ตอนที่ 3/3
ส่วนอคาเชฟก็นั่งก้มหน้ามองมือของตนเองพร้อมกับพึมำพเบาๆ “ทำอย่างไรข้าถึงจะได้เจ้ามาครอบครอง”
ครูต่อมาทหารองครักษ์ก็เข้ามากราบทูลองค์ฟาโรห์และพระอนุชาที่ห้องทรงพระอักษร ว่ามีใครรู้จักพวกนาง พวกนางรำเองก็ไม่เคยเห็นพวกนางมาก่อนเช่นกัน
“ไม่มีผู้ใดเคยเห็นหรือรู้จักพวกนางเลยพระเจ้าค่ะ พวกเกล้ากระหม่อมตามหาทุกที่แล้วพระเจ้าค่ะ ไร้วี่แววพระเจ้าค่ะ” ฟาโรห์หนุ่มทรุดนั่งลงกับเก้าอี้แล้วถอนใจ
ข้าราชบริพารเห็นท่าทางกระวนกระวายใจของทั้งสององค์แล้วก็ส่ายหน้าเพราะไม่รู้จะช่วยองค์เหนือหัวของพวกเขาอย่างไร คงมีแต่แม่ทัพกาซัสที่นั่งนิ่งเงียบ เขาจะพูดได้อย่างไรว่าพวกนางเป็นบุตรสาวของเขา ถ้าเกิดรู้มีหวังบ้านเขาพังแน่ๆ ‘ลูกหนอลูกทำอะไรไม่ปรึกษาเลย’ แม่ทัพคิดต่อว่าลูกสาวบุญธรรมในใจพร้อมกับถอนใจเบาๆ
แล้วในขณะนั้นเองราชองครักษ์หนุ่มขององค์ฟาโรห์ก็เดินเข้ามาโค้งต่ำลง แล้วรายงาน “ฝ่าบาทพระเจ้าค่ะ มีชาวต่างแดนเดินทางมาขอเจริญสัมพันธไมตรีกับอียิปต์ของเราพระเจ้าค่ะ พระองค์จะทรงให้เข้าเฝ้าหรือไม่พระเจ้าค่ะ”
“เจ้าให้นางกำนัลไปจัดเตรียมห้องพักให้เขาก่อน พรุ่งนี้ค่อยให้เข้าพบข้า ตอนนี้ข้าไม่มีจิตใจจะทำอะไรทั้งสิ้น” ตอนนี้จิตใจพระองค์ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเอาเสียเลย ไม่อยากเจอใครทั้งนั้นแม้แต่สนมของพระองค์
“พระเจ้าค่ะ” ซาฮัสรับคำแล้วจึงทูลาออกไป
“ข้าขอตัวกลับตำหนักก่อนนะท่านพี่” เจ้าชายอคาเชฟลุกขึ้นโค้งต่ำให้พระเชษฐาก่อนจะเสด็จออกไป
ฟาโรห์อคาเมฟิสเองก็ทรงนั่งหลับพระเนตร จากนั้นก็โบกพระหัตถ์ให้เหล่าข้าราชบริพารออกไปให้หมด ดังนั้นทุกคนจึงทยอยกันออกมาจากห้อง
“ข้าจะตามตัวเจ้ามาอยู่เคียงข้างข้าให้จงได้” ทรงลืมพระเนตรแล้วทอดเนตรออกไปนอกหน้าต่างอย่างไรจุดหมาย
ท้องพระโรงใหญ่
“กษัตริย์ของพวกเกล้ากระหม่อมทรงได้ยินกิตติศัพท์ของพระองค์มานานแล้ว จึงให้พวกเกล้ากระหม่อมนำของมาถวายพระเจ้าค่ะ ”หัวหน้าราชทูตหยิบกล่องกำมะยี่สีแดงส่งให้องครักษ์เพื่อนำไปถวายองค์ฟาโรห์
“เป็นสร้อย และกำไล เหมาะที่จะให้กับองค์ราชินีพระเจ้าค่ะ” หัวหน้าราชทูตพูดเหมือนเหน็บพระองค์ ทำให้พระพักตร์บึ่งตึงขึ้นมาทันที พระองค์มีแต่เหล่าสนม และพวกนางก็ไม่มีใครมีวี่แววว่าจะตั้งท้องแม้แต่คนเดียว พระองค์เคยตรัสไว้แล้ว ว่าถ้านางใดมีโอรสหรือธิดาให้จะทรงแต่งตั้งเป็นราชินีคู่บัลลังก์
“ข้าจะรับไว้ เพื่อให้ราชินีของข้าในอนาคต ฝากกราบทูลราชาของท่านด้วยว่าเราขอบคุณมาก สองเมืองเราจะเป็นมิตรต่อกัน”ทรงระงับโทสะเอาไว้
“พระเจ้าค่ะ แต่ข้าพระองค์ยังมีเสื้อผ้า เครื่องประดับอีกมากมายให้กับเหล่าพระสนมของทั้งสองพระองค์ด้วยพระเจ้าค่ะ”
“ขอบใจท่านมาก เอาเป็นว่าท่านกลับที่พักไปก่อน วันนี้ข้ามีราชกิจอีกมากที่ต้องจัดการ แล้วในวันพรุ่งนี้ข้าจะให้ท่านเข้าพบอีกครั้ง”
“พระเจ้าค่ะ” ราชทูตสูงวัยอมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะลุกเดินออกไปพร้อมกับคณะของตนเอง
ส่วนองค์ฟาโรห์ก็ว่าราชกิจต่อ เมื่อเสร็จจากการว่าราชการก็เสด็จไปหาพระสนมเอซาน่า
“เอซาน่า เจ้ามานั่งที่นี่เถอะ”พระสนมเอซาน่าเสด็จมาประทับลงข้างๆ แต่พระองค์กลับดึงให้ลงไปนั่งบนตักของพระองค์แทน
“เจ้าสนใจข้าบางซิ เห็นเจ้าทำอะไรอยู่ตั้งนานไม่เบื่อหรือไง” ฟาโรห์หนุ่มรับสั่งอย่างน้อยพระทัย เอซาน่าส่ายหน้าและมิได้พูดสิ่งใด เหล่านางกำนัลรู้ทันทีว่าพวกนางต้องออกไปได้แล้ว อรสารู้สึกใจหายวูบ เมื่อนึกถึงจูบอันแสนหวานในครั้งนั้น กาญวดีรู้สึกว่าเพื่อนรุ่นพี่มีท่าทีแปลกๆ ไปแต่ก็ไม่ได้ถามอะไร เธอภาวนาขออย่าให้เป็นอย่างที่เธอคิดเลย
“พี่อรมานั่งทำอะไรที่นี่คะ” กาญวดีหรี่ตาลงเล็กน้อยเมื่อออกมาจากตำหนักของพระสนมเอซาน่า
“เปล่านี่ พี่แค่คิดถึงบ้าน” อรสาตอบกลับน้องสาวไปโดยที่ไม่หันมามองหน้า
“กาญไม่เชื่อหรอกว่าคิดถึงบ้าน พี่อร...กาญถามอะไรสักอย่างได้ไหมคะ”
“ว่ามาซิ ถ้าพี่ตอบได้พี่ก็จะตอบจ้ะ”
“พี่หลงรักองค์ฟาโรห์เข้าแล้วใช่ไหมคะ”
อรสาพูดไม่ออกจริงๆ ไม่รู้จะตอบน้องสาวว่าอย่างไร ในเมื่อมันเป็นความจริง ก็องค์ฟาโรห์เสด็จมาหาพระสนมทุกวัน เธอจึงได้เจอพระองค์ทุกวัน แล้วหวนกลับไปคิดถึงวันที่จัดงานเลี้ยงต้อนรับองค์หญิงแห่งลิเบียอยู่ร่ำไป
“เฮ้อ...ไม่ตอบแสดงว่าจริง” อรสาได้แต่พยักหน้ารับ น้องสาวจึงโอบไหล่เอาไว้เพื่อปลอบใจ
“พระองค์อยู่สูงเกินกว่าคนสามัญชนอย่างเราจะเอื้อมถึง” น้ำตาของอรสาไหลมาโดยไม่รู้ตัว เธอต้องตัดใจให้ได้เพราะพระองค์เป็นคนละภพกันกับนาง เมื่อถึงเวลาที่ต้องกลับนางจะได้ไม่เจ็บปวดใจ