ตอนที่ 4 ฟางหลิน
ตอนที่ 4 ฟางหลิน
จ้าวหย่งเล่อขมวดคิ้วนัก นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว เหตุใดน้องสาวจึงไม่กลับจากจวนของท่านยายอีก น้องสาวฝาแฝดของเขาเป็นเด็กผู้หญิง น่ารักพริ้มเพรานัก มักจะไปอยู่ที่จวนท่านยายเสมอ ดูเหมือนว่ามีใครบางคนยังไม่รู้ ว่าแท้ที่จริงแล้ว พวกเขาเป็นแฝดที่เกิดมาเวลาไล่เลี่ยกัน
จวนของท่านยายอยู่อีกเมืองหนึ่ง คิดว่าหิมะก็คงจะตกหนักไม่แพ้กัน ไม่รู้ว่าเดินทางมาจะหนาวหรือไม่ จะมีใครดูแลใส่ใจนางเท่าพี่ชายคนนี้หรือเปล่า หรือว่าตอนนี้กำลังเดินทางมา ยิ่งค่ำมืดเช่นนี้ก็เป็นห่วงนัก สีหน้าของเขากำลังครุ่นคิด
ไป๋ฟางหรงเห็นว่าลูกชายยังไม่นอน นางจึงได้เข้ามาในห้องนอนของเขาอีกครั้ง หย่งเล่อรับรู้การมาของมารดา ด้วยเพราะเขาเองก็ฝึกวรยุทธ์ตั้งแต่อายุเพียงแค่สามหนาว ผ่านมาสองปีก็เริ่มเข้าที่เข้าทาง ค่อนข้างจะรุดหน้าไปเร็วเสียด้วยซ้ำไป
จ้าวฟางหลินน้องสาวฝาแฝดนางก็ฝึกวรยุทธ์เช่นเดียวกันกับเขา และนางก็รุดหน้าเร็วด้วยเช่นกัน ที่ไปยังจวนของท่านยายบ่อย ๆ ก็เพราะว่าท่านยายคิดถึงหลานสาว อายุของท่านยายก็มาก ดังนั้นจึงได้ขออนุญาตก่อนไปเสมอ และเป็นข้อตกลงระหว่างตระกูลไป๋และตระกูลจ้าว ในหนึ่งเดือนคุณหนูน้อยจะต้องไปพักยังจวนของท่านยายแซ่ไป๋เป็นเวลาสิบวัน
“ดึกแล้วทำไมยังไม่นอนอีก” ฟางหรงเดินเข้ามาพร้อมกับนมอุ่น ๆ มอบให้ลูกชายก่อนนอน เมื่อช่วงหัวค่ำเขารับอาหารเพียงแค่ไม่กี่คำก็อิ่มแล้ว เห็นลูกชายเป็นเช่นนี้ก็ปวดใจนัก
“ท่านแม่ล่ะ ดึกป่านนี้แล้ว มัวทำอะไรอยู่ เหตุใดจึงไม่พักผ่อน ปล่อยให้ลูกกังวลใจเรื่องของท่านอยู่ได้” คำพูดของเขายังกับชายหนุ่มที่เติบโตขึ้นมาแล้วเสียอีก
ฟางหรงระบายยิ้มอ่อนหวานให้ลูกชาย “แม่ยังต้องดูบัญชีอีก และยังต้องจัดเตรียมอาหารให้ท่านปู่ท่านย่าในตอนเช้า อีกเดี๋ยวแม่ก็เข้านอนแล้ว อ้อ ยังมีห้องของหลินเอ๋อร์ แม่เอาเตาเข้าไปไว้ในห้องของน้องแล้ว หากหลินเอ๋อร์กลับมาอย่าลืมให้ใส่เสื้อคลุมขนจิ้งจอกแดงเล่า ตัวนั้นสวยนัก”
“ท่านแม่อย่าห่วงท่านปู่ท่านย่านักเลย บ่าวไพร่ในเรือนก็ตั้งมาก เหตุใดจะต้องเป็นท่านที่เหนื่อยสายตัวแทบขาด ยามเจ็บป่วยกระเสาะกระแสะเช่นนี้ ใครจะเฝ้าไข้ท่าน ก็มีเพียงแค่ข้ากับหลินเอ๋อร์เท่านั้น” จ้าวหย่งเล่อไม่เข้าใจนัก
“บางเรื่องก็มีเรื่องที่พูดยาก เอาไว้ให้เจ้าโตก่อนแล้วจะรู้ว่าเราควรต้องรับผิดชอบต่อหน้าที่” ฟางหรงยื่นนมอุ่น ๆ ให้ลูกชาย เขารับมาแล้วดื่มลงคอไปอย่างไม่อิดออดสักนิด
ดวงตาของเขาจดจ้องมองท่านแม่และกล่าวขึ้นมา “ท่านแม่ พวกเราย้ายไปอยู่ที่อื่นกันเถอะ อย่างไรแล้วท่านพ่อก็ไม่เห็นข้าและน้องรองเป็นลูก อยู่ที่อื่นสบายใจกว่า ดีกว่าอยู่ที่นี่แล้วไม่มีใครเห็นค่า”
“เจ้าก็คิดเช่นนี้รึ” ที่นางยังไม่อยากจากไป ก็คงจะมีเรื่องของลูก ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย หากลูกชายยืนกรานจะอยู่กับนาง มีหรือนางจะไม่ดีใจ เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ก่อนที่นางจะจากไปก็ขอให้จัดเตรียมของเขาไว้ให้ดีเสียก่อน
“ลูกแม่เจ้าโตขึ้นแล้วจริง ๆ” ถ้อยคำของลูกชายทำให้นางอบอุ่นหัวใจเหลือเกิน
จ้าวหย่งเล่อเหลือบเห็นว่านิ้วมือของมารดาถูกพันด้วยผ้า “ท่านแม่เป็นอะไร เหตุใดจึงได้บาดเจ็บเล่า” ด้วยเพราะเขามักเป็นห่วงมารดาเสมอ
เกรงว่าจะเจ็บป่วยล้มไข้เอาได้ทุกเมื่อ ร่างกายอ่อนแอและบอบบางเช่นนี้ ไม่รู้ว่าบิดาจะรู้หรือไม่ ท่านแม่ป่วยใจมาหลายปี นับตั้งแต่ที่คลอดลูกชายและลูกสาวออกมา
ก็ไร้ซึ่งเงาของบิดา และไร้ซึ่งจดหมายตอบกลับมา หลังจากนั้น มารดาก็ไม่คิดจะส่งจดหมายแจ้งข่าวอันใดอีก และทุก ๆ คนในจวนก็ไม่เคยคิดจะส่งจดหมายหาเขาอีกเลย
“แค่แผลเล็กน้อยเท่านั้น เจ้าอย่าห่วงเลยนะ” ฝ่ามือหยาบของมารดาลูบไล้เส้นผมสีน้ำหมึกของลูกชาย ก่อนที่นางจะเดินออกจากห้องนอน ไปยังเรือนของนางที่ไม่ห่างไกลสักเท่าไหร่
ท่านแม่ทัพเดินออกมาจากห้องของตนเอง เพราะอยากพูดคุยกับลูกชาย ใบหน้าของเขาคล้ายกับตนนัก ยังไม่ทันได้พูดจากันก็มีเรื่องที่ทำให้เขาลงมือเสียแล้ว นึกไม่ถึงว่าเขามีลูกแล้ว ในใจก็รู้สึกยินดีนัก แต่ทว่าคำพูดจากของเขาทำให้ตนเองนึกโมโห จึงได้พลาดพลั้งตีเข้าให้
ฟางหรงกระชับเสื้อคลุมขนจิ้งจอกขาวเอาไว้ นางเดินก้มหน้า เพียงแค่ไม่อยากพบหน้าคนใจร้ายอีกครั้ง แต่ในจังหวะที่นางเดินคล้ายว่าเบี่ยงตัวและหลบสายตา ทำให้หย่งคังรู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังแปลกไป
“ลูกชายข้าเขาชอบกินอะไร” ไม่รู้จะพูดอะไรดี จึงเลือกข้ออ้างเป็นลูกชายขึ้นมา เพียงแค่มองนางชัด ๆ เหมือนว่านางผอมลงมาก ใบหน้าซีดอยู่ตลอดเวลา คล้ายกับนางอิดโรยและอดนอน
“...” ฟางหรงคร้านจะพูดกับคนใจดำ นางจึงเลือกเมินเฉยและเย็นชาใส่เขา ไม่หยุดแม้แต่ที่เขาซักถามนาง ทำได้เพียงแค่เดินผ่านด้วยความอันใจอันร้าวราน
“ไม่ได้ยินที่ข้าถามเจ้ารึไง” น้ำเสียงเข้มขึ้นมาเล็กน้อย แววตาของนางรักใคร่เทิดทูนเขาไม่มีสักเสี้ยวในดวงตาที่นางมองกลับมา
“ได้ยิน แต่ไม่อยากตอบ” น้ำเสียงเย็นเหยียบนั่นได้กล่าวออกไป เดินตัวตรงไม่มีความหวั่นไหวใด ๆ อีกแล้ว สายตาของนางแน่แน่วคิดจะไปยังเรือนของตน แต่ทว่าคล้ายว่านางกำลังยั่วยุให้เขากรุ่นโกรธ
จ้าวหย่งคัง คว้าข้อมือของนางมา จากนั้นกระชากร่างบอบบางที่ล้มได้ทุกเมื่อ นางหวีดร้องขึ้นมาอย่างตกใจ ร่างเล็ก ๆ ของนางถลาเข้าแนบแผงอกของสามีอย่างจัง มือหนาจับปลายคางเชยขึ้น แววตาดุร้ายนั่นเหมือนนายพรานกำลังจะง้างธนูล่าเหยื่อ
“ปล่อยข้านะ” นางแผดเสียงออกไปและดิ้นรนขัดขืนการกระทำที่โหดร้ายนั่น
“ทำเป็นเล่นตัว เมื่อก่อนเป็นเจ้าวางยาไม่ใช่รึไง ถึงได้มีลูกให้ข้า คราวนี้ไม่ต้องพึ่งยา เช่นนั้นก็ทำลูกให้ข้าอีกคนจะเป็นไรไป” น้ำเสียงแข็งกระด้างพ่นคำพูดไม่น่าฟังเป็นไหน ๆ
ฟางหรงไม่พอใจ ตวาดเสียงใส่ชายใจร้ายคนนี้ ดวงตาคู่งามมีแต่ม่านน้ำตาปกคลุมอยู่ “เลวทราม ป่าเถื่อน” เขาใจร้ายกับนางยังไม่พอ ยังคิดจะข่มเหงรังแกนางอีกหรืออย่างไรกัน
“ใครจะมารยาเช่นเจ้าเล่า” เขาต่อปากต่อคำใส่นาง และก็ปล่อยนางให้ยืนประชันหน้าเขาอีกครั้ง แววตาของนางไม่มีแล้วสายตาที่อบอุ่น มีเพียงแค่สายแห่งความชิงชัง ทำให้เขารู้สึกวูบโหวงแปลก ๆ
“เชิญไปอยู่กับว่าที่ภรรยาของท่านเถอะ หากไม่รักไม่เห็นใจกันก็เชิญหลีกทางให้ข้า” นางตัดพ้ออีกครั้งเพียงแค่เล็กน้อย จึงได้เร่งฝีเท้าเดินหนี แต่ก็ไม่เป็นผล
จ้าวหย่งคังคล้ายถูกยั่วยุ ปากเล็ก ๆ ของนางช่างต่อว่าต่อขานเขาเสียจริง เขาจึงกระชากร่างของนางเข้ามาครั้ง คราวนี้เขาบดเบียดริมฝีปากหยักลงมาที่กลีบปากนุ่มนิ่มของนาง ความหวานหอมนี้ครั้งหนึ่งเป็นของเขาเมื่อนานมาแล้ว
ฟางหรงตาเบิกกว้างเมื่อถูกเขารุกรานปลายลิ้นเข้ามา นางเผยอปากขึ้นเล็กน้อย กำลังดิ้นหนีมือหนาของเขาแต่ก็ดูไร้วี่แววจะต่อต้าน ดังนั้นเองนางจึงกัดเข้าไปยังปลายลิ้นสากนั่น
“โอ๊ย!” เขาร้องอย่างตกใจเพราะเจ็บเมื่อถูกนางกัดปลายลิ้นเข้าให้
ฟางหรงเท้าเอวท่าทางอวดดีโอหังเสียเหลือเกิน “แค่กัด มันยังน้อยไป อย่าคิดข่มเหงข้าให้มันมากนัก รักนักรักหนามิใช่หรือไรแม่นางถังของท่าน หากอดอยากนักก็ไปสมสู่กับนางเสียสิ” กล่าวจบไม่ฟังเสียงอีกฝ่าย นางสะบัดหน้าเดินหนี มือนุ่มยกขึ้นมาทาบทับกลางหน้าอก
เขาจะรังแกนางไปถึงเมื่อไหร่กัน ในไม่ช้าเขาก็มีภรรยาใหม่ เขาคิดจะย่ำยีใจนางอีกครั้งอีกหน เขาไม่ควรจะเป็นลูกผู้ชายเสียด้วยซ้ำไป ฟางหรงเดินกลับเรือนนอนด้วยน้ำตาที่มันก็ไหลลงมาโดยที่นางไม่ต้องการสักนิด
ตะเกียงน้ำมันถูกจุดขึ้นในห้องของนางหลายอัน นางเดินไปยังโต๊ะตัวหนึ่ง บนโต๊ะตัวนั้นมีบัญชีรายรับ และรายจ่าย ยังรวมถึงบัญชีของกำนัลที่จะมอบให้บรรดาญาติพี่น้องและยังมีซองแดงที่จะต้องมอบให้เด็ก ๆ ในวันชิวอิกที่จะถึงในไม่ช้านี้
กว่าจะได้นอนก็เกือบจะรุ่งเช้าของอีกวัน นางงีบหลับไปเพียงแค่ไม่นาน เสียงของสาวใช้ก็ปลุกให้นางตื่นเสียแล้ว และวันนี้นางตื่นสายจนไม่ได้เตรียมสำรับตอนเช้าให้มารดาและบิดาสามี จึงแจ้งให้สาวใช้ไปบอกพวกท่านทั้งสอง
ห้องโถงใหญ่เรือนด้านหน้า วันนี้มีอาหารสีสันน่ากินนัก มีผัด มีน้ำแกง และมีขนม ฝีมือเป็นของแม่ครัวคนเดิม แต่ทว่ามีเสียงหนึ่งดังออกมา “ท่านปู่ ท่านย่า ข้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ” เสียงดุจกระดิ่งหยกดังขึ้นมา
ผู้ที่ถูกกล่าวถึงลุกขึ้นยืนทันใด แม่ทัพจ้าวยังคงงุนงงไม่เข้าใจ จู่ ๆ ดรุณีตัวน้อยสวมชุดสีฟ้าอ่อนวิ่งเข้ามาอย่างไม่สำรวมนัก นางวิ่งพุ่งเข้ามาหาท่านปู่ก่อน โอบกอดพลางหอมแก้มอีกด้วย จากนั้นก็ตรงมายังท่านย่าของนาง กระทำเหมือนท่านปู่ไม่ผิดเพี้ยน
เมื่อหอมแก้มผู้สูงวัยแล้ว นางจึงนึกขึ้นได้ว่าในห้องนี้เหมือนมีคนแปลกหน้าที่นางไม่เคยพานพบ นางหันกลับไปมองก็เห็นเขานิ่งอึ้งในมือถือตะเกียบเอาไว้
จ้าวฟางหลินแฝดน้องที่น่ารักน่าเอ็นดู นางฉลาดเฉลียวเป็นไหน ๆ และยอบกายลงอย่างงดงาม “คารวะท่านพ่อเจ้าค่ะ ข้าจ้าวฟางหลิน” นางแนะนำตัวเสร็จสรรพ ตะเกียบในมือแม่ทัพหล่นลงพื้นทันใด เขาลุกขึ้นยืนอย่างตกใจ
“ลูกสาวของข้า” แม่ทัพจ้าวหย่งคังตาเบิกกว้างขึ้นมา
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงของเด็กน้อยกล่าวขึ้นมาอีก จ้าวหย่งเล่อไม่ปล่อยผ่าน “น้องสาวข้าหาใช่ลูกของท่านแม่ทัพไม่ หลินเอ๋อร์ ไปพบท่านแม่ก่อน อย่าได้อยู่สูดดมอากาศร่วมกับคนใจร้าย”
ฟางหลินคล้ายว่ารู้ความนัก “คนใจร้ายที่พี่ใหญ่กล่าวถึง คือท่านแม่ทัพหรอกรึ ข้าหลงดีใจที่มีบิดาแล้วเสียอีก” สีหน้าของนางผิดหวังนัก
ผู้สูงวัยกลั้นหัวเราะแทบจะไม่ไหว เมื่อหลานชายพูดจาเข้าหูนักเชียว และยังมีฟางหลินอีกคน พวกเขาทั้งสองต่างเป็นที่รักใครเอ็นดู และยังถูกเลี้ยงดูเป็นอย่างดีอีกด้วย ฟางหลินน่ารักอ่อนหวาน แต่อย่าให้นางร้ายขึ้นมาเชียว นางจะงัดทุกมารยาทขึ้นมาจัดการอีกฝ่ายอย่างเลือดเย็น
“ข้าผิดหวังนัก ผิดหวังจริง ๆ ยินดีที่ได้รู้จักเจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพจ้าว”