ตอนที่ 3
ต่างคนต่างช่วยเหลือ
ลี่เฟยพูดขึ้นเมื่อพวกนางเห็นเขายืนรออยู่นอกห้องรับรองตำหนักองค์ชายหก ดูเหมือนด้านในงานจะเลิกแล้ว แขกเหรื่อในงานก็ย้ายที่ไปสังสรรค์กันอีกที่เพราะในห้องโถงคงไม่เหมาะจะจัดงานเลี้ยงอีกแล้วเพราะของขวัญที่องค์ชายเก้านำไปมองให้คู่บ่าวสาว
“ข้าก็มารอเจ้าอย่างไรเล่า แม่นางหรง”
“เช่นนั้นเว่ยอิง ข้าไปรอเจ้าที่รถม้าก่อนนะ”
ลี่เฟยยิ้มให้และรีบเดินไปที่รถม้าทันที เว่ยอิงที่พึ่งเปลี่ยนชุดออกมาถึงกับหน้าซีดให้กับบุรุษหนุ่มตรงหน้า นางพึ่งจะมองเขาชัดๆ เมื่อเขาถอดหมวกชุดเกราะออก ผมที่รวมตึงขึ้นด้านบนจนหมดนั่นทำให้เผยใบหน้าของเขาเด่นชัดขึ้น ใบหน้าเนียนผิวสีออกคล้ำหน่อยๆ เพราะแดดเผา แต่ดูแล้วผิวแต่เดิมของเขาคงจะขาวกว่านี้ จมูกที่ได้รูปรับกับใบหน้ายาวตาเฉียงเรียวดุจเหยี่ยวทำเอาผู้มองถึงกับใจสั่น
“อะ..องค์ชายเก้า เหตุใด…ยังไม่..ไม่ไปรวมทัพอีกหรือเพคะ”
“ข้ามารอคุยกับเจ้า”
“หม่อมฉันคิดว่า พวกเราคุยกันเรียบร้อยแล้ว หม่อมฉันมิอาจรบกวนองค์ชายมารับผิดชอบเรื่องนี้ได้ เรื่องนี้เป็นเพราะหม่อม…หม่อมฉันซุ่มซ่ามไม่ระวังจึงทำให้เกิดเรื่องไม่เกี่ยวกับพระองค์เพคะ”
“เจ้าต้องการเช่นนั้นจริงๆ น่ะหรือ”
“เพคะ….องค์ชายอย่าได้กังวล ข่าวลือในเมืองหลวงดั่งไฟไหม้ฟาง เพียงชั่วครู่ก็ดับมอดลง อีกสามวันก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา อย่าได้นำไปใส่พระทัยเลยเพคะ”
“แต่ว่าข้าได้ประกาศออกไปแล้ว เช่นนี้แม่นางหรงจะไม่เสื่อมเสียงั้นหรือ”
“ไม่เพคะ หม่อมฉันโดยปกติก็ใช้ชีวิตสมถะเงียบๆ อยู่ในจวน ไม่ค่อยได้ออกมาข้างนอกจวนอยู่แล้ว อีกไม่นานคนก็จะลืมเรื่องนี้เองเพคะ องค์ชายไปออกศึกอย่างสบายพระทัยได้เพคะ”
“หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็จะทำตามเจ้าว่า เอาไว้กลับมาแล้วข้าจะไปขออภัยกับท่านโหวด้วยตนเองที่ทำเจ้าเสื่อมเสีย”
“ไม่ต้องหรอกเพคะ เกรงว่าท่านพ่อ…ไม่ค่อยได้กลับมาที่จวนเพคะ”
“เช่นนั้น แม่นางหรง ขอบใจเจ้ามาก ข้าขอตัวก่อน”
“น้อมส่งองค์ชายเก้าเพคะ”
เขามองหน้านางก่อนจะหันกลับออกไป สายตาที่มองยังคงนิ่งเฉยเฉกเช่นเมื่อตอนที่เขาอุ้มนางมา แม้ว่าเขาจะประกาศว่าจะหมั้นกับนาง นั่นก็เป็นเพียงเพราะประชดประชันหลิวเนี่ยนจินและช่วยนางเพื่อมิให้อับอายเท่านั้น เมื่อต่างคนก็ต่างได้รับประโยชน์
เรื่องนี้ก็ควรจบสิ้นเสียที เว่ยอิงเดินแยกกับเขาไปอีกทางเพื่อเดินไปขึ้นรถม้าของลี่เฟยที่จอดรออยู่ไม่ไกล
“มาแล้วหรือ เป็นอย่างไรบ้าง พระองค์คุยอะไรกับเจ้าบ้าง”
“พระองค์ยอมแล้ว เรื่องที่คุยในห้องโถงนั่น จะไม่มีวันเกิดขึ้น”
“ได้อย่างไรกัน เจ้าทำให้สตรีในห้องโถงนั่นอิจฉาเจ้ากันทั้งนั้น จู่ๆ จะโยนโอกาสนี้ออกไปเจ้าจะบ้าหรือ”
“การแต่งงานก็ต้องเกิดจากความรักของคนทั้งคู่ แต่ข้ากับองค์ชาย ทำไปเพียงเพราะช่วยเหลือกัน เขาแค่ต้องการประชดแม่นางหลิวผู้นั้นและก็ช่วยข้าให้พ้นความอับอาย”
“เฮ้อ เว่ยอิงข้าต้องขอโทษเจ้าด้วย เป็นเพราะข้าที่ประมาท ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้”
“อย่าโทษตัวเองเลย กลับกันเถิด”
“อืมได้เดี๋ยวข้าจะไปส่งเจ้าที่จวนนะ”
“ขอบใจลี่เฟย”
จวนสกุลหรง
“ท่านแม่ข้าไม่ยอมนะเจ้าคะเหตุใดนางทำตัวน่าอับอายถึงเพียงนั้น ทำไมถึงยังได้คว้าองค์ชายเก้าไปได้หน้าตาเฉย ท่านแม่”
“เจ้าเป็นคนผลักนางล้มเองมิใช่หรือ ตอนนี้มาโวยวายให้ได้สิ่งใดกัน”
“ใครจะไปรู้ว่าองค์ชายเก้าจะเห็นเข้าเล่าเพคะ หากว่านางได้แต่งงานกับองค์ชายเก้าจริงๆ นางก็ได้เป็นพระชายา ไม่ได้นะท่านแม่ข้าไม่ยอม นางจะอยู่สูงกว่าข้าได้เช่นไรกัน”
“เจ้าเงียบไปก่อน เรื่องนี้ให้แม่จัดการเองเถิด แม้แต่เลือดหมาดำยังทำอะไรนางไม่ได้ แล้วยังคว้าองค์ชายเก้ามาได้อีก เจ้าคิดว่าแม่จะอยู่เฉยได้เช่นนั้นหรือ แม้ว่านางจะเป็นบุตรของฮูหยินคนเก่า แต่ก็เท่านั้น ตอนนี้ข้าถึงจะเป็นฮูหยินท่านโหว ข้าย่อมมีสิทธิ์ตัดสินใจว่าจะให้ผู้ใดแต่งเข้าไปเป็นพระชายาองค์ชาย เรื่องนี้ปล่อยเป็นหน้าที่แม่เอง”
“ท่านแม่ ข้ารักท่านที่สุดเลยเจ้าค่ะ”
รอยยิ้มชั่วร้ายเผยขึ้นบนใบหน้าหรงไป๋อีกครา ฟางเซียนเองก็รู้สึกดีใจอย่างมากเมื่อท่านแม่รับปาก ตำแหน่งพระชายานี้คงต้องตกเป็นของนางอย่างแน่นอน
สองเดือนถัดมา
หลังจากเหตุการณ์นั้นมาก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีข่าวซุบซิบเรื่องของเว่ยอิงในงานสมรสองค์ชายหกจริงๆ คำสั่งขององค์ชายเก้าไม่มีผู้ใดกล้าขัดจริงๆ นี่คือพลังของอำนาจที่แผ่ขยายอย่างกว้างขวาง องค์ชายเก้าขึ้นชื่อเรื่องความเด็ดขาด ไม่ไว้หน้าผู้คน
แม้แต่ฮ่องเต้ก็รักและเอาใจใส่เขาดุจบุตรในอุทร เพราะผลงานการออกศึกมากมายที่รวมแคว้นให้เป็นหนึ่งและผลงานการรบที่แม้แต่องค์ชายทั้งเจ็ดในราชวงศ์ก็ยังมิอาจเทียบเขาได้
“อาเฟย เหตุใดวันนี้รถม้าที่จวนมาช้าเช่นนี้ล่ะ”
“นั่นสิคะคุณหนู ปกติเวลานี้ต้องมารับแล้ว อ้อ นั่นอย่างไรเจ้าคะ มาแล้ว”
“ได้ของครบหมดแล้วขาดเพียงพู่กันที่สั่งเอาไว้เจ้าค่ะ อีกสองวันข้าจะมารับให้นะเจ้าคะ”
“ไปกันเถอะ”
“นี่อาเฟย ฮูหยินสั่งให้เจ้าไปซื้อของเพิ่มน่ะ รายการตามนี้”
“อ้าว เหตุใดไม่แจ้งตั้งแต่ตอนพวกข้าออกมาซื้อกันเล่า แบบนี้มันแกล้งกันชัดๆ”
“แกล้ง ใครจะไปแกล้งเจ้า เป็นบ่าวก็ทำตามคำสั่งก็พอ ข้าจะพาคุณหนูกลับก่อน เจ้าก็ไปซื้อของแล้วตามกลับไป”
“ข้ารออาเฟยก่อนได้”
“มิได้ขอรับ ฮูหยินสั่งมาว่าคุณหนูต้องรีบกลับไปเตรียมตัวรับแขกสำคัญขอรับ”
“แขกสำคัญ ผู้ใดกัน”
“ไม่ทราบขอรับฮูหยินสั่งมาเพียงแค่นั้น”
“คุณหนูข้ากลับเองได้เจ้าค่ะ”
“อืม เช่นนั้นเจ้าซื้อเสร็จแล้วเดินไปที่หอชุนต๋าของลี่เฟยขอให้นางไปส่งเจ้าอีกทีบอกว่าข้าสั่งมาก็แล้วกัน”
“เจ้าค่ะคุณหนู ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ”
รถม้าค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไป เมื่อออกไปได้สักพัก เว่ยอิงรู้สึกง่วงนอนขึ้นมากะทันหันจนสลบไปในรถม้า ม่านหน้ารถถูกเปิดขึ้นเพื่อตรวจสอบ
“เรียบร้อยแล้ว จัดการต่อได้”
ยาที่พวกมันใช้เป็นยาสลบและยาปลูกกำหนัดชนิดรุนแรงซึ่งร่างของเว่ยอิงที่ไม่ถูกพิษรุนแรงเช่นนี้มิอาจทนได้ นางได้สิ้นลมหายใจบนรถม้าโดยที่คนขับรถม้ามิได้รู้เรื่องเลยด้วยซ้ำเมื่อพารถม้านั้นมาจอดตรงป่าลึกหลังเขาที่จะออกเมืองหลวง
“พวกมันจะมาเมื่อไหร่เนี่ยข้าเริ่มหิวข้าวแล้ว”
“รออีกหน่อยเถอะ ยังไม่ค่ำมาก พวกนี้เป็นพวกโจรป่า มันไม่ออกมาตอนฟ้าสว่างเช่นนี้หรอก”
"เรื่องมากเสียจริงแค่เราทิ้งนางเอาไว้ก็จบแล้วมิใช่หรือไง"
“ไม่ได้ เราต้องรอรับนางกลับเพื่อเป็นพยานว่านางถูกกระทำชำเราด้วยเพื่อบอกผู้อื่น”
“ฮูหยินนี่ช่างโหดเหี้ยมเสียจริง กับลูกเลี้ยงยังทำได้ถึงเพียงนี้”
“เจ้าอย่าพูดมากไป หากงานนี้สำเร็จพวกเราจะได้เงินก้อนโต”
“ว่าก็ว่าเถอะนะ เรื่องของแม่เลี้ยงกับลูกเลี้ยงก็มักเป็นเช่นนี้เสมอ เพียงแค่ตำแหน่งพระชายาขององค์ชายถึงกับฆ่าคนตาย แม่ลูกสกุลหรงสองคนนี้ช่างมักใหญ่ใฝ่สูง….”
เสียงนั้นดังเข้าไปในรถม้า คนในรถม้าค่อยๆ ขยับเปลือกตาขึ้นมาและฟังเสียงที่ฟังไม่คุ้นหูนี้
“นี่มันอะไรกัน พูดอะไรกันฟังไม่รู้เรื่องเลย”