บทที่ 6 ขโมยกินบะหมี่
ณ วังเย็น
เฟิ่งเฉี่ยนหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบบะหมี่ใส่ปาก เป็นบะหมี่ที่นางถือติดมือมาด้วยจากห้องพระเครื่องต้น
“เอ๋? บะหมี่นี้รสชาติไม่เลว!” เมื่อนำบะหมี่เข้าปาก เฟิ่งเฉี่ยนก็ตกตะลึง เคี้ยวพลางเอ่ยชมไม่หยุดปาก “รสชาติอาจเรียกว่าเป็นชั้นยอดไม่ได้ แต่เมื่อกลืนลงคอกลับสัมผัสได้ถึงพลังภายในที่พลุ่งพล่าน รู้สึกโล่งตัว ทำให้อารมณ์ดีไม่น้อย ประหลาดจริง แปลกมากๆ !”
พูดชมไปกินไป ใช้เวลาไม่นานก็กินบะหมี่ชามใหญ่จนหมด
จื่อซูเดินตรงเข้ามา มองไปที่ชามบะหมี่จากนั้นหน้าเปลี่ยนสี “แย่แล้ว! นี่คือบะหมี่ของกษัตริย์!”
“มีอะไรพิเศษหรือ?” เฟิ่งเฉี่ยนไม่ได้ใส่ใจ
จื่อซูทำหน้าเศร้าหมองลง “พระกระยาหารของกษัตริย์ล้วนเป็นฝีมือของใต้เท้าซุนกุ๊กทิพย์ระดับสาม ใช้วัตถุดิบต่างๆ อย่างคัดสรร ทำออกมาเป็นอาหารทิพย์! ในราชวังแห่งนี้มีเพียงกษัตริย์ที่เสวยได้!”
“กุ๊กทิพย์ระดับสาม?” เฟิ่งเฉี่ยนพยายามนึกย้อนความทรงจำของตน จากนั้นจึงพอมีความเข้าในระบบของทวีปหลิงหยุนคร่าวๆ
ทวีปหลิงหยุนมีความโดดเด่นด้านบู๊ นับถือผู้แข็งแกร่งกว่า ส่วนมากทำอาชีพเป็นนักบู๊ทิพย์และนักเวทย์ ความแข็งแกร่งของนักบู๊ทิพย์สามารถเปิดภูเขาถมทะเลได้ ส่วนความสามารถของนักเวทย์สามารถเผาเมืองทําลายแคว้นได้เลยทีเดียว แต่หลังจากสงครามเมื่อร้อยปีก่อน อาชีพนักเวทย์ได้หายไปจากทวีปหลิงหยุนแต่ถึงแม้ทั้งสองอาชีพนี้จะเก่งกาจเพียงไร ก็ไม่สามารถเทียบได้กับกุ๊กทิพย์ เพราะกุ๊กทิพย์สามารถเรียกอสูรสวรรค์ได้!
เมื่อหนึ่งพันปีก่อน ทวีปหลิงหยุนเคยปรากฏกุ๊กทิพย์ระดับจักรพรรดิขึ้นคนหนึ่ง ร่วมมือกับจักรพรรดิพันปีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทวีปหลิงหยุน เรียกอสูรสวรรค์ออกมา ทําลายอีกตระกูลที่พยายามเข้ายึดครองหลิงหยุนสำเร็จ และรักษาทวีปหลิงหยุนเอาไว้ได้ เรื่องนี้ถูกเล่าขานมานานนับพันปี ดังนั้นอาชีพกุ๊กทิพย์จึงเป็นที่ต้องการของทุกคนและได้รับความนิยมอย่างมากในทวีปหลิงหยุน!
กุ๊กทิพย์นำแก่นแท้ของวัตถุดิบมาทำเป็นอาหารเลิศรส คนที่กินมันเข้าไปไม่เพียงแต่ทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นเท่านั้น แต่ยังเสริมประสิทธิภาพการต่อสู้ได้อีกด้วย กุ๊กทิพย์จะใช้ทักษะการทำอาหารของตนในการพัฒนาการบำเพ็ญตน เมื่อถึงจุดจุดหนึ่ง จะสามารถอัญเชิญอสูรสวรรค์ได้ สามารถเรียกลมเรียกฝน ทำลายสวรรค์และโลกาได้!
แต่เรื่องพวกนี้ห่างไกลกับเฟิ่งเฉี่ยนเหลือเกิน นับแต่เล็กนางก็เป็นคนที่ถูกกำหนดไว้แล้วว่าไม่มีพรสวรรค์ด้านนี้ ดังนั้นจึงไม่มีโอกาสได้เป็นกุ๊กทิพย์ได้เลย ชะตาของนางคือการแต่งงานมีลูก อบรมสั่งสอนลูกๆ ให้ดีเท่านั้น
ทว่าตัวเฟิ่งเฉี่ยนตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป นางรู้ถึงความสำคัญของความสามารถ หากไร้ความสามารถ ก็ทำได้เพียงนั่งรอผู้อื่นมาเชือด หากมีความสามารถโดดเด่น จึงจะอยู่เหนือผู้คนทั้งหลายและมีอิสระ!
นางจดจำอาชีพทั้งสามนี้ไว้ในใจ หากวันใดมีโอกาส นางจะเรียนรู้ฝึกฝนให้ได้!
จื่อซูกระสับกระส่าย พูดขึ้นอย่างรีบร้อนใจว่า “ทำเช่นไร? หากฝ่าบาททราบว่าท่านกินบะหมี่ของเขาไป คงต้องลงโทษอย่างหนักแน่นอน!”
“กลัวอะไร? เขาจะสังหารข้าหรือ?”
ในฐานะเฟิ่งเฉี่ยน นางถูกส่งมายังตำหนักเย็น มีอะไรแย่กว่านี้อีกหรือ?
ณ ห้องทรงพระอักษร
ซวนหยวนเช่อนั่งเอนกายอยู่ตรงเตียงนุ่ม ดูเหมือนอ่อนเพลียเล็กน้อย ดวงตาหลับสนิท ตรงหน้าของเขามีหนังสือที่รอการตรวจอยู่กองหนึ่ง ผิวพรรณขาวผ่องดุจดังหิมะเนียนนุ่ม ริมฝีปากเรียวบาง คิ้วได้รูป เป็นใบหน้าแสดงถึงความเป็นผู้นำ แต่หางตากลับยกขึ้นเล็กน้อย สัญลักษณ์เช่นนี้คือผู้รักเดียวใจเดียว คนที่มีโหงวเฮ้งเช่นนี้อาจจะไม่รักใคร แต่หากมีความรักแล้วจะรักเดียวใจเดียวไม่เสื่อมคลาย……
ลั่วหยิ่ง เดินเข้าไปช้าๆ ด้วยฝีก้าวอันบางเบา ลังเลว่าจะปลุกเขาให้ตื่นดีหรือไม่ ทันใดนั้นซวนหยวนเช่อก็พูดขึ้นทั้งที่ยังหลับตาว่า “มีเรื่องใด?"
ลั่วหยิ่งโค้งกาย "ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ หวางโฮ่วเดินทางออกจากวังเย็นโดยพลการ ไปหาเรื่องโวยวายที่ห้องพระต้นเครื่อง ลงไม้ลงมือกับหลี่มามาและยังโต้เถียงกับไทเฮา ได้ยินบ่าวรับใช้กล่าวว่าไทเฮาเกือบเป็นลมไปด้วยความโมโห เมื่อกลับไปถึงตำหนักก็ได้รีบเชิญหมอหลวงมาดูพระอาการ......"
ซวนหยวนเช่อลืมตาขึ้นช้าๆ แววตาแสดงถึงความเบื่อหน่าย “นับแต่นี้เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ไม่ต้องมาบอก ......มีเรื่องใดอีกหรือไม่?"
ลั่วหยิ่งชะงักลงแล้วอดไม่ได้ที่จะกล่าวขึ้นว่า “ทางด้านองค์หญิงหลานซิน บัดนี้มีผู้มีวิทยายุทธสูงส่งปรากฏตัวขึ้นเสมอ เกรงว่าจะมีการลงมือเคลื่อนไหว
"จับตามองเอาไว้! เก็บนางเอาไว้ยังใช้ประโยชน์ได้!” น้ำเสียงของเขาดูเยือกเย็น
“พ่ะย่ะค่ะ" ลั่วหยิ่งลังเลเล็กน้อย ดูเหมือนมีคำพูดอยากจะรายงาน
คิ้วอันได้รูปเสมือนดาบคมของซวนหยวนเช่อเลิกขึ้นเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามว่า "ทำไมกัน? มีเรื่องอื่นอีกงั้นหรือ?"
ลั่วหยิ่งตอบกลับว่า “ห้องพระต้นเครื่องรายงานมาว่า บะหมี่ที่กุ๊กทิพย์ซุนลงมือทำถวายฝ่าบาทถูกคนขโมยไป พวกเขาสงสัยว่าเป็นหวางโฮ่ว......"
ดวงตาอันเยือกเย็นของซวนหยวนเช่อ กล่าวด้วยความเย็นจนถึงที่สุด “ส่งคนไปล้อมรอบวังเย็นเอาไว้ อย่าให้ใครเข้าออกได้! และลงโทษคนในห้องพระต้นเครื่องทุกคน หักเบี้ยเป็นจำนวน 3 เดือน หากมีข้อผิดพลาดเช่นนี้เกิดขึ้นอีก จะใช้การลงโทษรุนแรง!"
“พ่ะย่ะค่ะ" ลั่วหยิ่งรับคำแล้วรีบออกไปทันที