห้องแล้ว
“ผมก็ว่ามันไม่น่าแคร์หรอก” เขาฉวยแก้วแชมเปญไปจากมือเธอและยกขึ้นจิบก่อนจะส่งกลับคืนมา“ตอนนี้คุณกับนิคกำลังเป็นข่าวที่ไม่ค่อยดีอยู่หรอกนะโจ คุณเป็นคนเล่าให้ผมฟัง”
“และฉันก็ไม่คิดจะเปลี่ยนใจด้วย”
“คงไม่ได้หมายถึงวันพรุ่งนี้ด้วยใช่ไหม ?”
“วันพรุ่งนี้.... ทำไมหรือ ?”
“อ้าว ! ก็เราจะไปหาบิลล์ วอลตันด้วยกันไงล่ะเขาบอกว่าจะจัดรายการพิเศษสำหรับเรา คราวนี้เราคงเห็นคลีโอพัตรากับมาร์ค แอนโทนี่ตัวจริงกันเสียที ดูมันน่าสนุกดีออก”
“ฉันหวังว่าคราวนี้คุณต้องไม่ผิดหวังแน่เลยทิม มันคงเหมือนกับเราได้เห็นคนที่สร้างจินตนาการขึ้นกับตัวเองไม่มีผิดเลยนะ”
แต่เขากลับยกมือขึ้นด้วยท่าทางตกอกตกใจเสียเต็มประดา
“ไม่เอา.... ไม่เอา.... คุณอย่ามาชักใบให้เรือเสียหน่อยเลย”
“โจ” เสียงเรียกที่ดังขึ้นทางเบื้องหลังทำให้เธอถึงกับสะดุ้ง แชมเปญในแก้วหกลงบนพื้นห้อง “โจผมอยากคุยกับคุณสักหน่อยนะ”
เธอหันขวับไปและเห็นนิคกำลังยืนอยู่ไม่ห่างตัวเท่าไรนัก โจสอดมือเข้าคล้องแขนทิมไว้อย่างรวดเร็ว
“อ้อ ! นิคฉันไม่ยักคิดว่าจะมาพบคุณที่นี่ในงานนี้จูดี้หรือแซมไม่ได้มาด้วยหรอกหรือนี่? หรือว่าแซมเขามารออยู่แล้วเพื่อตรวจสภาพจิตฉันล่ะ ?” พูดจบเธอก็หันหลังให้เขาทันที
“ทิมคะคุณเต้นรำกับฉันหน่อยได้ไหม?” เธอกึ่งลากกึ่งจูงเจ้าภาพที่กำลังหน้าตื่นออกมาเสียจากตรงนั้นทิ้งให้นิคยืนมองตามหลังด้วยความผิดหวัง
“โจคุณน่ะสั่นไปหมดทั้งตัวแล้วนะ” ทิมโอบแขนลงรอบตัวเธอรั้งร่างเข้ามากอดไว้ “ไม่เอาน่าเวลาคุณทำท่าโกรธใส่เขามันดูไม่เหมือนตัวคุณเองเลย ไปหาเหล้ากินกันอีกแก้วดีกว่า แก้วของคุณก็หกจนเกือบหมดแล้วราดลงมาในคอเสื้อผมด้วย” เขาจับมือไว้แน่น สีหน้าบอกความรู้เท่าทันเธออยู่ “ผมรู้นะโจว่าคุณรักนิคมากทีเดียวและเป็นความรักที่แท้จริงด้วยคุณรู้ตัวเองหรือเปล่า?”
เธอเปล่งเสียงหัวเราะพร่าออกมา
“ไม่มีทางหรอกทิม คุณน่ะหัวโบราณชะมัดเลยฉันไม่เคยมีความรักกับใครทั้งสิ้น คนอย่างฉันรักอิสระแล้วก็พร้อมเสมอสำหรับผู้ชายทุกคน แต่คุณก็พูดถูกอย่างหนึ่งนะฉันกำลังอยากได้เหล้าอีกสักแก้วจริงๆ”
ไม่มีทางที่เธอจะยอมรับกับตนเองหรือกับใครก็ตามว่าเธอรักนิค........