บท
ตั้งค่า

บทที่ 15

เบนเนทจ้องมองหน้าโจอยู่อย่างแน่วนิ่ง โน้มกายเข้าไปหาประสาททุกส่วนในเรือนกายเต็มไปด้วยความตึงเครียด

โจประคองตัวลุกขึ้นยืนช้าๆ เดินออกห่างจากโซฟาตัวนั้นสองสามก้าว สายตาเหม่อมองจ้องจับอยู่ตรงฝาผนังห้อง

“เมื่อไหร่หิมะจะหยุดตกเสียทีนะ” เธอเอ่ยถามออกมา ยกแขนขึ้นกกกอดร่างตัวเองไว้เหมือนจะให้ช่วยลดความเหน็บหนาว ร่างกายของเธอกำลังสั่นสะท้านอย่างน่ากลัว

“หิมะกำลังตกหนักทีเดียว” เบนเนทคล้อยตามด้วยสุ้มเสียงระมัดระวัง

“ฉันคิดว่ามันยังไม่น่าจะตก น่าจะให้เราไปถึงปราสาทเสียก่อน ฉันไม่ชอบหิมะเลย มันทำให้ป่ามืดมิดไปหมด”

“คุณพอจะบอกได้ไหมว่าวันนั้นเป็นวันอะไร ?”

“เกือบจะถึงยูลอยู่แล้ว” เธอยิ้มออกมา “มันเป็นเวลาที่เราจะเลี้ยงฉลองกัน”

“แล้วปีไหนล่ะคุณรู้หรือเปล่า ?” เบนเนทเอื้อมไปหยิบสมุดโน้ตกับปากกาขึ้นมาถือไว้ สายตาจับจ้องอยู่ แต่ใบหน้าของโจตลอดเวลา ดวงตาของเธอก็ดูปกติธรรมดาและจ้องมองอะไรบางอย่างอยู่อย่างตั้งใจ เพียงแต่ไม่ได้มองเขาเท่านั้น ตอนที่เขาเอื้อมไปแตะมือเธอมันเย็นเยือกราวน้ำแข็ง

“มันเป็นปีที่ยี่สิบเอ็ดในการครองราชย์ของกษัตริย์เฮนรี่ เธอตอบด้วยน้ำเสียงแจ่มใส “ช่างเป็นคำถามโง่ๆ อะไรเช่นนั้น” เธอก้าวออกไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว “โอ..... ในนามแห่งพระมารดา เราเกือบจะถึงที่นั่นแล้ว” น้ำเสียงของเธอแผ่วเบาลงจนเกือบจะเป็นเสียงกระซิบ “ฉันกำลังไปหาวิลเลียมที่นั่น”

“วิลเลียมเป็นใคร ?” ความตื่นเต้นที่บังเกิดขึ้นทำให้เบนเนทลืมสมุดบันทึกกับปากกาในมือไปเสียสนิทเขาเงยหน้าขึ้นรอฟังคำตอบอยู่

แต่โจไม่ได้ตอบ ความสนใจทั้งหมดของเธอมุ่งไปที่อะไรบางอย่างที่เธอเท่านั้นสามารถมองเห็นได้ เธอกำลังเห็นร่างที่นอนอยู่กลางเส้นทางเบื้องหน้าท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสาย มันเป็นร่างอาบเลือดของผู้ชายคนหนึ่ง

หิมะที่ละลายลงแดงฉานด้วยหยาดเลือด ริชาร์ด เอิร์ลหนุ่มแห่งแคลร์และเฮิร์ทฝอร์ดชักมาให้หยุดลง พยายามบังคับมันไว้เมื่อมันเบี่ยงตัวไปทางด้านข้างด้วยความตกใจกลัว ใบหูลู่แนบติดหัว มันได้ทั้งกลิ่นซากศพกับกลิ่นสุนัขป่าในเวลาเดียวกันจึงคำรามออกมาด้วยความตื่นตกใจขณะที่ริชาร์ดบังคับให้มันออกวิ่งไปยังร่างนั้น แร้งตัวหนึ่งกระพือปีกบินขึ้นเมื่อม้าวิ่งเข้าไปใกล้ ทิ้งร่างผู้เคราะห์ร้ายไว้ในโคลน เศษผ้าที่ขาดวิ่นเป็นสิ่งเดียวที่บอกให้รู้ว่าซากศพนี้เคยเป็นคนมาก่อน

“นี่มันอะไรกัน เกิดอะไรขึ้น ?” หญิงสาวผมแดงร่างเล็กบางซึ่งอยู่ในเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกที่วิ่งม้าตามมาข้างหลังอย่างกระชั้นชิดเพื่อจะตามเขาให้ทันต้องบังคับม้าให้หยุดตามลงอย่างกะทันหันจนร่างเกือบจะร่วงหล่นจากหลังม้า ที่ตามติดมาข้างหลังคือหญิงสาวอีกคนหนึ่งกับอัศวินอีกสิบคนที่ติดตามริชาร์ดมา เหล่าอัศวินล้วนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสวยงามบอกถึงยศฐาบรรดาศักดิ์แห่งแคลร์

ทุกคนต่างบังคับม้าให้วิ่งล้อมออกไปเป็นรูปครึ่งวงกลมในท่ามกลางความหนาวเยือกเย็นของอากาศ หนึ่งในจำนวนนั้นถึงกับยกมือขึ้นทำเครื่องหมายกางเขนอย่างร้อนรน ผู้หญิงผมแดงพบว่าตัวเองกำลังกลืนน้ำลายฝืดคอรีบดึงเวลขึ้นปิดหน้า

“น่าสงสารเหลือเกิน” เธอพูดเสียงเบา “ใครนะที่ทำกับเขาถึงเพียงนี้ ?”

“หมาป่า” ริชาร์ดตอบสั้นๆ บังคับม้าไว้ด้วยความยากลำบาก “อย่ามองสิ มาทิลด้า ถึงยังไงเราก็ไม่มีทางช่วยเหลืออะไรเขาได้แล้วล่ะ อีกไม่นานคนที่อยู่ในหมู่บ้านก็จะออกมาพบแล้วก็ฝังซากที่เหลือจากแร้งและหมาป่าให้เขาเอง” เขาหันม้ากลับบังคับให้มันวิ่งผ่านร่างนั้นไป คนอื่นๆ จึงออกตามเขาไปอย่างช้าๆ ต่างคนต่างเมินมองไปเสียทางอื่น อีกสองสามคนตวัดมือลงจับดาบไว้

แนวป่าแห่งเวลส์ที่รายล้อมอยู่รอบตัวเต็มไปด้วยความสงัดเงียบ ต้นไม้ทุกต้นในราวป่าไม่ว่าจะเป็นโอ๊คแอช หรือบีชล้วนแต่ไร้ใบ ลำต้นเปียกชุ่มและเป็นประกายด้วยหิมะที่พร่างพรูลงมาเกาะอยู่ตามกิ่งก้านและยังกลบเส้นทางทั้งหมดไว้อย่างหนาแน่น จะมีก็แต่เสียงฝีเท้ามาที่กระแทกกระทั้นทำลายความเงียบนั้นอยู่

ริชาร์ดกวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างหวาดหวั่นความรู้สึกดังกล่าวเกิดขึ้นในใจมากกว่าที่เขาคิดว่ามันควรจะเป็น โดยเฉพาะเมื่อตอนที่เห็นร่างของผู้เคราะห์ร้ายคนนั้น มันเป็นลางร้ายที่เกิดขึ้นทั้งที่การเดินทางใกล้จะถึงจุดหมายแล้ว เขาสังเกตเห็นว่ามาทิลด้าขยับม้าเข้ามาใกล้จึงหันไปยิ้มให้อย่างเห็นใจ ขณะเดียวกันก็อดแช่งด่าเหล่าอัศวินที่ติดตามมาไม่ได้ เพราะมันทำให้เขาไม่สามารถโอบร่างเธอขึ้นไว้บนหลังม้าตัวเดียวกัน ให้เธอรู้สึกปลอดภัยยิ่งขึ้นเมื่อได้อยู่ในอ้อมแขนของเขา

แต่ถึงอย่างไรการเดินทางเช่นนี้จำเป็นต้องมีผู้ให้ความอารักขาอยู่ดี เมื่อพิจารณาเงาดำที่ทอดตัวยาวลงด้วย ดวงอาทิตย์ใกล้จะลับเหลี่ยมฟ้า มือที่เกาะกุมดาบไว้ก็กระชับมั่นขึ้น

รัฐเวลส์ถือว่าเป็นดินแดนที่มีอันตรายอย่างที่สุดเทือกเขาสูงใหญ่ตระหง่านเงื้อมทึบทะมึน เต็มไปด้วยราวป่าที่มืดครึ้มอยู่ชั่วนาตาปีและยังมีแต่โจรผู้ร้าย เขารู้สึกขึ้งโกรธที่มาทิลด้าต้องการเดินทางมาหาวิลเลียมในตอนนี้ทั้งที่ไม่มีสิทธิ์จะมา

“เราไม่ควรเดินทางจากแร็กแลนมาที่นี่เลย” เขาพูดกร้าว “วอลเตอร์ โบลเอทน่ะพูดถูกแล้ว ป่าแบบนี้ไม่เหมาะถ้าผู้หญิงจะเดินทางมาถ้าปราศจากผู้อารักขาที่ดี”

“แต่ฉันมีผู้อารักขาที่ดีแล้ว” เขาเห็นเธอเชิดคางขึ้น “คุณไงล่ะ”

เสียงสุนัขป่าตัวหนึ่งหอนโหยหวนขึ้นทำให้บรรยากาศภายในบริเวณภูเขาวังเวงยิ่งขึ้นกว่าเดิม ม้าทุกตัวดูมีท่าทางเครียดขึ้น หูลู่ติดหัว มาทิลด้ารู้สึกขนลุกด้วยความสยดสยองใจ

“อีกนานไหมกว่าเราจะไปถึงที่นั่น ? เธอเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา

“ก็อีกไม่กี่ไมล์หรอก” ริชาร์ดยักไหล่ “ขอให้ช่วยภาวนาให้เราไปถึงที่นั่นก่อนพลบค่ำก็แล้วกัน” เขาใช้เท้าเหยียบโกลนพร้อมกับยกตัวขึ้นยืนหันหลังกลับไปมองผู้ติดตาม “เร่งความเร็วให้มากกว่านี้อีกสักหน่อย” เขาตะโกนสั่งก่อนจะกระแทกโกลนเร่งฝีเท้าม้าให้มุ่งขึ้นไปทางทิศเหนือ

มาทิลด้าตามไปติดๆ เธอโน้มร่างลงแนบกับคอม้าตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะไม่ยอมถูกทิ้งไว้ข้างหลังอย่างเด็ดขาด กีบเท้าม้าที่กระแทกกระทั้นลงทำให้โคลนซึ่งเกิดจากหิมะที่ละลายกระจายขึ้น เส้นทางดูจะขรุขระและเลือกลื่นยิ่งขึ้น

ในที่สุดเธอก็ตามขึ้นไปจนทันเขา ลมหายใจลอยเป็นควันกรุ่นอยู่เหนือใบหน้า

“ริชาร์ด รอด้วยสิ.... ช้าๆ หน่อยเถอะ นี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้วนะที่เราจะได้พูดกัน.... ”

เขาลดความเร็วลงเล็กน้อยยกมือขึ้นเช็ดใบหน้าและดวงตา

“เรามีเวลาพูดกันมามากพอแล้ว” เขาเอ่ยขึ้นอย่างหุนหัน “คุณเองเลือกพูดกับผมนิดเดียวเท่านั้น แม้จะถึงตอนนี้แล้วผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่นั่นเองว่าเพราะเหตุใดคุณถึงต้องมาที่นี่ด้วย คุณรู้ว่าผมรู้สึกลำบากใจอย่างมากที่ต้องเผชิญหน้ากับสามีเจ้าอารมณ์ของคุณ ผมยังไม่รู้ว่าจะอธิบายกับเขายังไงว่าเพราะเหตุใดผมถึงต้องพาคุณมาที่นี่”

“ก็บอกเขาไปตามความจริงสิคะ” สีหน้าของเธอแดงกล่ำขึ้น

“ก็ได้” เขาหวดสายบังเหียนลงกับคอม้า “ผมจะเล่าให้เขาฟังว่าผมออกเดินทางจากทอนบริดจ์มากลอ เชสเตอร์ด้วยเรื่องธุระส่วนตัวของผม แล้วผมก็พบภรรยาของเขาพร้อมด้วยหีบห่อพะรุงพะรังไม่ได้มีผู้ติดตามอารักขา เลยนอกจากผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่กลัวจนตัวสั่น เธอตั้งใจขี่ม้าข้ามประเทศอังกฤษเพื่อมาอยู่เคียงข้างเขาตอนกลางฤดูหนาวอย่างนี้ และผมจะบอกเขาว่าผมถือว่ามันเป็นหน้าที่ที่ต้องให้การอารักขาคุณด้วยตัวของผมเองแล้วผมจะบอกให้เขารู้ด้วยว่าผู้ชายคนไหนก็ตามที่ทอดทิ้งภรรยาแสนสวยให้อยู่เพียงลำพังกับแม่ผัวในซัสเซ็กขณะที่ตัวเองมาอยู่ในแผ่นดินห่างไกลอย่างนี้ต้องถือว่าโงยิ่งกว่าลาเสียอีก”

เขายิ้มฝืน ๆ ให้เธอ โน้มตัวลงหลบกิ่งไม้ที่ขวางอยู่ข้างทาง บอกกับตัวเองว่าถ้ามาทิลด้าเป็นภรรยาของเขาแล้วเขาจะไม่ยอมปล่อยเธอไว้อย่างเดียวดายเป็นอันขาด มือที่จับสายบังเหียนอยู่กระชับแน่นยิ่งขึ้นด้วยอารมณ์รุนแรงที่พลุ่งโพลงขึ้นภายใน ไม่มีผู้ใดจะตำหนิริชาร์ด เดอ แคลร์ได้ที่เขามาหลงใหลในภรรยาของชายอื่นเขาชื่นชมในความกล้าของเธอและยังเป็นผู้มีจิตใจแจ่มใสอ่อนโยน ซึ่งน้อยนักจะหาได้ในตัวผู้หญิงคนอื่น เมื่อเขาเหลียวกลับไปมองก็เห็นเธอกำลังยิ้มให้เขาอยู่

“บอกผมหน่อยเถอะว่าเพราะเหตุใดคุณถึงอยากเดินทางมาเวลส์นัก ?” เขาเอ่ยถามขึ้น

หญิงสาวก้มลงมองดูมือของตนเองก่อนจะตอบคำถามเขา

“ก็เพราะว่าฉันไม่มีที่ไปนอกจากจะมาหาสามีน่ะสิคะ” มันเป็นคำตอบง่ายๆ แต่น่าประทับใจยิ่งนัก “เวลาที่ฉันอยู่กับเขาฉันเป็นคุณหญิงของบารอน เป็นนายหญิงของปราสาทมากมายหลายแห่งและเป็นบุคคลสำคัญ” รอยยิ้มที่เกิดขึ้นเหมือนจะเยาะหยันตัวเอง “แต่เวลาที่ฉันอยู่กับแม่เขาที่บรามเบอร์ ฉันเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่ได้รับความเกลียดชังจากแม่ผัวยิ่งกว่าผู้หญิงคนอื่นถึงสองเท่ายิ่งกว่านั้น” เธอเสริมในที่สุด “ฉันเบื่อบรรยากาศที่นั่นค่ะ”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel