บทที่ 17
ในท่ามกลางแสงสุดท้ายของยามพลบค่ำทุกคนต่างบังคับม้าให้วิ่งเต็มกำลังตัดข้ามท้องทุ่งกว้างที่ร้างรา ผ่านโบสถ์ใหญ่และขึ้นไปตามเส้นทางที่ทอดไปสู่สะพานแขวนอันเป็นทางเข้าสู่ปราสาท ทุกสิ่งเป็นไปเช่นที่ริชาร์ดคาดการณ์ไว้แล้วล่วงหน้าว่าสะพานยังถูกลดลงอยู่มีทหารยืนรักษาการณ์อยู่พร้อมพรั่งด้วยอาวุธ เหนือหอคอยบนกำแพงปราสาทความมืดได้โรยม่านลง และแสงไฟจากคบเพลิงได้ถูกจุดจนสว่างเรืองโรจน์ไปทั่ว สะท้อนเงาใบหน้าของผู้คนที่มองเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก
ทันทีที่ทุกคนข้ามสะพานไปมันก็มีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้น เสียงโซ่เส้นใหญ่ที่คล้องอยู่กับห่วงดังสนั่นขึ้นเป็นสัญญาณให้รู้ว่าบัดนี้ปราสาทแห่งนี้ได้ถูกตัดขาดออกจากราวป่าที่เต็มไปด้วยความหนาวเยือกเย็นแห่งนั้น ประตูปราสาทถูกปิดสนิทลงมีแต่เพียงความมืดที่ครอบคลุมอยู่
วิลเลียม เดอ บราโอสกำลังรอทุกคนอยู่ตรงบันไดใหญ่ซึ่งทอดตัวขึ้นสู่ห้องโถงกว้าง เขาเป็นคนรูปร่างเตี้ยล่ำสัน เรือนผมกับหนวดสีดำเป็นประกายอยู่ภายใต้แสงคบเพลิง เขาจับตามองดูกลุ่มอัศวินที่กำลังลงจากม้ารวมทั้งภรรยาและสาวใช้คนสนิทอยู่เป็นครู่ ก่อนจะเดินลงบันไดช้าๆ มาต้อนรับภรรยา สีหน้าบอกความโกรธและชิงชังอย่างเห็นได้ชัด
ขณะที่เหวี่ยงตัวลงจากหลังม้า สายตาของริชาร์ดไวพอจะจับสังเกตความหวาดหวั่นที่ฉายฉาบอยู่ในสีหน้าของมาทิลด้าได้
“ในนามแห่งพระเจ้าและสาวกของพระองค์ ฉันอยากรู้นักว่าเธอมาที่นี่ทำไม ?” เขากระชากร่างเธอลงจากหลังม้า ซึ่งเมื่อลงมาอยู่ตรงพื้นเบื้องล่าง เรือนกายของมาทิลด้าสูงกว่าเขาหลายนิ้ว และเป็นสิ่งที่เขารู้สึกได้อยู่ “ฉันแทบไม่เชื่อเลยเมื่อทหารกองลาดตระเวณมารายงานให้ฉันรู้ว่าเธอกำลังเดินทางมาที่นี่และผ่านป่าดงดิบนั่นมาแล้ว ฉันคิดว่าฉันเคยสั่งเธอไว้แล้วว่าถ้าจะมาที่นี่ต้องมาตอนฤดูสปริง”
“ใช่เจ้าค่ะ” มาทิลด้าพยายามแต่งน้ำเสียงให้เศร้าสลดไว้ขณะดึงผ้าพันคอขนสัตว์ให้กระชับแน่นเมื่อต้องแรงลมที่เย็นเยือก “แต่ฤดูหนาวปีนี้อากาศค่อนข้างดีมากและเส้นทางก็พอจะผ่านมาได้ ดิฉันเลยคิดว่ามันไม่น่าจะมีอันตรายอะไร ยังหวังว่าท่านจะดีใจที่ได้เห็นหน้าดิฉันอีกครั้งหนึ่ง.... ” หางเสียงของเธอแผ่วเบาจนเงียบหายไปขณะที่หัวใจเต้นระทึกราวจะระเบิดออกมาจากทรวงอก
ทำไมเธอถึงลืมไปได้นะว่าเขาเป็นคนอย่างไร เขาปฏิบัติต่อเธอด้วยความชิงชังเสมอมา แม้ในยามที่เสพย์สุขเขาก็ยังกระทำอย่างโหดร้าย ทำไมเขาไม่เปลี่ยนนิสัยองตัวเองบ้างเลยเชียวหรือ สัญชาติญาณทำให้เธอถอยห่างออกจากเขาและวิลเลียมก็ปล่อยมือจากเธอทันทีเช่นกันเขากวาดสายตามองไปยังเหล่าอัศวินที่กำลังเงี่ยหูฟังการพูดจาระหว่างเขากับเธออยู่อย่างสนใจ ซึ่งทำให้ซึ่งทำให้ใบหน้าแดงกล่ำยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“พวกเจ้ามาคอยจ้องมองดูอะไรกันอยู่ล่ะ ?” เขาตะคอกใส่เหล่าอัศวิน “เอามาไปเข้าโรงแล้วออกไปให้พ้นหน้าพ้นตาข้าเสียทีเถอะ”
มาทิลด้าหันกลับไปมองทางเบื้องหลังมองหาริชาร์ดที่ยืนอยู่ในท่ามกลางคนของเขา แต่ปรากฏว่าเขากลับยืนอยู่ข้างหลังเธอนั่นเอง และกำลังเอื้อมมือมาจับแขนเธอไว้อย่างอ่อนโยน
“ให้ผมเป็นคนพูดเองเถอะขอรับ เลดี้ มาทิลด้า” เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “คุณอาจจะเหนื่อยมามากแล้ว”
วิลเลียมหันขวับมาทันที มือทั้งสองข้างกำแน่นอย่างโกรธจัด
“ไม่ต้องไปยุ่งกับหล่อนหรอก ลอร์ด แคลร์” เขาตะโกนใส่หน้า “และท่านเองก็ต้องมีเหตุผลที่ดีด้วยสำหรับการพาเมียข้ามาที่นี่” พูดจบเขาก็หมุนตัวเดินกลับขึ้นไปตามบันไดที่ทอดขึ้นสู่ประตูใหญ่ด้านหน้าของตัวปราสาทเสียงสเปอร์ดังสนั่นอยู่กับพื้นไม้ เมื่อขึ้นไปได้ครึ่งทางเขาก็หยุดเหลียวหลังกลับมามองทุกคน “พวกเจ้าทุกคนไม่ได้รับการต้อนรับที่นี่” ใบหน้าบิดเบี้ยวอยู่ในท่ามกลางแสงคบเพลิง “มากันทำไม ?”
มาทิลด้าออกเดินตามสามีไป สายลมแรงที่โบกพัดมาต้องเปิดเสื้อคลุมออกจนเห็นเรือนร่างที่เพรียวระหงในเสื้อขนสัตว์สีน้ำเงิน
“ที่ดิฉันมาก็เพราะดิฉันต้องการอยู่กับสามีน่ะสิคะ” น้ำเสียงนั้นแจ่มใสนัก “โดยความเป็นจริงแล้วลอร์ดเดอ แคลร์ต้องการมาธุระเพียงแค่กลอเชสเตอร์เท่านั้น แต่เขายืนยันว่ามันเป็นหน้าที่ของเขาต้องให้ความอารักขาแก่ดิฉันจะปล่อยให้เดินทางมาเพียงลำพังไม่ได้ เราควรขอบใจเขาเสียด้วยซ้ำนะเจ้าคะ มายลอร์ด”
สามีของเธอทำเสียงเหมือนคำรามออกมา เขาหันหลังเดินขึ้นบันไดต่อไป เมื่อเข้ามาถึงห้องโถงก็ถอดเสื้อคลุมออกโยนทิ้งไปด้วยความฉุนเฉียว คนรับใช้รีบลนลานเข้ามาเก็บ
“หน้าที่ของเขางั้นรึ ?” เขาหันมาจ้องหน้าริชาร์ดซึ่งเดินตามติดขึ้นมาด้วย ดวงตาบอกความระแวงสงสัยอยู่ “ถ้าเช่นนั้นเขาก็ควรจะรับหน้าที่พาเมียข้ากลับไปยังกลอเชสเตอร์ในวันพรุ่งนี้แต่เช้าตรู่ด้วย”
“อะไรกันเจ้าคะ ?” มาทิลด้าร้อง “นี่ท่านจะไม่ให้ดิฉันพำนักอยู่ที่นี่กับท่านหรอกหรือเจ้าคะ ?”
“ไม่ได้.... และอย่างเด็ดขาดด้วย”
“แต่.... ทำไมล่ะเจ้าคะ ? แม้ว่าเราจะอยู่เพียงร่วมงานเลี้ยงฉลองวันพรุ่งนี้ก็ไม่ได้อย่างนั้นหรือเจ้าคะ?” เธอเดินตามเขาไปจนถึงกึ่งกลางห้อง “ทำไมเราถึงอยู่ไม่ได้ล่ะ มันไม่ใช่สิทธิของดิฉันหรอกหรือที่จะอยู่ในฐานะภรรยาของท่าน ?”
“แม้จะเป็นเมียก็ไม่มีสิทธิ์” วิลเลียมตวาดเสียงก้อง “และฉันก็อยากรู้ด้วยว่าทำไมเธอถึงรู้เรื่องนี้ได้ ?” เขาหันมามองหน้าเธอ เอื้อมมือมากระชากแขนอย่างเคียดแค้น “ใครเป็นคนเล่าเรื่องนี้ให้เธอฟัง ?”
“วอลเตอร์ โบลเอทแห่งแร็กแลนเจ้าคะ อย่าจับดิฉันอย่างนี้สิเจ้าคะ มายลอร์ด ดิฉันเจ็บนะ” เธอดิ้นรนจะให้หลุดพ้นจากมือที่แข็งราวคีมเหล็ก “เราหยุดพักม้ากันที่นั่นและพวกเขาก็เล่าเรื่องนี้ให้ดิฉันฟัง เขาโกรธมากนะเจ้าคะที่ท่านไม่ยอมเชิญเขามาร่วมงานด้วย”
เธอกวาดสายตามองไปรอบๆ สังเกตเห็นความเคลื่อนไหวอย่างรีบเร่งปรากฏอยู่รอบตัว ทุกคนที่อยู่ใกล้ต่างเงี่ยหูฟังคำโต้ตอบระหว่างเธอกับสามีอย่างไม่อำพรางความใคร่รู้ไว้ ส่วนคนอื่นที่เหลือดูเหมือนจะสนใจกับงานที่ตัวเองกำลังทำอยู่ ควันจากคบเพลิงกระจายอวลอยู่ทั่วทั้งห้อง
“ไอ้หน้าโง่นั่นมันไม่ควรเข้ามายุ่งเลย ถ้าเธอรอเวลาอีกเพียงสักสองวันทุกสิ่งทุกอย่างก็อาจจะเรียบร้อยลง ได้บรรยากาศมันต้องดีกว่านี้แน่” เขายืนมองหน้าเธออยู่เป็นครู่ ก่อนจะทุบกำปั้นลงกลางฝ่ามือตนเอง “ขึ้นไปชั้นบนเดี๋ยวนี้ ไปพักผ่อนในห้องฉันเสียก่อน พรุ่งนี้ทันทีที่ฟ้าสางเธอต้องออกเดินทาง นี่เป็นคำสั่งสุดท้ายของฉัน”
มาทิลด้ามองไปรอบๆ อย่างสิ้นหวัง เห็นได้ชัดว่าการกินอาหารค่ำภายในปราสาทได้เสร็จสิ้นลงก่อนหน้าที่เธอจะมาถึงเพียงไม่นาน และขณะนี้บรรดาคนรับใช้กำลังช่วยกันเก็บกวาดสถานที่เพื่อใช้เป็นที่หลับนอนกันในตอนกลางคืน ขณะนี้รอบตัวสามีคือพวกแขกเหรื่อทหารคนสนิทที่ติดอาวุธประจำกาย ยังพวกอัศวินและคนรับใช้อีกมากมาย ทุกคนดูจะไม่ให้ความสนใจกับเธอเลย
ริชาร์ดเอื้อมมาแตะแขนเธอเบาๆ
“เชิญขึ้นไปพักผ่อนเสียก่อนเถอะขอรับ เลดี้มาทิลด้า”
“แล้วคุณล่ะ คุณเองก็ได้รับการต้อนรับที่ไม่ดีไปกว่าฉันหรอกนะ” เธอพูดเศร้าๆ
“เรื่องนั้นน่ะมันไม่สำคัญอะไรหรอกขอรับ” เขายิ้มให้เธอ “ถึงอย่างไรพรุ่งนี้ผมก็ต้องพาคุณกลับไปกลอ เชสเตอร์ตามคำสั่งอยู่แล้ว เราต้องออกเดินทางกันแต่เช้าตรู่ด้วย มันเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว”
เขาเดินไปส่งเธอตรงเชิงบันไดที่จะขึ้นสู่ชั้นบนตามคำสั่งของวิลเลียม ขณะที่เลี้ยวตรงมุมแคบๆ ข้างผนังศิลาเขาก้มลงจุมพิตมือเธอแต่เพียงบางเบา
ภายในห้องนอนชั้นบนมีเทียนไขจุดให้ความสว่างอยู่เพียงเล่มเดียว ผ้าปักผืนใหญ่ประดับอยู่บนผนังด้านหนึ่งของห้องที่มีเพียงแสงสลัว ส่วนเตาผิงตั้งอยู่ฟากตรงข้าม มาทิลด้าพยายามสกัดกั้นหยาดน้ำตาของตัวเองไว้
“ไปหาที่พักที่ห้องผู้หญิงเถอะไป๊ เนลล์” เธอหันไปสั่งสาวใช้คนสนิทที่ติดตามมา “ฉันคิดว่าฉันจะ....” เธออึ้งไปเป็นครู่ “ฉันจะนอนกับท่านเซอร์วิลเลียมในห้องนี้แหละ ฉันคงไม่ต้องการใช้เธออีกต่อไปแล้ว” เนื้อตัวสั่นสะท้านขึ้นมาจนเธอต้องกัดริมฝีปาก “ฉันเสียดายที่คาดการณ์ผิดไป คิดว่าเราจะได้รับการต้อนรับที่ดีกว่านี้ฉันต้องขอโทษเธอด้วยนะ”
เธอมองตามร่างเนลล์ที่ลับกายหายขึ้นไปตามบันไดที่ทอดขึ้นสู่ชั้นบนสุดของตัวปราสาท ถอนหายใจเบาเมื่อเดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าเตาผิง จับตามองดูเปลวไฟที่คุโพลงอยู่ในนั้นอีกนาน รอบๆตัวคือเสื้อผ้าของสามีที่กระ จัดกระจายอยู่ทั่วห้อง