ตอนที่ 5 สุดท้ายแล้ว
ตอนที่ 5 สุดท้ายแล้ว
จ้าวหย่งคังหน้าชาทั้งตัวแข็งทื่อ เมื่อเพิ่งจะพบว่าเขามีลูกสาวอีกคน ถังม่านชิงร้อนใจนัก นางดึงท่านแม่ทัพที่เห็นว่าชะงักงัน “ท่านแม่ทัพ นั่งลงกินข้าวต่อเถิดเจ้าคะ”
เขาไม่สนใจคำพูดของถังม่านชิง แต่มองตามแผ่นหลังของลูกสาว เห็นแผ่นหลังเหยียดตรง มือป้อม ๆ นั่นถูกหย่งเล่อกอบกุมมือ เขาหันเหลือมองมายังบิดาด้วยสายตาที่ว่างเปล่า มุมปากเขาบิดขึ้นมาเล็กน้อย
หย่งคังหย่อนก้นนั่งลงอีกครั้ง ในมือไม่มีตะเกียบแล้ว เห็นสีหน้าของบิดาและมารดาดูอย่างไรก็เฉยชาอยู่ดี เขาจึงได้กล่าวถามขึ้นมา “ท่านแม่ ลูกของข้าอีกคนรึ คือ...พวกเขาเป็นแฝดกัน” คำพูดตะกุกตะกักนั่นก็ยิ่งสร้างความปั่นป่วนให้กับสตรีข้างกายนัก
“ท่านแม่ทัพอย่าสนใจเลยเจ้าค่ะ” ด้วยเพราะริษยาจึงได้กล่าวขึ้นมาอย่างจงใจ
“หุบปาก ข้าไม่ได้ถามเจ้า” หย่งคังดุนางเข้าให้ด้วยความไม่พอใจ ยังพูดแทรกขึ้นมาอีก
“จะอยากรู้ไปทำไมกัน เป็นเจ้าที่ไม่สนใจลูกเมีย ทีอย่างนี้จะมาถาม คนเป็นพ่อก็ต้องสนอกสนใจลูกของตัว มีอย่างที่ไหนกลับมาทั้งทีก็ไปคว้าเอาผู้หญิงชั้นต่ำเข้าบ้าน บอกไว้ก่อนเลยว่า หากยืนกรานจะแต่งนางเข้ามา เจ้าจะได้เห็นดีกัน” มารดานึกกรุ่นโกรธ เห็นสตรีนางนี้ปั้นหน้ายิ้มก็ทำให้กินข้าวไม่ลง
สองผู้เฒ่าเดินออกจากห้องไปโดยไม่สนใจลูกชายสักนิด “อีกไม่กี่วันจะถึงวันชิวอิกแล้ว ข้าละกลัวเหลือเกินหากหรงเอ๋อร์คิดจะขอหย่ากับเจ้าบ้านั่นจะทำอย่างไร” หลิวซื่อกล่าวขึ้นมา นางร้อนใจนักใครอยากจะอยู่ร่วมเรือนกับคนใจคอคับแคบตีบตันเช่นนี้
“ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าจัดการเอาไว้แล้ว ข้าง ๆ จวนของเรามีจวนของท่านเฉาที่เพิ่งจะย้ายไป ข้าน่ะได้ซื้อเอาไว้ คิดว่าจะเอาไว้ให้หย่งเล่อตอนเขามีภรรยา เอาเป็นว่าหากลูกสะใภ้ของพวกเราหย่าจริง ๆ ละก็ ข้าจะยกที่ดินผืนนั้นให้นาง” ชายชรากอบกุมมือภรรยาไป สองผู้เฒ่าต่างก็หวั่นวิตกนัก
ฟางหรงแต่งตัวเดินออกจากห้อง นางก็รีบร้อนแจกจ่ายงานที่คั่งค้างเอาไว้ให้กับพ่อบ้านฝูให้ช่วยอีกแรง อากาศก็หนาวเหน็บ ร่างกายก็บอบบาง ยังจะเร่งทำงานและตรวจตราสิ่งของอีก มิหนำซ้ำยังต้องเข้าครัวเอง เตรียมอาหารให้แก่เหล่านายทหารที่พักอยู่นอกจวนอีกราวร้อยกว่าคน
“ท่านแม่ลูกกลับมาแล้วเจ้าค่ะ” ฟางหลินกระโดดเข้ามาสวมกอดมารดาด้วยวิชาตัวเบาอันเป็นหนึ่งในสำนักศึกษาหลวง
ฟางหรงอ้าแขนออกอุ้มเด็กน้อยเข้ามาแนบอก “มาถึงทั้งที ไปพบท่านปู่ท่านย่าหรือยัง”
“พบแล้วเจ้าค่ะ ยังได้พบหน้าท่านแม่ทัพอีกด้วย” ฟางหลินกล่าวขึ้นมา ยังคงซุกใบหน้าเข้าหามารดาด้วยความรัก ภาพนี้ทำให้ใครคนหนึ่งอิจฉาเป็นที่สุด เขามองเห็นสามแม่ลูกในนั้นไม่เขาเคียงกายลูก ๆ ทั้งสองก็ว่าได้
ฟางหรงเหลือบเห็นสามีของนาง ข้างกายของเขายังคงมีสตรีน้อยนางนั้น นางเพียงแค่เลือกที่จะไม่สนใจเขาและท่าทางของเขาอีกแล้ว “อืม เดี๋ยวแม่ไปจัดทำธุระเสียก่อน หิวหรือไม่เล่าในห้องของพี่ชายยังมีสำหรับอยู่อีกนะ”
“หิวเจ้าค่ะ ว่าแต่วันนี้ท่านแม่ดูรีบร้อนนัก” ฟางหลินขมวดคิ้วนักเห็นท่านแม่ดูรีบร้อนผิดปกติ
“แม่จะเอาของหนังสือไปให้ลุงฝู แล้วก็จะไปเข้าครัวด้วย” สีหน้าของนางก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมคือใบหน้านั้นดูซีดเซียวไร้สีเลือด แม้จะแย้มยิ้มให้ลูกสาว แต่นางก็มีเรื่องให้ครุ่นคิดอยู่อีกมาก
“งั้นให้ลูกช่วยนะขอรับ” หย่งเล่อเสนอตัวทันใด
“ไม่ได้เจ้าต้องไปสำนักศึกษามิใช่รึ” ฟางหรงให้ลูกสาวยืนบนพื้นแล้ว นางย่อตัวลงกล่าวถามลูกชาย
“ท่านแม่ลืมไปหรือไม่อีกสองวันจะวันชิวอิกแล้ว ท่านอาจารย์ใหญ่ให้พวกข้าหยุดเรียนเพื่อร่วมสังสรรค์กับครอบครัว ท่านอาจารย์ใหญ่ยังฝากความคิดถึงมาให้ท่านแม่อีกด้วย” หย่งเล่อเพิ่งนึกได้ เขาไม่เกรงกลัวว่าใครจะได้ยิน หรือจะทำให้มารดาเสียหาย
หย่งคังได้ยินชายคนอื่นบอกคิดถึงภรรยาก็นึกโมโหเข้าให้ “ดีจริง ๆ มีลูกตั้งสองคนยังมีเวลาสวมหมวกเขียวให้ข้าอีก”
“ท่านแม่ทัพจะกรุ่นโกรธไปไย ในเมื่อท่านแม่ของข้าหาใช่เป็นภรรยาของท่าน จงเก็บคำพูดนี้เอาไว้ ย้ำเตือนสตรีข้างกายของท่านเถิดเจ้าค่ะ” ฝีปากของดรุณีน้อยใช่ใครจะทัดเทียมได้ บอกแล้วว่าอย่าให้นางไม่พอใจ และต่อแต่นี้หากบิดายังไม่ยอมรามืออีก นางจะจัดการไล่ตะเพิดสตรีคนนี้ออกจากจวนทันที
“ชักจะก้าวร้าวนัก” หย่งคังหลงลืมตัว ตวาดเสียงใส่ลูกสาว เห็นนางสะดุ้งเฮือกตกใจจึงได้หยุดพูดทันที
“ท่านแม่ ฮือ ๆ ๆ” จู่ ๆ ฟางหลินก็ร้องไห้ขึ้นมา เพียงแค่เพราะบิดาตวาดเสียงใส่ นางสวมกอดเข้าให้กับพี่ชาย น้ำตานั้นหาได้มีไม่ นางกระซิบเบา ๆ ข้างหูว่า “พี่ใหญ่จัดการเร็ว ๆ เข้า” ใครกล้าล่วงเกินมารดาก็ย่อมต้องเจอนางจัดการ
“เห็นหรือไม่ ว่าคำพูดของท่านแม่ทัพ ทำให้น้องสาวของข้าเสียใจ ตั้งแต่เล็กจนเติบโตเข้าห้าหนาว นางภาวนาอยากเห็นหน้าท่านพ่อ นางบอกว่ารักท่านพ่อสุดดวงใจ เป็นวีรบุรุษของแคว้นอู๋ แต่บัดนี้ดูท่านสิ กำลังทำร้ายน้ำใจลูกสาวตนเองชัด ๆ หลินเอ๋อร์ อย่าสนใจเขาเลย ในไม่ช้าเขาก็คงไม่ใช่ท่านพ่อของเราอีกต่อไป”
จ้าวหย่งคังไปไม่เป็นทันที เห็นลูกสาวร้องไห้สะอึกสะอื้น อยากโอบกอดตระกองนางปลอบใจเหลือเกิน ใบหน้าพริ้มเพรานั่นยามร้องไห้แล้วน่าสงสารเป็นที่สุด หัวใจของเขาเจ็บแปลบขึ้นมาทันใด
“ดีนักมาอยู่ที่จวนเพียงแค่สองวัน วันแรกตีลูกชายข้า วันที่สองทำให้ลูกสาวข้าร้องไห้ ช่างเป็นพ่อที่ดีเหลือเกิน” ฟางหรงอะไรนางก็ยอมและใจอ่อน หากแต่เป็นลูกทั้งสองแน่นอนว่านางไม่ยอมอย่างเด็ดขาด
นางยกมือขึ้นชี้หน้าอีกฝ่าย “อย่าได้ริอ่านมาอุ้มลูกของข้า อย่าได้ริอ่านมากอดลูกของข้า พวกเขาสองคนไม่มีพ่ออย่างท่านแม่ทัพ”
พลันหัวใจของจ้าวหย่งคังแตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ เมื่อถูกฟางหรงประกาศกร้าวออกมา เขาอยากจะอุ้มนางขึ้นมาเช็ดคราบน้ำตานั่น แต่ทว่าหย่งเล่อจับจูงนางออกไปไกลสายตาเขาแล้ว เขาโมโหกรุ่นโกรธเข้าให้ แต่ก็ถูกถังม่านชิงดึงเอาไว้
“พี่สาวใยจะตัดขาดกันเช่นนี้เจ้าคะ แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นเอง” ม่านชิงเสนอตัวปกป้องท่านแม่ทัพที่เห็นว่าจู่ ๆ เขาก็ถูกครอบงำจากลูกสาวถึงขั้นพูดจาไม่ออก
“อย่าแส่เรื่องของข้า เพราะเจ้ายังไม่ได้เป็นภรรยาของเขา เพราะฉะนั้นจงหุบปากเน่า ๆ ของเจ้าเสียไม่อย่างนั้นจะหาว่าข้าไม่เตือน!” ฟางหรงสิ้นสุดความอดทน การเป็นภรรยาที่ดีไม่ช่วยอะไรจริง ๆ
“ท่านแม่ทัพดูพี่สาวสิ นางกล้าข่มขู่ข้าอีกด้วย นางช่าง...” ม่านชิงไม่ยอมให้อีกฝ่ายโต้ตอบนางเช่นนี้ นึกไม่ถึงว่านางจะกล้าตีปากตอกหน้ากลับมา จึงทำให้นางเต้นเร่า ๆ ด้วยความกรุ่นโกรธ
“เอาน่า เจ้ากลับไปห้องก่อน เดี๋ยวข้าจะเข้าวัง” ด้วยเพราะเห็นแล้วว่านางกำลังเปลี่ยนไป เด็กน้อยคนนั้นของเขาได้หายไปแล้ว ยามนี้มีเพียงแค่ความแข็งกร้าวและเย็นชา
ฟางหรง เดินออกมาพร้อมกับหนังสือและยังมีสมุดอีกหลายเล่มถูกเย็บเข้าด้วยเชือก แต่ละเล่มนั้นหนามาก ๆ ก็ว่าได้ เมื่อเห็นแผ่นหลังของนางคล้ายว่ารีบเร่ง ตัวเขาเองก็ไม่อยากพูดให้มากความ จึงได้เดินไปยังคอกม้าเสีย คิดจะไปยังวังหลวงกราบทูลรายงานและขอพักผ่อนอยู่ที่เมืองหลวง จากนั้นก็จะแต่งงานถังม่านชิง
จู่ ๆ ในหน้าอกของเขาก็รู้สึกวูบไหวแปลก ๆ เหมือนมีบางอย่างกำลังจะเปลี่ยนไปในไม่ช้า นึกถึงถ้อยคำของนางที่กล่าวว่า หลังจากเดือนเอ้อร์เยว่ไปแล้ว ทุกอย่างจะดีขึ้นมาเอง
เขานึกถึงใบหน้าของลูกสาวยามควบม้าออกมาจากจวนยิ่งนัก ดวงหน้านั่นน่ารักเป็นไหน ๆ แก้มของนางแดงระเรื่อ แต่งตัวก็ดูน่ารักรัดผมเป็นก้อนสองข้างทำให้เขาอยากปกป้องนางใจจะขาด ติดแต่ปากมันดีนี่สิทำให้ลูกสาวต้องเสียใจ
ฟางหรงเดินออกมาจากห้องครัว แม้อากาศจะหนาว นางก็ช่วยเหล่าแม่ครัว ลงมือปรุงอาหารให้เหล่านักรบแดนเหนือให้กินอย่างอิ่มหนำสำราญใจ ทั้งอาหารผลไม้และขนม ถูกจัดเรียงไว้เป็นระเบียบเรียบร้อย นางไปช่วยแม่ครัวตักอาหารให้ชายหนุ่มกลัดมันทั้งหลายถึงที่
แม่ทัพจ้าวนึกขึ้นได้ว่าจะต้องลากตัวของรองแม่ทัพไปด้วย จึงได้ควบม้ากลับไปยังที่พักผ่อนของเหล่าพี่น้องที่ร่วมรบกันมาหลายปี ในนั้นมีแต่เหล่าคนสนิทชิดเชื้อ แต่ทว่าทันทีที่เขาลงจากอาชาแล้ว ก็พบว่าเหล่าพี่น้องยืนรุมสตรีนางหนึ่งที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาดี
เขาเดินเข้าไปกลางวง มองนางด้วยความไม่พอใจ นางยืนอยู่ท่ามกลางเหล่าผู้ชายไม่เขินอายกระมิดกระเมี้ยนสักนิด แต่กลับกันยังหัวเราะอีกด้วย จะไม่ให้เขาโกรธได้อย่างไรกันเล่า “มาทำอะไรตรงนี้ กลับไปที่เรือนเสีย”
“ก็ไม่เห็นรึไง รึว่าท่านตาบอดกันแน่ ข้ามาดูแลเหล่าพี่น้องของท่าน นำอาหารมามอบให้ ดูแลพวกเขาดั่งเครือญาติเช่นนี้ ยังจะมาต่อว่าข้าอีกนะ ช่างไม่มีหัวคิด! สมองของท่านคิดอ่านอันใดอยู่ รึคิดเพียงแค่ว่าจะแต่งแม่นางถังม่านชิงเมื่อไหร่ดี”
ฟางหรงเชิดหน้าน้อย ๆ ของนาง วางอุปกรณ์ลงแล้วถลึงตาใส่เขา แววตาของนางหาได้หวาดกลัวและตระหนกตกใจไม่ มีแต่ความห่างเหินและเย็นชาใส่เขาเข้ามาอีก แววตานี่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน กลับทำให้เขาร้อนรุ่มทุกข์ใจนัก
“ออกไป อย่าเข้ามาในนี้อีกไสหัวเจ้าออกไป!” ท่านแม่ทัพตะคอกเสียงใส่นาง จนทำให้เหล่าพี่น้องทหารทั้งหลายไม่พอใจนัก แต่เห็นว่าเป็นเรื่องของผัวเมีย พวกเขาจึงเก็บปากเงียบเอาไว้
ฟางหรงถอนหายใจ แย้มยิ้มขึ้นมา นางกล่าวน้ำเสียงหวาน ดวงตาคู่งามสั่นระริกเต็มไปด้วยความเสียใจ นางระบายยิ้มอ่อนหวานให้เขาเป็นครั้งสุดท้าย ฟางเส้นสุดท้ายได้ขาดลงแล้ว
นางมองใบหน้าของชายที่นางรักยิ่งกว่าชีวิตเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่นางจะตัดสินใจบางอย่าง ครั้งนี้นางพูดกับเขาดี ๆ หวังว่าเขาจะอ่อนลงให้นางบาง “ท่านแม่ทัพกลับเรือนกับข้าสักครู่ได้หรือไม่”
“ยังจะใช้ลูกไม่อะไรอีก สตรีอย่างเจ้าช่างเจ้าเล่ห์มารยานัก”
สุดท้ายแล้วเขาก็เลือกจะดูแคลนนางเช่นนั้น ทนต่อไปก็ไม่มีความหมายอันใดสำคัญอีกแล้ว ฟางเส้นสุดท้ายได้ขาดสะบั้น นับแต่นี้ต่อครึ่งชีวิตของนางก็เลือกเดินที่จะไม่มีเขาตลอดกาล
“สุดท้ายแล้วเป็นข้าที่ดื้อดึง ขอบคุณท่านแม่ทัพที่รักและเอ็นดูข้า นับแต่นี้ข้าจะดูแลตนเองมิให้ท่านต้องเดือดร้อนขุ่นมัวเพราะข้าอีก เชิญท่านไปทำธุระเถิดเจ้าค่ะ ข้าเองก็จะกลับเรือนแล้ว”