สัญญา
“นายชื่ออะไร”
“อี้ตัน หวางจื่ออี้ตัน”น้ำหวานเบิกตากว้างดวงตากลมโตน่ามองหวางอี้ตันเผลออมยิ้ม
“นายเป็นต้นตระกูลหวาง นี่เอง”
“ตระกูลหวาง ที่นั่นคือบ้านของข้า ข้าอยู่ที่นั่นและถูกขังอยู่ในโถรอดูการเปลี่ยนแปลงถึง600กว่าปีจนกระทั่งเจ้าเปิดโถ”
“เข้าใจแล้วพรุ่งนี้เราไปรื้อ ดูหนังสือพระราชประวัติของหวางจื่ออี้ตัน”หวางอี้ตันชี้มือเข้าหาตัวเอง
“ข้ามีประวัติด้วยหรือ”
“ต้องมีสิก็นายเป็นถึงหวางจื่อ ต้องมีการบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับนายไว้บ้างไม่มากก็น้อย”
“แล้วถ้าไม่มีเล่า”
“ทำไมถึงไม่มี”
“ข้าไม่ได้สำคัญขนาดนั้น”
วังหลวงแคว้นเหยี่ยน
“องค์ชายห้าปีนี้อายุครบยี่สิบปี ฝ่าบาทประทานของขัวญเป็น คันศรทองคำ เครื่องบรรณาการล่ำค่า”
เสียงขันทีประกาศก้อง เจียงเฟยถอนหายใจยาวเหยียดตำแหน่งไท่จือที่คาดหวังกับไม่ได้ดั่งใจ หวางอี้ตันเพียงแต่รู้สึกว่าของขัวญที่ฮ่องเต้มอบให้ในปีนี้เหมือนจะบอกเป็นนัยๆ ว่าให้เขาหมั่นฝึกฝน
“555 เดิมข้านึกว่าเสด็จพ่อจะประทานตำแหน่งไท่จือให้เจ้าห้า แต่กลับไม่เอ่ยปากเรื่องสำคัญนี้”หวางอี้จื้อหัวเราะชอบใจ
“พี่ใหญ่ ข้าเห็นว่าเสด็จพ่อ คงมีผู้ใดไว้ในใจนานแล้ว เดิมเราต่างคิดกันว่าเป็นเจ้าห้าอี้ตันแต่ตอนนี้เจ้าห้าเพียงแค่ได้คันศรทองคำก็ดีใจมากแล้ว555”
เสียงหัวเราะครื่นเครงคนที่หัวเราะไม่ออกคือเจียงเฟยมารดาของหวางอี้ตัน และเสี่ยวปาที่ยืนกำหมัดแน่น หวางอี้ตันเพียงแค่ทำท่าทีสงสัยแต่ไม่เอ่ยปากถาม ใครจะไม่รู้บ้างว่าอี้ตันเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้แค่ไหน ที่คาดหวังกันไว้วันนี้จึงกลายเป็นเพียงความคาดหวัง
“อี้ตัน ฮ่องเต้มอบคันศรทองข้ามอบลูกดอกให้เจ้าจะดีไม่น้อย” ไทเฮายื่นลูกดอกสีทองให้กับ หวางอี้ตัน
“ไทเฮาของมีคม ไม่นิยมมอบให้ในวันเกิด”
เจียงเฟยทักท้วง ไทเฮายิ้มบางๆ
“มีคันศรไม่มีลูกศรจะใช้อะไรได้”
หวางอี้ตันยิ้ม เกรงว่าไทเฮาจะทรงกริ้วมารดารีบกลบเกลื่อนเสียทันที
“ลูกถูกใจลูกดอกอันนี้มากท่านแม่ ช่างเหมาะเจาะกับคันศรทองไม่น้อย”
เจียงเฟยยิ้มบางๆ หวางอี้ตันประครองคันศรและลูกศรอย่างถนุถนอม
“หวางอี้ตัน ขอบพระทัยเสด็จย่า”
“ในบรรดาของขัวญวันเกิดที่ข้าได้มาต้องมีสักอย่างสิ ที่ทำให้ข้าสิ้นลม”
“นอน”
น้ำหวานพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าอีกคนเดินวนไปวนมาเป็นวงกลมอย่างใช้ความคิดในห้องพักคับแคบตามแบบของคนในปักกิ่ง
หวางอี้ตันทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟานุ่ม ก่อนจะเอนกายลงนอนนานแค่ไหนแล้วที่ไม่รู้สึกง่วงนอน พิศมองใบหน้าสวยใส เขากับนางมีวาสนาต่อกันเช่นนั้นหรือ ด้ายสีขาวที่ข้อมือเปล่งประกายหลับตาลงในนิทราหลับใหล แต่คนทั้งสองหามองเห็นไม่
เช้าสดใส หวางจื่ออี้ตันบิดขี้เกียจ บนโซฟานุ่ม เครื่องนอนของสมัยนี้ช่างนุ่ม สบายผิดกับแท่นนอนในสมัยของเขาเหลือบตามองน้ำหวานที่หลับตาพริ้มกอดผ้าห่มไว้แน่นขนตางอนงามน่ามอง ดวงตายามหลับไม่มีแววสดใสขี้เล่น มองไล่ลงมาที่ ริมฝีปากสีชมพูระเรื่ออวบอิ่มหยักโค้งได้รูป
“งดงาม”เผลอพูดออกมาเบาๆ น้ำหวานบิดขี้เกียจไปมา
“หวางจื่อ ตื่นแล้วหรือ”
“ข้าหาใช่ลูกของเจ้าห้ามเรียกข้าว่าหวางจื่อ”
จับความเขินอายในน้ำเสียงนั้นได้
“เอ ก็จำชื่อไม่ได้ชื่ออะไรน้าาา”
“อี้ตัน”น้ำหวานอมยิ้ม ใบหน้าของอีกคนยาม งอนนน..นี่น่ารักชะมัด
“นายอายุเท่าไหร่”
“20 ขวบปี”
“อิอิ หน้าอ่อนจังฉันอายุ19ปีสิ้นปีนี้ก็จะ20พอดี”
“เช่นนั้นเจ้าต้องเรียกข้าว่า เกอเกอ”
“ไม่มีไม่มีทาง ห่างกันไม่ถึงปี” หวางอี้ตันส่ายหน้าไปมา
“หากอยู่ที่นั่นเจ้าต้องถูกจับไปฝึกระเบียบการพูดจาและกิริยาเสียใหม่”น้ำหวานถอนหายใจ
“สมัยนี้ ผู้หญิงกับผู้ชายเท่าเทียมกัน”อี้ตันทำสีหน้างงงวย
“เท่าเทียมก็เช่น นายชมฉันว่างดงามฉันก็ชมนายว่า ...หน้าตาดี”
อี้ตันอมยิ้ม แต่แววตาเขินอายเมื่อไม่เคยถูกหญิงใดกล่าวชมมาก่อน
“แล้วชอบไหม”น้ำหวานตาโตกับคำพูดซื่อๆ นั้น
“ชอบอะไร”
พูดเสียงดังกลบเกลื่อน อีกคนยิ้มยียวน
“ชอบที่ชมอย่างไรเล่า”ถามยิ้มๆ ดวงตาเป็นประกาย
“จะบ้าหรือใครบ้างจะไม่ชอบ”
น้ำหวานชงกาแฟและปิ้งขนมปังทาแยมกับทอดไส้กรอก ที่ซื้อมาเก็บไว้ในตู้เย็นใบเล็กในห้องคับแคบ หวางอี้ตันกลืนน้ำลายลงคอเมื่อได้กลิ่นหอมของอาหารเช้า ป่านนี้เสี่ยวปาจะหิวหรือยัง ว่าแต่ทำไมเขารู้สึกหิวมากขนาดนี้หรือเป็นเพราะไม่เคยได้กินมา600กว่าปีแล้ว น้ำหวานยกจานอาหารเช้ามาวางตรงหน้าหวางอี้ตัน และสำหรับน้ำหวานอีกหนึ่งจาน
“กินเป็นไหม”