บทที่ 5 ไทเฮาโมโหจนจากไป
"ช้าก่อน!" เฟิ่งเฉี่ยนไม่อาจทนดูได้อีกต่อไป จึงสั่งให้องครักษ์หยุดการกระทำลง มุมปากของนางเผยอขึ้นเล็กน้อย กล่าวต่อไทเฮาว่า "เสด็จแม่เพคะ ไม่ทราบว่ายังจำวันที่ลูกอภิเษกสมรสได้หรือไม่ ท่านเคยกล่าวสิ่งใดกับลูกไว้?"
ไทเฮาชะงักลง ไม่รู้ว่านางหมายความว่าอย่างไร
"ข้าจำได้ดีว่าในตอนนั้นเสด็จแม่จูงมือลูกไว้ กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า......" เฟิ่งเฉี่ยนกล่าวพลางจับมือไทเฮา เลียนแบบน้ำเสียงของไทเฮาว่า "เฉียนเฉี่ยน นับแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าจะเป็นหวางโฮ่วแห่งเป่ยเยียน เจ้าและฝ่าบาท คนหนึ่งปกครองใต้หล้า อีกคนปกครองภายใน เมื่อเจ้ารับตราหยกหงส์นี้จากข้าไป ทุกคนในพระราชวังจะต้องฟังตามคำสั่งเจ้า รวมทั้งข้าด้วย วันใดที่เจ้ายังมีตราหยกหงส์อยู่ในมือ เจ้าจะต้องจัดการดูแลวังหลังจนวันสุดท้าย อย่าได้ละเลยต่อหน้าที่และทำให้ข้าจะต้องผิดหวัง!"
ไทเฮาหนังตากระตุก สัมผัสได้ถึงลางสังหรณ์บางอย่าง นางดึงมือของตนกลับไป
เป็นจริงดังนั้น เฟิ่งเฉี่ยนยกมือขึ้นหยิบตราประทับสีทองออกมาแสดงไว้ในมือ
“บัดนี้ตราหยกหงส์ยังอยู่ในมือของลูก......" นางยิ้มขึ้นอย่างสดใส แล้วกล่าวอย่างบริสุทธิ์ใจว่า "ทุกคนที่อยู่ในวังหลังแห่งนี้ล้วนจำเป็นต้องฟังคำสั่งของข้า......"
ทุกคนพบว่าบัดนี้นางได้เปลี่ยนการเรียกตนเอง จากลูกเป็นข้าไปเสียแล้ว
วินาทีต่อมา รอยยิ้มอันเจิดจ้าของนางก็เปลี่ยนไปเป็นเยือกเย็นราวกับมัจจุราช นางกล่าวแต่ละคำออกมาอย่างหนักแน่นว่า "เช่นนี้เท่ากับว่า ใครควรถูกลงโทษเช่นนั้นก็ควรถูกลงโทษ ใครที่ไม่ควรถูกลงโทษก็ต้องเป็นไปตามนั้น พวกเจ้า...... ใครไม่เห็นด้วยกับข้า?"
ไทเฮาโมโหจนแทบเป็นลม นางหายใจติดขัด เมื่อได้นางในสองคนเข้ามาพยุงไว้นางก็ชี้นิ้วไปที่เฟิ่งเฉี่ยนด้วยมืออันสั่นคลอน "บังอาจ!เจ้า......ยังเห็นข้าอยู่ในสายตาหรือไม่?"
เฟิ่งเฉี่ยนหรี่ตายิ้มแล้วยกมือขึ้นคารวะอย่างนอบน้อม "เสด็จแม่เพคะ ลูกเพียงทำตามกฎที่ท่านได้สั่งสอนไว้ก่อนหน้าอย่างเคร่งครัด ไม่กล้าขัดคำสั่ง แล้วจะไม่เห็นท่านในสายตาได้อย่างไร?"
"จะ......เจ้า...... ข้าโมโหยิ่งนัก" ไทเฮาโซซัดโซเซจนแทบล้มลง นางเกือบกระอักเลือดเลยก็ว่าได้ ลมหายใจรวดเร็วเหนื่อยหอบ "พาข้ากลับตำหนัก!"
เฟิ่งเฉี่ยนโค้งกายเล็กน้อย "ทูลลาเสด็จแม่ ! ขออวยพรให้ท่านอายุยืนยาวอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของเราตลอดไป!"
ไทเฮาที่เพิ่งก้าวขาข้ามธรณีประตูแทบกระอักเลือดออกมาเพราะคำนี้ อายุยืนยาวหรือ? ข้าไม่เป็นลมล้มพับ ณ ตอนนี้ก็ถือว่าบุญโขแล้ว!
เฟิ่งเฉี่ยนยิ้มขึ้นจางๆ ไม่อยากติดใจเอาความไทเฮา แต่เมื่อครู่ไทเฮาต้องการเชือดไก่ให้ลิงดู หากนางไม่เอ่ยคำพูดใดออกมา บ่าวรับใช้ของนางก็คงจะตายแน่
สาวรับใช้ผู้นี้จงรักภักดีต่อนางมาเสมอ และนางก็เห็นสาวรับใช้ผู้นี้เปรียบเสมือกับญาติพี่น้องคนหนึ่ง ซึ่งอุดมการณ์นี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลงแต่ไหนแต่ไรมา ......
ยามเผชิญหน้ากับศัตรู ก็จำเป็นต้องไร้ความรู้สึกดุจดั่งสายลมอันเย็นเยือก แต่เมื่ออยู่กับสหายควรอบอุ่นดุจเช่นดวงอาทิตย์ออกในฤดูใบไม้ผลิ ! ไม่ทอดทิ้งกันไปไหน ต่อให้ต้องเป็นศัตรูกับทุกคนใต้หล้า นางก็จะไม่เปลี่ยนแปลง!
"ไทเฮาเพคะ......” หลี่มามาทรุดกายลงสู่พื้นดัง “ตุ๊บ” ท่าทีหวาดกลัวเหลือล้น นางรู้ว่าบัดนี้แม้แต่ไทเฮาก็ไม่อาจช่วยนางได้แล้ว
เฟิ่งเฉี่ยนเหลือบตามองไปช้าๆ "จื่อซู ยังไม่ลงมืออีกหรือ?”
หลี่มามาท่าทางตื่นตระหนกทันใด นางโบกไม้โบกมือว่า “จะ......เจ้า ตบข้าไม่ได้นะ ข้า......ข้าเป็นแม่นมของกษัตริย์!"
เฟิ่งเฉี่ยนส่งเสียงหึๆ ออกมา "ก็แค่แม่นม แม่แท้ข้ายังกล้าลงมือ!"
เมื่อมีเฟิ่งเฉี่ยนคอยคุ้มกันอยู่เบื้องหลัง ประกอบกับเมื่อครู่สถานการณ์วิกฤตที่นางเพิ่งรอดตายออกมาได้ แววตาอันอ่อนโยนของจื่อซูจึงเปลี่ยนไปเป็นแข็งกระด้าง กัดฟันกรอดแล้วยกมือขึ้น เพี๊ยะ เพี๊ยะ!
นางตบติดต่อกัน 10 หนอย่างแรง เสียงดังสนั่นไปทั่วห้องพระต้นเครื่อง !
หลี่มามาตาเหลือกเป็นลมล้มไป ไม่ใช่เพราะโมโหแต่เป็นเพราะ ความเจ็บปวด
"กลับกันเถอะ!" ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน เฟิ่งเฉี่ยนพาจื่อซูเดินตรงออกไป
น่ากลัวเหลือเกิน!
ต่อจากนี้ไปจะทำให้ใครหงุดหงิดใจก็ได้แต่อย่าไปหาเรื่องหวางโฮ่ว นางไม่ต่างอันใดกับพญามัจจุราช ไม่ยอมแม้กระทั่งไทเฮา เป็นบุตรจากสวรรค์อย่างแท้จริง!
แต่บางคนก็ส่ายหน้าลับๆ นิสัยของหวางโฮ่วที่ไม่ยอมเสียเปรียบใครเช่นนี้ ไม่ช้าก็เร็วคงจะสร้างเรื่องสร้างปัญหาขึ้นแน่นอน เดาว่าชะตาชีวิตของนางคงอยู่ได้ไม่นานนัก
ผ่านไปเนิ่นนานทีเดียว จู่ๆ ก็มีคนตะโกนขึ้นว่า "แย่แล้ว บะหมี่ของกษัตริย์หายไป ......"
สีหน้าของทุกคนซีดเผือดลงพร้อมกัน
"รีบหาเร็วเข้า!”
"บะหมี่ของฝ่าบาททำโดยใต้เท้าซุน กุ๊กทิพย์ระดับสาม วัตถัดิบที่ใช้ล้วนเป็นวัตถุดิบทิพย์ เมื่อรับประทานเข้าไปไม่เพียงแต่ทำให้ร่างกายและวิญญาณมีความแข็งแกร่งขึ้น แต่ยังเพิ่มศักยภาพในการสู้รบ หากมันหายไปละก็ กษัตริย์คงกล่าวโทษพวกเราแน่!"
ทุกคนพากันแยกย้ายออกตามหาจนทุกซอกทุกมุมของห้องพระต้นเครื่อง