บทที่ 10
เวลาผ่านไปเป็นครู่ใหญ่คล้ายกับทุกคนกำลังต่อสู้กับความเคลื่อนไหวของตัวเองอยู่ แต่ในที่สุดผู้หญิงวัยกลางคนร่างใหญ่คนหนึ่งก็ผุดลุกขึ้นยืนมือถือถ้วยกาแฟไว้แน่นขณะเดินมาที่เก้าอี้และทรุดตัวนั่งลงตรงขอบ วอลตันผุดลุกขึ้นยืน
“คุณนายพอทเตอร์ใช่ไหมครับ ?.... คุณนายชื่อซาร่าห์ พอทเตอร์นั่นเอง เอาละครับทำใจให้สบายที่สุดเลยนะครับ” เขาลดน้ำเสียงลงเป็นทุ้มนุ่มนวลอีกครั้งและโจพบว่าตัวเองกำลังยืดร่างขึ้น สำนึกในใจบอกว่าเธอกำลังต่อต้านน้ำเสียงทุ้มหูนั้นอยู่ขณะที่เธอจับตามองดูผู้หญิงผู้ที่กำลังเอนหลังลงพึ่งพนักเก้าอี้พร้อมกับหลับตาลง วอลตันดึงถ้วยกาแฟออกจากมือของนาง และโดยที่ไม่มีการพูดจาอารัมภบท แต่อย่างใดเขาเริ่มนำนางเข้าสู่ภวังค์และให้ทบทวนความหลังไปถึงเมื่อครั้งที่ยังเป็นเด็ก
หลังจากมีท่าทีคล้ายลังเลอยู่เป็นครู่นางเริ่มตอบคำถามของเขา อธิบายภาพของเมื่อครั้งที่ยังเป็นเด็กนักเรียนด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปเหมือนเสียงของเด็กสาว ทิมเดินออกจากที่นั่งอย่างเงียบกริบย่องไปนั่งคุกเข่าลงเบื้องหน้าหล่อนพร้อมกับยกกล้องถ่ายรูปในมือขึ้น วอลตันไม่ได้ให้ความสนใจกับเขาเลยแม้แต่น้อย
“เอาละครับ ต่อไปนี้เราจะย้อนหลังกลับไปถึงเมื่อครั้งก่อนที่คุณนายเกิดมาในโลกนี้นะครับ ช่วยเล่าให้ผมฟังหน่อยสิครับว่าคุณเห็นอะไรบ้าง ?”
ความเงียบตกลงปกคลุมบรรยากาศภายในห้องไว้เป็นครู่
“ลองนึกย้อนกลับไปถึงช่วงเวลาก่อนหน้าที่คุณจะเกิดมาเป็นหนูน้อยซาร่าห์ แฟรี่นะครับช่วงเวลาก่อนหน้าที่มันผ่านมานานแสนนานแล้ว ครั้งก่อนที่คุณเคยเกิดมาในโลกนี้ก่อนหน้าซาร่าห์คนปัจจุบัน ช่วยบอกผมหน่อยสิครับว่าคุณเคยเป็นใครหรือเป็นอะไร ?”
“เบทสี... ” ชื่อนั้นหลุดจากปากออกมาช้าๆ ด้วยสีหน้าที่บอกความพิศวงและไม่แน่ใจ โจได้ยินเสียงผู้คนที่นั่งอยู่รอบกายถอนหายใจแรงพร้อมกัน เธอเองก็จับสมุดโน้ตที่วางอยู่บนเข่าไว้แน่นเข่าไว้แน่น จ้องมองหน้าหล่อนอย่างสนใจเต็มที่
“เบทสี.... เป็นใครกันล่ะครับ ?” วอลตันมิได้ละสายตาจากใบหน้าของนางเลย
“ไม่รู้ รู้แต่ว่าเป็นเบทสีเท่านั้น...... ”
“ค่ำวันนี้คุณโชคดีมากทีเดียวนะครับ” วอลตันมองหน้าทิมแล้วหันมามองทางโจ “ดื่มอะไรกันสักแก้วก่อนดีกว่า”
คนอื่นทยอยออกจากห้องกันไปหมดแล้ว เหลืออยู่แต่ทิมที่กำลังเก็บกล้องถ่ายรูปเข้าที่และโจที่นั่งคิดอะไรเงียบเพียงลำพังบนเก้าอี้ตัวเดิม “อย่างน้อยวันนี้เราก็มีผู้เข้ารับการทดลองที่ผ่านเข้าไปจนถึงอดีตชาติของตนเองได้แม้ว่ามันจะไม่ได้ให้อะไรที่น่าเชื่อแก่เราเท่าไหร่แต่ก็นับว่าไม่เลวทีเดียว” คำพูดของเขาทำให้โจต้องเงยหน้าขึ้นมองทันที
“คุณหมอว่ามันไม่ได้ให้อะไรที่น่าเชื่อกับเรามากนักอย่างนั้นหรือคะ? คุณหมอกำลังหมายความว่าจริงแล้วคุณหมอก็ไม่เชื่อเรื่องนี้เท่าไรใช่ไหมคะ ?”
เธอเห็นทิมขมวดคิ้วแต่วอลตันเพียงแต่ไหวไหล่เขาผสมเครื่องดื่มเสร็จทั้งสามแก้วแล้วและกำลังยื่นแก้วหนึ่งมาให้เธอ
“คุณคลิฟฝอร์ดครับ ผมกำลังพูดในฐานะของจิตแพทย์คนหนึ่ง คือผมอยากบอกคุณว่าการสะกดจิตนั่นมันเป็นเรื่องจริง การสนองตอบของผู้ที่เข้ารับการทดลองก็เป็นความจริง แต่ทว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้นไม่ได้เกิดเพราะผม ส่วนมาจากที่ไหนเป็นสิ่งที่ผมไม่อาจรู้ได้ มันคล้ายกับว่าใครก็ตามที่เขารับการทดลองเช่นนี้เขามีความรู้สึกนึกคิดมาล่วงหน้าแล้วว่าเขาสามารถระลึกถึงอดีตชาติของตนเองได้” ควงตาของเขามีแววท้าทาย
ทิมวางกล้องถ่ายรูปลงบนเก้าอี้และหยิบแก้วเครื่องดื่มของตนมาถือไว้
“ผมมีความรู้สึกว่าคนพวกนั้นตกอยู่ใต้อิทธิพลของอะไรบางอย่าง ยกตัวอย่างเช่นผู้หญิงคนที่บอกตัวเองเคยชื่อเบทสี ท่าทางของเธอเป็นผู้หญิงวัยกลางคนที่น่านับถือมากและเธอก็กล่าวชื่อนั้นออกมาเหมือนได้รับการกลั่นกรองมาแล้ว ผมอดสงสัยไม่ได้ว่านั่นเป็นความรู้สึกเก็บกดที่พยายามหาทางระบายออกมาหรือเปล่า” เขาหัวเราะด้วยน้ำเสียงสนุกสนาน วอลตันก็พยักหน้ารับ
“ผมเองเคยสงสัยในสิ่งที่คุณพูดบ่อยเหมือนกันนะแต่มันมีอยู่หลายครั้งเหมือนกันที่.... อย่างเช่นครั้งนี้ซึ่งคุณผู้เป็นนักข่าวทั้งสองคนได้มาเห็นด้วยตาของตนเองว่าทั้งคำพูดและกิริยาท่าทางที่แสดงออกมามันเป็นไปในลักษณะที่ไม่ได้มีการเตรียมตัวมาก่อนล่วงหน้าไม่ว่ารู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม ผมเคยพบคนที่พูดภาษาที่ตัวเองไม่เคยร่ำเรียนมา หรือไม่ก็เล่าเรื่องราวในประวัติศาสตร์อย่างละเอียดทั้งที่ตัวเองไม่เคยมีความรู้ในประวัติศาสตร์ตอนนั้นเลย” เขาส่ายหน้าไปมา “มันเป็นเรื่องน่าสนใจมากครับ”
โจยืนขึ้นในที่สุดและเดินไปหยุดอยู่หน้าตู้หนังสือสีหน้าเคร่งขรึม วอลตันจับตามองดูเธอ
“คุณทราบไหมครับคุณคลิฟฝอร์ดว่าคุณมีศักยภาพมากพอจะเป็นผู้เข้ารับการทดลองสะกดจิตอย่างดีได้คน หนึ่งทีเดียว”
“ฉันน่ะหรือคะ ?” เธอหันขวับมามองหน้าเขา “โอ! เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะฉันเคยรับการทดลองมาแล้วด้วยซ้ำเพียงแต่ว่ามันไม่เคยได้ผลเลย”
“ไม่จริงหรอกครับ แต่ที่เป็นอย่างนั้นเพราะคุณต่อต้านกับพลังนั้นไว้อย่างเต็มที่ต่างหาก คุณไม่เคยคิดบ้างเลยหรือครับว่าการที่คุณพยายามต่อต้านกับมันนั่นย่อมหมายความถึงอะไรบางอย่าง ? ผมน่ะจับตาดูคุณอยู่ตลอดเวลานะ เพราะฉะนั้นผมถึงแน่ใจไงล่ะครับว่าคุณเป็นผู้รับการทดลองที่จะให้อะไรดีๆ กับเราได้”
โจจ้องมองหน้าเขา รู้สึกหนาวเยือกเย็นขึ้นมาทั้งที่อากาศภายในห้องก็อบอุ่นสบายดี
“ฉันไม่คิดอย่างนั้นหรอกค่ะ ก็อย่างที่เล่าให้ฟังแล้วว่าตอนสมัยที่อยู่มหาวิทยาลัยเคยมีคนทดลองสะกดจิตกับฉันมาแล้ว แต่มันไม่ได้ผล”
เธอก้มลงมองแก้วที่ถืออยู่ในมือ บรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วยความเงียบและวอลตันก็จับตามองหน้า เธอตลอดเวลา
“คุณทำให้ผมแปลกใจมากทีเดียวครับ” เขาเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่ายหน้า “บางทีคนทีเขาเคยสะกดจิตให้คุณอาจไม่มีประสบการณ์มากก็ได้ แต่ถ้าคุณต่อต้านเช่นเดียวกับที่คุณได้ทำมาแล้วในวันนี้ ก็คงไม่มีใคร.... ”
“โอ ! แต่ว่าฉันไม่ได้ต่อต้านอะไรเลยนะคะ ฉันอยากให้มันเกิดขึ้นจะตาย” ทันใดเธอก็นึกถึงความตื่นเต้นและตื่นกลัวเมื่อครั้งที่เดินไปยังห้องทดลองของศาสตราจารย์โคเฮนขึ้นมา นึกถึงตอนที่ตัวเองต้องตอบคำถามเขาอย่างมากมายก่อนหน้าที่การทดลองจะเริ่มต้น นึกถึงการทอดกายลงนอนในเก้าอี้นวมด้วยอาการอันสงบ จับตามองดูแซมที่พลิกหน้ากระดาษในสมุดโน้ต ขณะที่ภายนอกกำลังมีหิมะโปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสาย....
เธอขมวดคิ้วย่น มันน่าแปลกอยู่มากที่รายละเอียดของยามบ่ายในวันนั้นไม่ได้ผ่านเข้ามาในความคิดของเธอเลยจนกระทั่งวันนี้ เธอมองเห็นภาพแซมในวันนั้นได้อย่างชัดเจน เขาใส่เสื้อสเวตเตอร์ปกตลบสีน้ำตาล มีสปอร์ตแจ๊คเก็ตสวมทับอยู่อีกชั้น พอได้รับการแนะนำให้รู้จักกันเธอก็นึกชอบเขาขึ้นมาทันที ท่าทางเยือกเย็นสุขุมของเขาตัดกับท่าทางเอางานเอาการของศาสตราจารย์โคเฮนอย่างชัดเจน และในตอนนั้นเองเธอเริ่มรู้สึกไว้วางใจในตัวเขา
ก็แล้วเพระเหตุใดตอนนี้เธอจึงมองเห็นภาพใบหน้าที่เคร่งขรึมของเขาขึ้นมาได้ ดวงตาของเขาเหมือนตื่นกลัวในอะไรบางอย่างอยู่และจ้องมองดูเธอจากในท่ามกลางความมืด และความทรงจำเกี่ยวกับความเจ็บปวดที่เคยได้รับนั่น....
เธอพยายามสลัดความคิดทั้งหมดให้พนไปจากใจยกแก้วในมือขึ้นจิบมองตอบวอลตัน
“เมื่อมาถึงวันนี้เหตุการณ์ครั้งนั้นมันก็ผ่านมาเกือบจะสิบห้าปีแล้วค่ะ ฉันลืมไปจนเกือบหมดแล้วว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง”
เขาเพียงแต่พยักหน้าช้าๆ แต่สายตายังไม่ละจากใบหน้าของเธออยู่ดี และแล้วก็เบือนไปเสียทางหนึ่ง
“ผมคิดว่ามันน่าสนใจนะถ้าเราทำการทดลองกันอีกสักครั้ง” เขากล่าวออกมาด้วยท่าทางใช้ความคิด “คุณอยากจะรับการทดลองบ้างไหมล่ะครับ ?”
“ไม่ค่ะ” โจตอบออกไปด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวกว่าตั้งใจจะให้เป็น “อย่างน้อยก็ยังไม่ใช่ตอนนี้หรอกนะคะบางทีเมื่องานค้นคว้าของฉันก้าวหน้าไปกว่านี้อีกสักหน่อย....” เสียงสัญญาณอันตรายเตือนขึ้นในสมอง ใบหน้าของแซมกลับมาปรากฎอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง ขณะเดียวกันเธอก็ได้ยินเสียงนิคก้องขึ้นในหู “มันยังมีอะไรบางอย่างที่คุณยังไม่รู้นะ อะไรบางอย่างที่คุณจำไม่ได้....”