บทย่อ
ว่าข้ายโสโอหัง?งั้นข้าจะจัดให้สักสิบฉาด! ถูกเย็นชาใส่?นั่นมันอ๋องขี้หึงตัวพ่อเชียวนะ! นักฆ่าลอบสังหารกำลังมาเยือน?ข้าจะตบมันให้คว่ำซะเลย! เฟิ่งเฉี่ยนเป็นถึงนักฆ่าอัจฉริยะศตวรรษที่ 21 การข้ามภพคราหนึ่ง กลับกลายเป็นฮองเฮาตัวร้ายเผด็จการ ถูกฮ่องเต้เมินใส่ ไม่สนใจไยดี? นางมีสามีไร้ค่าที่หล่อเทห์สุดๆ และลูกน้อยอัจฉริยะที่น่ารักเกินห้ามใจ นอกจากนี้ยังมีระบบราชากุ๊กที่จับรางวัลก็จะได้อุปกรณ์ครัวหนึ่งอย่าง มาดูกันว่านางจะใช้ฝีมือทำครัว พิชิดใจชายรูปงาม ครองตำแหน่งนางใน เดินทางไปถึงจุดสูงสุดของชีวิตได้ยังไง!
บทที่ 1 ได้สามีมาฟรีๆ
เฟิ่งเฉี่ยนนั่งอยู่ในศาลาริมแม่น้ำ แววตาเหม่อลอยมองไปยังใบหน้าอันไม่คุ้นเคยซึ่งนั่งอยู่ในศาลาแห่งนี้ ศีรษะของนางปวดร้าวเป็นระยะๆ
“ฝ่าบาท แคว้นหนานเยียนของเราแสดงถึงความเป็นมิตรไมตรีด้วยการส่งองค์หญิงหลานซินมาร่วมปรองดองเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่องค์หญิงเสด็จวังมาได้ยังไม่ถึงวัน ก็ต้องพบกับความน่าอดสูเช่นนี้ ไม่ทราบว่าฝ่าบาทจะชี้แจงเรื่องนี้อย่างไร?" เป็นขุนนางต่างแคว้นกำลังสอบถามอยู่
ข้างกายของเขามีผู้หญิงใส่ชุดในราชวังนั่งทำท่าทีน่าสงสารอยู่คนหนึ่ง ใบหน้าอันงดงามของนางมีรอยนิ้วที่เห็นได้ชัด มองไปดูน่าเห็นใจ
พวกเขาแสดงละครอะไรกันอยู่? เหมือนจริงมากๆ !
การแต่งหน้าของนักแสดงสาวก็สมจริง เหมือนถูกตบจนเป็นรอยนิ้วมือจริงๆ เลย!
ต้องถ่ายละครกันอยู่แน่ๆ !
เมื่อคิดได้ดังนี้ มุมปากของเฟิ่งเฉี่ยนก็เผยอยิ้มขึ้น จู่ๆ นางก็หน้าร้อนวูบ เมื่อเงยขึ้นก็เห็นแววตาดุดันกำลังจ้องมา
ขุนนางต่างแคว้นคนนั้นทำสีหน้าโมโห แล้วตะโกนขึ้นว่า "หากฝ่าบาทไม่อาจให้คำตอบที่พึงพอใจได้ เช่นนั้นหนานเยียนของเราจะยกทัพมาโจมตีเป่ยเยียน เพื่อล้างความอัปยศอดสูนี้ให้แก่องค์หญิง!”
เฟิ่งเฉี่ยนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เอ๋ นี่ดูเหมือนไม่ใช่การแสดงละคร แต่เป็นเรื่องจริง!
นาง......ย้อนเวลามายุคนี้จริงๆ !
จู่ๆ เฟิ่งเฉี่ยนก็รู้สึกเวียนหัวจะเป็นลม ความทรงจำของใครอีกคนหลั่งไหลเข้ามาในสมองของ นางชะงักลงแล้วตระหนักได้ว่า ที่แท้ตนก็คือหวางโฮ่วเฟิ่งเฉี่ยน......ซึ่งพวกเขากำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่นั่นเอง!
สายตาเหลือบมองไปยังชายผู้สวมชุดสีเหลืองยาวลวดลายมังกรนั่งอยู่ด้านข้าง เขาสวมมงกุฎไว้บนศีรษะ ที่เอวมีป้ายหยกห้อยเอาไว้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแสงสีหรืออย่างไร มองไปทำให้รู้สึกว่าเขาช่างหล่อเหลามีเสน่ห์ เฟิ่งเฉี่ยนสัมผัสได้ถึงประกายแวววาวบนร่างของเขา ทำให้แสบตาจนแทบไม่กล้ามอง
เขานั่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อนด้วยท่าทีสง่า แต่ใบหน้าอันเคร่งขรึมและรังสีอำมหิตที่แผ่ซ่านออกมา ให้ความรู้สึกถึงผู้มีอำนาจล้นฟ้า ผู้รวบรวมใต้หล้าซึ่งไม่มีใครกล้าขัดเขา......
เพียงนั่งอยู่ข้างกาย ก็สัมผัสได้ราวกับอยู่ข้างภูเขาน้ำแข็ง ความเย็นแผ่ซ่านเข้ามาในรูขุมขน อึดอัดหน้าอกแทบหายใจไม่ออก
เขาก็คือซวนหยวนเช่อ กษัตริย์แห่งแคว้นเป่ยเยียน!
ซึ่งตำนานเล่าว่า เขาขึ้นครองราชย์ตั้งแต่อายุ 16 ปี เป็นกษัตริย์ที่อายุน้อยและมีชื่อเสียงที่สุดในแคว้นเป่ยเยียนแห่งประวัติศาสตร์!
เฟิ่งเฉี่ยนพูดไม่ออก นางไม่เพียงทะลุมิติย้อนเวลากลับมา ซ้ำยังได้สามีมาโดยไม่ต้องออกแรง!
ไม่รอให้ซวนหยวนเช่อเอ่ยตอบ สตรีวัยกลางคนท่าทางสง่างามที่นั่งอยู่ข้างกายของชายหนุ่มได้เอ่ยขึ้นก่อนว่า "ท่านทูตอย่าเพิ่งโมโหไป หวางโฮ่วไม่รู้จักขอบเขตของตน ทำให้องค์หญิงหลานวินต้องรู้สึกน้อยใจ เรื่องนี้ข้าจะจัดการอย่างยุติธรรม !”
เมื่อได้ยินดังนั้น ขุนนางต่างแคว้นก็เผยสีหน้าอันเย่อหยิ่งออกมา “เช่นนั้นก็ดี ฝ่าบาทและไทเฮาได้โปรดจัดการอย่างยุติธรรมเถิด มิเช่นนั้นสองแคว้นเราคงต้องใช้ทหารในการคลี่คลายปัญหา!”
ไทเฮาหันไปมองซวนหยวนเช่อ แววตาและน้ำเสียงกดดันเล็กน้อย "ลูกคิดเห็นว่าอย่างไร?"
ซวนหยวนเช่อนิ่งเงียบไปสักพัก ใบหน้าอันหล่อเหลาไร้ที่ติดังรูปปั้นของเขาหันไปทางเฟิ่งเฉี่ยน แววตาเย็นชาเหลือบมองกล่าวว่า “หวางโฮ่ว เจ้ายอมรับความผิดของตนหรือไม่?"
เฟิ่งเฉี่ยนเงยหน้าขึ้นมอง เห็นแววตาอันลึกล้ำและเย็นชาดุจดังน้ำค้างแข็งแทงทะลุเข้ามาในหัวใจ นางก็สั่นคลอนเล็กน้อยแล้วเกิดความระแวดระวังขึ้นทันที
ชายผู้นี้ ออร่าแข็งแกร่งเหลือเกิน!
ในความทรงจำของนาง ตนเคยพบกับชายที่มีออร่าแข็งแกร่งนั่นก็คือลั่วปิง ศิษย์พี่หมอเทวดาของนาง ในตอนนั้นนางได้เข้าไปขัดผลประโยชน์ของผู้มีอำนาจด้านการเมืองคนหนึ่ง พวกเขาได้ส่งมือสังหารมาเอาชีวิตนาง ศิษย์พี่คนนั้นใช้เข็มเพียงเล่มเดียวต่อสู้กับมือสังหาร ทำเอาเสียพวกเขาฉี่เล็ดราด มือสังหารเหล่านั้นเกิดความหวาดกลัวจึงไม่มีใครกล้ารับงานจากผู้มีอำนาจคนนั้นอีก!
วินาทีนั้นนางรู้สึกว่าศิษย์พี่เก่งมาก!
และชายผู้อยู่ตรงหน้านี้มีออร่าเหมือนกับศิษย์พี่ของตนเลย......
สติสัมปชัญญะบอกกับนางว่าผู้ชายคนนี้อันตรายมาก!
แต่ในฐานะของมือสังหารจิ้งจอกสาวอันดับหนึ่งระดับโลก คนอันตรายเช่นใดบ้างที่นางไม่เคยพบเจอ แล้วจะให้กลัวเขาหรือ?
ขณะที่กำลังครุ่นคิดถึงคำตอบ บ่าวรับใช้ข้างกายก็คุกเข่าลงดัง “ตุ๊บ” นางคุกเข่าก้มศีรษะโขกพื้น “ฝ่าบาทเพคะ เหนียงเหนียงเพียงแค่พลาดพลั้ง นางไม่ได้ตั้งใจ! อีกอย่างเหนียงเหนียงเพิ่งจะฟื้นขึ้นมา เกรงว่านาง ยังสับสนกับเรื่องนี้อยู่......"
“บังอาจ! ฝ่าบาทกำลังตรัสอยู่ เจ้าเป็นเพียงบ่าวรับใช้ธรรมดาคนหนึ่งมีสิทธิ์อันใดมาเอ่ยแทรก?" ขุนนางต่างแคว้นลุกขึ้นยืน ตะคอกด้วยด้วยน้ำเสียงดุดันแววตาเย็นชา
เฟิ่งเฉี่ยนขมวดคิ้วเข้าหากัน ดวงตาของนางหรี่ลง......
หากราชสีห์ไม่คำราม คงคิดว่านางเป็นแมวป่วยสินะ?
นางตะคอกออกมาว่า “เจ้าต่างหากที่บังอาจ! ที่นี่คือวังหลังแห่งแคว้นเป่ยเยียน เจ้าเป็นเพียงทูตแห่งแคว้นหนานเยียน มีสิทธิ์อันใดมาเอ่ยแทรก?"
ขุนนางต่างแคว้นผู้นั้นตกตะลึงใบหน้าแดงก่ำ "เจ้า......"
เฟิ่งเฉี่ยนหัวเราะขึ้นอย่างเยือกเย็นว่า "ในเมื่อองค์หญิงของพวกเจ้าเข้ามาในวังหลังของแคว้นเป่ยเยียนแล้ว เรื่องในวังหลังก็เสมือนกับเรื่องในครอบครัวของฝ่าบาท หากจะสนทนาเรื่องของประเทศชาติ จงเฉินนำตัวองค์หญิงกลับไปที่แคว้นหนานเยียนก่อน แล้วค่อยส่งทูตมาเจรจา! มิเช่นนั้นข้าจะตบปากเสียของเจ้าให้ฉีกเสีย เอ่ยวาจามากความ น่ารำคาญเหลือเกิน!”
ทุกคนที่ได้ยินคำพูดนี้ต่างตะกุกตะกักเบิกตากว้าง สายลมเย็นโชยพัดเข้ามาในศาลาแห่งนี้พร้อมกับความเงียบงันอันน่าประหลาด
"เจ้า......เจ้า......ทำให้ข้าโมโหยิ่งนัก!” ขุนนางต่างแคว้นชี้นิ้วไปทางเฟิ่งเฉี่ยนด้วยความซับซ้อน เขากัดฟันกรอด แววตาเต็มไปด้วยความโมโห จนแทบจะหมดสติไปในทันที!
ส่วนซวนหยวนเช่อสีหน้ายังคงนิ่งเฉยดังเดิม แต่แววตาที่มองมาแหลมคมดุจดั่งใบมีดที่สามารถกรีดร่างนาง
หวางโฮ่วที่มีดีแต่หน้าตางดงามไร้สมอง มีคำพูดคำจาฉะฉานเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
แต่ความคิดนี้ปรากฏขึ้นในใจเขาเพียงชั่วครู่ ก่อนที่จะเหลือบมองนางอย่างดูถูก คนที่รู้จักนิสัยของเขาดีล้วนรู้ว่าบัดนี้ความอดทนของเขามาถึงขีดจำกัดแล้ว
องค์หญิงหลานซินรีบคุกเข่าลงดังตุ๊บ น้ำตานองหน้ากล่าวว่า “ฝ่าบาทเพคะ ในเมื่อหม่อมฉันได้เข้ามาอยู่ในวังหลังแห่งแคว้นเป่ยเยียนแล้ว ก็ถือว่าเป็นคนในเป่ยเยียน หม่อมฉันเพียงอยากจะเรียกร้องความยุติธรรมก็เท่านั้น หรือนางจะทำอะไรกับสนมในวังหลังก็ได้เพียงเพราะนางเป็นหวางโฮ่วเพคะ?”
นางเหลือบมองไปยังสนมหน้าตางดงามทั้งหลายที่นั่งอยู่นอกศาลา ก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างมีน้ำหนักว่า “จากที่หม่อมฉันทราบมา หวางโฮ่วมักจะแสดงอำนาจกดขี่ข่มเหงทุกคนที่อยู่ในวังหลัง เหล่าพี่น้องทั้งหลายต่างได้รับความย่ำยีดูถูก แต่ไม่มีใครกล้าเอ่ย ในวันนี้ที่หม่อมฉันลุกขึ้นมายืนกรานความเห็นของตน ก็เพียงเพื่อคืนความยุติธรรมให้แก่พี่น้องทั้งหลายเท่านั้น แม้จะต้องถูกลงโทษด้วยเหตุผลประการนี้ หม่อมฉันก็จะไม่ยอมถอย!”
ช่างเป็นคำพูดที่แพรวพราวเหลือเกิน ฟังแล้วน่าซาบซึ้งประทับใจ เหล่าสนมในวังหลังเมื่อได้ยินคำพูดของนางดังนั้นก็ต่างพากันส่งสายตาขอบอกขอบใจไปให้นาง