บทที่ 14 รางวัล (2)
“พี่หญิงรองไม่คิดจะไปเยี่ยมพี่หญิงใหญ่สักหน่อยหรือเจ้าคะ”
“ข้าจะไปหรือไม่ไปมันคงไม่เกี่ยวกับเจ้า น้องสาม”
เจินซิ่วอิงตอบอีกคนทั้ง ๆ ที่ยังไม่ละสายตาจากภาพวาดตรงหน้าตัวเอง
“หึ อวดดีเหมือนแม่รองไม่มีผิด”
มือขาวของเจินซิ่วอิงชะงักไปทันทีเมื่อได้ยินคำพูดที่ล่วงเกินไปถึงผู้เป็นมารดาของตน ก่อนจะหันไปมองหน้าอีกคนอย่างเอาเรื่องทันที
“เมื่อกี้เจ้าพูดว่าอย่างไร”
ดวงตากลมโตของเจินซิ่วอิงที่ไม่ได้แต่งแต้มให้เฉี่ยวคมเหมือนเมื่อก่อนผุดประกายคมกริบจ้องมองไปที่ดวงตาของคนตรงหน้าอย่างเหลืออด
“ข้าพูดความจิรง”
เจินจิวเซียนเชิดหน้าอย่างถือดี ไม่อยากจะยอมแพ้อีกคน ก่อนจะพ่นคำพูดยั่วโทสะอีกฝ่ายออกมาอีก
“พี่หญิงรองก็เป็นแค่พี่หญิงรองเกิดจากเมียรองอย่างไรก็ไม่มีทางมาเทียบชั้นกับพวกข้าที่เป็นลูกของฮูหยินใหญ่ได้หรอก”
เพียะ!
เสียงฝ่ามือของเจินซิ่วอิงกระทบใบหน้าของเจินจิวเซียนอย่างแรง ใบหน้าขาวของอีกคนสะบัดไปตามแรงตบ เลือดซึมออกมาจากริมฝีปากบางนั้น
“ท่าน ท่านตบข้า ข้าจะฟ้องท่านพ่อ ฮือ”
เจินซิวเจียนดวงตาเบิกโพลงอย่างตกใจ ไม่คิดว่าอีกคนจะตบเธอแรงขนาดนี้ ดวงตาสั่นระริกอย่างโกรธเกรี้ยวและหวาดกลัว
บ่าวรับใช้ของเจินจิวเซียนรีบเข้ามาพยุงอีกคนที่กุมแก้มตัวเองที่ปรากฏรอยนิ้วทั้งห้าของคุณหนูรองออกมาเป็นรอยแดงพาดผ่านอย่างชัดเจนทันที
“ไปฟ้องเลย แล้วบอกให้หมดนะว่าพูดอะไรบ้าง”
“พวกเจ้าทำอะไรกัน!”
เสียงตวาดของเจินหยางหรงดังขึ้นที่อีกด้านของสวนทำเอาหญิงสาวทั้งสองคนสะดุ้งเฮือกอย่างตกใจ
“ท่านพ่อ พี่หญิงรองตบข้า ฮือ”
เจินจิวเซียนกุมหน้าที่มีรอยมือของพี่สาวต่างมารดารีบเข้าไปบีบน้ำตา กอดผู้เป็นบิดาอย่างออดอ้อนทันที
“เจ้าตบน้องทำไมซิ่วอิง”
“นางพูดจาล่วงเกินแม่ข้าเจ้าค่ะ ฮึก ซิ่วอิงผิดไปแล้วเจ้าค่ะ ที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ อีกทั้งยังสั่งสอนน้องสาวได้ไม่ดีทำให้น้องไม่รู้จักผู้ใหญ่”
เมื่อเห็นว่าอีกคนเล่นบทโศก เจินซิ่วอิงก็เล่นใหญ่กว่า บีบน้ำตาอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ทำเอาทุกคนตรงนั้นตกใจและเชื่อเรื่องที่หมอบอกว่าสมองนางได้รับการกระทบกระเทือนอย่างดี
เจินจิวเซียนพูดไม่ออกทันทีเมื่อโดนฮูหยินใหญ่ผู้เป็นมารดา หยิกเข้าที่สีข้าง
“จิวเซียนขอโทษพี่สาวเจ้าซะ”
“แต่ ขอโทษเจ้าค่ะ”
คุณหนูสามจวนสกุลเจินคิดจะแย้ง แต่ก็ทำไม่ได้ จำใจย่อตัวลงขอโทษคนตรงหน้า ก่อนจะเดินสะบัดหน้าออกไปอย่างไม่สบอารมณ์
“ซิ่วอิง พ่อกับแม่ใหญ่มีเรื่องจะคุยกับเจ้า”
ผู้ใหญ่ทั้งสองคนพากันเดินไปนั่งที่เก้าอี้ด้านข้าง เจินซิ่วอิงเห็นดังนั้นจึงเดินไปนั่งในที่ของตนบ้าง
“ข้าต้องขอโทษแทนน้องสามของเจ้าด้วยนะ”
ฮูหยินพูดขึ้นมา ทำเอาเจินซิ่วอิงอดแปลกใจกับการกระทำของนางไม่ได้ จะมาไม้ไหนอีกเนี่ย
“เจ้าค่ะ”
เจินหยางหรงเล่าเรื่องงานแต่งงานพระราชทานให้ผู้เป็นบุตรสาวฟังทั้งหมด โดยมีฮูหยินใหญ่คอยเสริมอยู่เรื่อย ๆ เจินซิ่วอิงกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
เธอจะปฏิเสธได้อย่างไรเล่า มันคือความเป็นความตายของสกุลเจิน แม้เหตุผลที่ผู้เป็นบิดาบอกว่าถือซะว่าเธอได้ไปพักรักษาตัวมันจะน่าน้อยใจไม่น้อยก็ตาม
ณ จวนสกุลหยวน เมืองจินหลิง
“นายน้อย นายน้อยขอรับ”
เสียงบ่าวคนสนิทของคุณชายหยวนหลี่เฉียง บุตรบุญธรรมของแม่ทัพเซี่ยเฟยฮุ่ยเจ้าเมืองผู้ปกครองเมืองจินหลิงคนปัจจุบัน
“มีอะไรกัน”
หยวนหลี่เฉียงหันไปถามหยางหวังหย่งที่เดินกลับเข้ามาในห้องอักษรของเขาหลังจากที่ออกไปพบบ่าวคนนั้น
“คนของเราได้ข่าวเรื่องเจ้าสาวของนายน้อยแล้วขอรับ”
“อย่างนั้นรึ แล้วพวกนั้นว่าอย่างไรบ้าง”
“เป็นคุณหนูรองสกุลเจินขอรับ”
“คุณหนูรองอย่างนั้นหรือ”
“ขอรับ คุณหนูเจินซิ่วอิง ลูกของฮูหยินรองอี้หนิงฮวา ที่เสียไปแล้วขอรับ”
“หึ น่าสนใจดีนี่สกุลเจิน การแต่งงานพระราชทานให้คุณหนูรองลูกสาวฮูหยินรองเป็นผู้ออกเรือน”
“คนของเราบอกว่าข่าวลือไปทั่ว คุณหนูใหญ่ไม่สบายป่วยเป็นโรคประหลาดขอรับ”
“งั้นก็ยิ่งน่าสนใจ หวังหย่งเจ้าไม่คิดหรือว่ามันจะเหมาะเจาะเกินไปหน่อย”
“ข้าก็คิดเช่นนั้นขอรับ เดิมฝ่าบาทตั้งใจสกัดขาเจินหยางหร่งให้คุณหนูใหญ่ออกเรือนกับท่าน แต่เขาก็พลิกกระดานให้คุณหนูออกเรือนแทน เพราะคงคิดว่าท่านเป็นคุณชชายขี้โรคตามข่าวลือจริง ๆ”