บทที่ 14
เสียงกริ่งอันตรายกรีดร้องขึ้นในสมองอีกครั้ง และครั้งนี้เต็มไปด้วยการเตือนภัยที่กำลังเข้ามาถึงตัว เธอหลบสายตาเขาลงเกือบจะในทันทีด้วยความตกใจ ไม่อยากให้เบนเนทมองเห็นความรู้สึกต่อสู้ดิ้นรนที่กำลังเกิดอยู่ภายในเธอลุกขึ้นจากที่นั่งเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าต่าง ทอดสายตามองลงไปยังท้องถนนเบื้องล่าง หนาวสะท้านเยือกเย็นขึ้นมาทั้งตัวทั้งที่อากาศค่อนข้างจะร้อน แสงแดดส่องเข้าทางช่องหน้าต่างด้านตรงข้าม ในท่ามกลางความวุ่นวายใจเธอหันกลับมามองเบนเนท
“ฉันมีเทปบันทึกเสียงเล็กๆ อยู่ในกระเป๋าด้วยค่ะคุณหมอรังเกียจไหมคะถ้าฉันจะเปิดไว้ขณะที่คุณหมอสะกดจิตฉันอยู่ ?”
เขาสั่นศีรษะชี้ไปทางโต๊ะข้างฝาผนัง
“ผมเองก็ต้องใช้เหมือนกันด้วยเหตุผลหลายประการ ขณะเดียวกันผมจำเป็นต้องให้คุณซิมมอนส์อยู่ในห้องนี้เพื่อช่วยงานผมด้วย” เขาบอกเรียบๆ ไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้า “แต่ก่อนอื่นผมต้องบอกให้คุณรู้ไว้ด้วยว่าเราต้องมีการตรวจสอบสภาพจิตในระดับพื้นฐานเพื่อสร้างความเกี่ยวพันให้เกิดขึ้นระหว่างผู้ทำการสะกดจิตกับผู้รับการทดลอง มันเป็นความสัมพันธ์ที่ละเอียดอ่อนกว่าการที่เราแสดงอะไรให้ผู้อื่นชมอยู่มาก เพราะฉะนั้นคุณคงไม่ตั้งความหวังอะไรสำหรับการเริ่มต้นมากเกินไปนักนะครับ” เขายิ้มให้เธอก่อนจะกล่าวต่อ
“คุณคลิฟฝอร์ด บางทีคุณอาจเป็นผู้รับการทดลองที่เข้าถึงได้ยากจริงอย่างที่คุณพูดก็ได้ ผมมั่นใจในเรื่องความร่วมมือของคุณเพราะฉะนั้นก็เชื่อว่าตัวเองต้องประสบความสำเร็จในบางอย่างด้วย ขณะเดียวกันผมรู้สึกว่าในรายของคุณนี้น่าจะมีอะไรที่ควรแก่ความสนใจอยู่” เขายิ้มให้เธอเหมือนเด็กอีก “ผมยอมรับว่าคุณเป็นรายที่ท้าทายความสามารถของผมอย่างมาก แต่ผมไม่อยากพูดรายละเอียดในเรื่องนี้ตราบใดที่คุณยังมีความต้านทานอย่างมากอยู่ในตัว ผมขอให้คุณคิดให้ดีเสียก่อน.... ”
“ไม่ค่ะ” โจรู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกันที่ตัวเองตอบเขาออกไปอย่างแข็งกร้าวเช่นนั้น “คุณหมอลงมือได้เลยฉันยินดีและเต็มใจอยู่แล้ว”
“คุณแน่ใจนะครับ”
“แน่ใจที่สุดเลยค่ะ” เธอล้วงหยิบเครื่องบันทึกเทปออกมาจากกระเป๋าถือ “ฉันต้องทำอะไรบ้างล่ะคะ ?”
เขาเดินไปที่หน้าต่างชักม่านให้บังแสงลงเพียงครึ่งเหนือขึ้นไปบนท้องฟ้ากลุ่มเมฆสีม่วงเข้มเริ่มปรากฏขึ้นและกำลังเคลื่อนตัวเข้าบังแสงอาทิตย์ไว้ เขาเหลือบตาขึ้นมองกลุ่มเมฆก่อนจะเดินกลับมาหาเธอ
“ก็ไม่มีอะไรมากนักหรอกครับเพียงแค่ทำใจให้สบายเท่านั้น ผมรู้สึกว่าเรากินกาแฟหรือชากันอีกสักถ้วยดีไหมครับ ขณะที่คุยกันว่าเราจะทำอะไรต่อไป”
“ไม่ต้องหรอกค่ะฉันสบายดี บางทีมันเป็นความรู้สึกตามธรรมชาติที่เกิดการต่อต้านขึ้นเมื่อเราต้องมอบความรู้สึกทั้งหมดในจิตใจให้กับใครสักคนหนึ่งก็ได้นี่คะ” เธอขบเรียวปาก “ฉันขอสัญญาจากคุณหมอสักอย่างหนึ่งได้ไหมคะ ? คือถ้ามันมีอะไรเกิดขึ้นคุณหมอจะไม่ทำอะไรเพื่อยับยั้งไว้ไม่ให้ฉันจดจำมันว่ามันได้ในภายหลัง เพราะนี่เป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับฉันมาก”
“ได้สิครับ การสะกดจิตของเราจะบันทึกลงไว้ในเทปทั้งหมด” เขาจับตามองขณะที่เธอวางเครื่องบันทึก เสียงลงกับพื้นห้องข้างเก้าอี้นวม
“ฉันต้องนอนลงไหมคะ ?” เธอถาม แววในดวงตาบอกความหวั่นไหว
“ตามใจสิครับ คุณทำยังไงก็ได้ให้ตัวเองสบายที่สุดแล้วกัน” เขาหันไปมองซาร่าห์ซึ่งทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะตรงมุมห้องเงียบ ๆ จากนั้นก็หันมาทางโจ “เอาล่ะครับโจอันน่า.... ให้ผมเรียกคุณว่าโจอันน่าได้ไหม ?”
“เรียกโจดีกว่าค่ะ” เธอตอบเสียงเบา
“ก็ได้โจ ผมอยากให้คุณปล่อยใจปล่อยกายให้สบายอย่างที่สุดเลยนะแล้วก็หลับตาลงเสีย”
ความตระหนกกำลังเคลื่อนเข้ามาครอบคลุมเธอไว้เธอผุดลุกขึ้นนั่งดวงตาเบิกโพลงอย่างไม่อาจบังคับใจไว้ได้
“โฮ.... ฉันเสียใจจริงๆ สงสัยว่าคงทำไม่ได้หรอกค่ะ”
“ลองใช้ความพยายามอีกสักนิดสิครับ ลองนั่งพิงหนักเก้าอี้เฉยๆ ก็ได้ ทดลองเรื่องแสงกันก่อนดีไหมครับเพื่อช่วยให้คุณปล่อยจิตใจได้ง่ายขึ้น ไม่มีอะไรต้องกลัวเลยเพียงแต่ทำให้คุณสบายขึ้นเท่านั้น ส่วนใหญ่แล้วเราใช้วิธีนี้เพื่อทดสอบกำลังใจของผู้ที่เข้ารับการสะกดจิตทุกคน”
ซาร่าห์ยิ้มขรึมๆ อยู่ทางเบื้องหลัง เธอรู้จักเสียงที่เบนเนทกำลังใช้อยู่อย่างดี โจเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ตามคำแนะนำ ยกขาขึ้นพับเพียบอยู่บนโซฟา หลับตาลงอีกครั้งพยายามปล่อยจิตใจให้ว่างเปล่าเท่าที่จะทำได้
“ดีมาก” เบนเนทเคลื่อนร่างเข้าไปใกล้ด้วยฝีเท้าเงียบกริบ “ตอนนี้แสงแดดสาดสว่างเข้ามาในห้องอีกครั้งแล้วนะครับ ผมต้องสั่งให้ซาร่าห์ปิดม่านให้ทึบหมดคุณหลับตาไว้ก่อนนะ” เขาหันไปมองทางหน้าต่างและเห็นว่าบัดนี้แสงอาทิตย์ได้หายไปจากฟ้าแล้ว มองเห็นแต่หมู่เมฆทึบทะมึนที่บ่งบอกว่าฝนจะตกในไม่ช้านี้ มีเสียงฟ้าร้องดังแว่วขึ้นตอนที่เขาเริ่มพูดต่อ
“ดีแล้วครับ ตอนนี้คุณกำลังรู้สึกว่าแสงแดดมันจัดจ้าส่องตาคุณอยู่ตลอดเวลา หลับตาให้สนิทเลยครับ” เขาเอื้อมมือไปแตะใบหน้าเธอเบาๆ “เอาละ ตอนนี้คุณอยากลืมตาขึ้นเหลือเกินแต่ก็ทำไม่ได้ แสงนั่นมันสว่างมากเกินไป”
โจนั่งนิ่งไม่เคลื่อนไหวส่วนใดของร่างกายเลย เธอได้ยินทุกคำพูดของเขาอย่างชัดเจนและรู้ด้วยว่าถ้าอยาก จะลืมตาขึ้นเมื่อไรย่อมทำได้ แต่แสงแดดที่ส่องเข้ามากระทบตามันแรงเกินไป ต้องรอให้ซาร่าห์ปิดม่านลงตามที่หมอเบนเนทสั่งเสียก่อน แสงนั่นมันส่องเข้ามาทางหน้าต่างตลอดเวลา เธอรู้สึกตอนที่เบนเนทเอื้อมมาจับมือเธอไว้
“โจ คุณได้ยินผมหรือเปล่า.....ดี..... ตอนนี้ผมจะหยิกมือคุณเบาๆ นะ คุณจะรู้สึกจั๊กจี้แล้วก็ยิ้มออกมา คุณรู้สึกไหมว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ ?”
ซาร่าห์อ้าปากค้างเกือบจะเปล่งเสียงร้องออกมาเมื่อเห็นเขาหยิบเข็มปลายแหลมออกมาและแทงเข้าไปในใจกลางมือจนสุดเล่ม โจยิ้มทั้งที่ดวงตายังคงหลับอยู่ในใจก็ครุ่นคิดอยู่ว่าทำไมซาร่าห์ไม่ปิดม่านพรางแสงเสียทีนะ
เบนเนทหันไปมองซาร่าห์แล้วก็หันกลับมาหาโจอีกครั้ง
“ตอนนี้นะที่รัก ผมอยากให้คุณลองย้อนคิดไปถึงตัวเองเมื่อครั้งที่ยังเป็นเด็กอยู่.... ”
อีกสิบนาทีต่อมา ซาร่าห์พูดด้วยเสียงที่ไม่ต่างกว่าเสียงกระซิบกับเขาว่า
“คาร์ล ฉันคิดว่าเธอเป็นผู้รับการทดลองที่ดีที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมานะคะ”
เขาหันมาขมวดคิ้วใส่เธอ ขณะนี้ความสนใจทั้งมวลของเขากำลังมุ่งอยู่กับร่างที่ทอดกายอ่อนระทวยอยู่เบื้องหน้า
“ผมก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน” เขาตอบเสียงเบา “ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมโคเฮนถึงเข้าไม่ถึงเธอ นอกเสียจากว่า....” เขาพูดค้างไว้เพียงแค่นั้นมองร่างที่นอนสงบอยู่อย่างใช้ความคิด
“นอกจากอะไรคะ ?”
“นอกเสียจากเขาจะออกคำสั่งไว้ว่าเธอต้องจดจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ ซึ่งเขาต้องมีเหตุผลบางอย่างอยู่”เขาหันมามองโจอีกครั้ง “เอาละนะ โจ.... คนดีผมอยากให้คุณระลึกย้อนหลังไป...... ย้อนไปถึงเมื่อครั้งก่อนหน้าที่คุณจะเกิดมาเป็นคนในชาตินี้ กลับไปถึงเมื่อครั้งที่คุณยังวนเวียนอยู่ในความมืด ตอนที่วิญญาณของคุณล่องลอยอย่างเป็นอิสระ.....”
โจขยับตัวอย่างอึดอัด ศีรษะพลิกไปพลิกมาและแล้วก็นอนนิ่งเงียบไปอีก รับฟังคำพูดของเธอด้วยความว่างเปล่าในจิตใจ
“โจ ก่อนหน้าความมืดนั้น เมื่อครั้งที่คุณเคยเกิดมาในโลกนี้คุณพอจะจำเหตุการณ์ตอนนั้นได้บ้างไหม ? ตอนนั้นคุณเป็นใครอีกคนหนึ่ง อยู่ในอีกยุคสมัยหนึ่งคุณจำได้หรือเปล่า ? ถ้าจำได้พอจะเล่าให้ผมฟังหน่อยได้ไหมว่าคุณเห็นอะไรในช่วงนั้นบ้าง ?”
โจเปิดเปลือกตาขึ้น ดวงตาคู่นั้นแข็งค้างจ้องมองดูอะไรบางอย่างตรงท้าวแขนเก้าอี้
“มันมืดมาก....” เธอเอ่ยออกมาอย่างไม่แน่ใจ “มืดแล้วก็หนาวด้วย”
“คุณอยู่ในบ้านหรือว่านอกบ้านล่ะพอมองเห็นไหม ?” เบนเนทมองไปทางหน้าต่างด้วยสายตาเคร่งขรึมขณะนี้อากาศภายนอกกำลังมืดลงทุกขณะและสายฝนก็กำลังพร่างพรูลงมา เสียงฟ้าร้องครืนครางกระหึ่มขึ้นอีกครั้งเสียงโจเอ่ยต่อว่า
“มีต้นไม้มาก.... ที่นี่ต้นไม้แน่นไปหมด ฉันไม่ชอบป่าเลย”
“คุณรู้ไหมล่ะว่ามันเป็นป่าที่ไหน ?” เบนเนทเอ่ยถามขึ้นจับตามองหน้าเธออยู่อย่างสนใจ
“ไม่ทราบ”
“บอกหน่อยได้ไหมว่าคุณชื่ออะไร ?”
“ฉันไม่รู้” เธอขมวดคิ้วอย่างพิศวง” ฉันได้ยินเสียงใครคนหนึ่งเรียกฉันอยู่.... เขาเรียกฉันว่ามาทิลด้า.... หรือว่ามอลล์.... ฉันไม่รู้”
“คุณพอจะบอกอะไรเกี่ยวกับตัวคุณให้ผมฟังหน่อยได้ไหมมาทิลด้า บอกได้ไหมว่าคุณอยู่ที่ไหน ?”
โจขยับกายลุกขึ้นนั่งช้าๆ ดวงตาเหม่อมองไปในท่ามกลางความว่างเปล่า
“ฉันอยู่..... อยู่ไกลจากที่นี่มาก อยู่ในบริเวณภูเขา” เธอพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและแล้วก็สั่นศีรษะความไม่แน่ใจเกิดขึ้นอีกครั้ง “ภูเขาทั้งนั้นเลย มันเป็นภูเขาที่มืดครึ้มมีหมอกปกคลุมอยู่ ไม่เหมือนบ้าน” เธอยกข้อนิ้วขึ้นถูไถตรงลูกตาเหมือนเด็กๆ สีหน้าบอกความตื่นตระหนกตกใจ “ฉันไม่รู้ ฉันจำอะไรไม่ได้ ฉันอยากนอน” เธอทอดกายและปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง
“เล่าอะไรให้ผมฟังต่ออีกหน่อยสิมาทิลด้า” เบนเนทเร่งเร้าด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มนุ่มนวล “คุณกำลังทำอะไรอยู่?”
เงียบ.... ไม่มีคำตอบ
“คุณกำลังเดินอยู่ในป่าหรือว่าขี่ม้าอยู่ ?”
โจห่อไหล่ลงราวเหน็บหนาวแต่ไม่พูดอะไรออกมาเลย เบนเนทถอนใจออกมาเบาๆ
“เถอะนะ คนดี เออ..... ลองเล่าสิว่าคุณแต่งตัวสิแต่งตัวยังไง ? แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าชุดสวยงามมากใช่ไหม ?” เขากำลังเกลี้ยกล่อมเธออย่างสุดความสามารถ ก้มลงมองนาฬิกาข้อมือแล้วก็หันไปมองหน้าซาร่าห์ “น่าเสียดายจริงๆ ผมคิดว่าเราน่าจะได้อะไรบางอย่างจากการทดลองในครั้งนี้แล้วสิ คราวหน้าเราต้องใช้ความพยายามมากกว่านี้อีกสักหน่อย.... ” เสียงพูดของเขาค้างอยู่เพียงแค่นั้นเพราะเสียงโจร้องขึ้นอย่างตกใจ และตามมาด้วยคำพูดว่า
“เขาสั่งฉันมาว่าให้ลืมให้หมด แต่ฉันจะลืมมันได้ยังไงในเมื่อเหตุการณ์มันกำลังเกิดอยู่ต่อหน้าฉันในขณะนี้แล้ว....”