
บทย่อ
'ภรรยาแสนชัง' หน้าที่ของข้าคือการเป็น 'แม่พันธุ์' ที่ต้องอุ้มบุตรให้ท่านโหวผู้มีฉายา 'หมาป่าโลหิต' แต่นอกจากสามีจะไม่ชิงชังข้าแล้ว ยังคลั่งรักข้า คลั่งการสัมผัสร่างกายของข้าราวกับเสพติด! #หลงเมีย +++++ “หึ!” ม่านลี่เซียนมั่นใจว่านางไม่ได้หูฝาด นางได้ยินเสียงแค่นหัวเราะของหยางโหวขณะมองมายังนาง ราวกับว่าเขากำลังพึงพอใจเสียกระนั้น แล้วโดยที่ม่านลี่เซียนไม่ทันตั้งตัวหมาป่าโลหิตก็ปราดเข้ามาประชิดร่างบอบบางแล้วกระชากนางเข้าไปในอ้อมกอดอย่างรวดเร็ว “ตัวเล็กแต่แข็งแรงเช่นนี้สิถึงจะเหมาะแก่การเป็นภรรยาของข้า เพราะหากร่างกายของเจ้าแข็งแรงไม่พอเจ้าคงรองรับตัวตนของข้าไม่ไหวแน่” กระซิบให้เพียงได้ยินกันแค่สองคน ก่อนจะปล่อยร่างเล็กบอบบางออกจากอ้อมแขน ซึ่งทันทีที่ม่านลี่เซียนเป็นอิสระ นางก็ถึงกับทรุดฮวบลงไปกองกับพื้นอย่างสิ้นไร้เรี่ยวแรง ตึก! ตึก! ตึก! ราวกับหัวใจแทบกระโจนออกมาจากอก น้ำเสียงทุ้มนุ่มและอ้อมกอดแข็งแกร่งของหยางโหวทำให้นางถึงกับชาวาบไปทั้งสรรพางค์กายได้อย่างน่าประหลาดใจ ++++++++ “เจ้ากลัวสัมผัสจากบุรุษหรือ” ได้ยินคำถามนี้หญิงสาวถึงกับแทบลืมหายใจ ด้วยกลัวว่าหากเขารู้ว่านางหวาดกลัวสัมผัสจากบุรุษเพศ เขาอาจพานางไปส่งคืนสกุลม่าน แล้วขอให้ฮ่องเต้จัดหาภรรยาคนใหม่ให้ นางจะแสดงให้เขาเห็นว่านางกลัวการถูกสัมผัสไม่ได้เด็ดขาด ไม่ว่าอย่างไรนางต้องเป็นภรรยาของท่านโหว นางไม่มีวันยอมแพ้ ชั่วขณะนั้นดวงตาของนางเปี่ยมไปด้วยความเด็ดเดี่ยว จนหยางหย่งเหวินนึกชอบใจอยู่ไม่น้อย “ไม่เจ้าค่ะข้าเพียงแค่ตกใจเฉยๆ” “เช่นนั้นระหว่างรอพิธีวิวาห์ ข้ากับเจ้าก็ควรต้องทำความรู้จักคุ้นเคยกันและกัน...ดีหรือไม่เล่าลี่เซียน” คนตัวเล็กนิ่งอึ้งราวกับคาดไม่ถึง ด้วยไม่คิดว่าหยางโหวจะเรียกชื่อนาง นางคิดว่าเขาไม่รู้แม้แต่ชื่อแซ่ของนางด้วยซ้ำไป เพราะเขาดูไม่ได้ใส่ใจกับการคัดเลือกภรรยาที่จะกลายเป็นแม่พันธุ์ให้เขาหย่อนน้ำเชื้อลงในครรภ์เพื่อให้กำเนิดทายาทเลยสักนิด “จะ...เจ้าค่ะ” หญิงสาวตอบรับโดยไม่คิดตรึกตรองเลยแม้เสี้ยวหายใจ ด้วยกลัวว่าเขาจะเปลี่ยนไปใจไม่รับนางเป็นภรรยา เพราะนางมีท่าทีกลัวการถูกสัมผัสตัวอย่างเห็นได้ชัดเจน “อ๊ะ...” คนตัวเล็กถึงกับอุทานเสียงสูงเมื่อจู่ๆ เขาก็อุ้มนางขึ้นนั่งบนตักอย่างหน้าตาเฉย ตึก! ตึก! ตึก! หะ...หัวใจ! หัวใจเต้นแรงเกินไปแล้ว! หญิงสาวเผลอยกมือขึ้นกุมที่อกซ้าย ด้วยไม่เคยนั่งตักบุรุษมาก่อน ชาติก่อนแม้มีสามีแต่ก็ไม่เคยใกล้ชิดสนิทสนม นางทำเพียงหน้าที่บำเรอกามราวกับเป็นสิ่งของไร้ชีวิตไร้หัวใจ ดังนั้นการนั่งบนตักบุรุษจึงเป็นสิ่งที่นางแทบจะตั้งรับไม่ทัน ‘ขะ...เขาจะได้ยินเสียงหัวใจข้าหรือเปล่านะ!’ นางไม่กล้าลุกออกจากตัก อีกทั้งยังรู้สึกราวกับตัวเองตัวเล็กลงกว่าหลายส่วน ดั่งว่านางจมหายลงไปในอ้อมแขนของเขาเสียกระนั้น ละ...แล้วแผ่นอกแข็งแกร่งที่แผ่นหลังของนางแนบชิด กะ...ก็ ก็...ทำให้นางใจสั่นจนแทบจะบ้าตายอยู่แล้ว ++++++++ “เป็นของข้านะ” “เจ้าค่ะข้าจะเป็นของท่านพี่” หญิงสาวยินยอมด้วยความเต็มใจที่จะเป็นของเขา ร่างกายของนางทุกสัดส่วนกำลังเรียกหาสัมผัสจากเขา ความกระสันซ่านสะท้านไปทั้งสรรพางค์กายจนนางไม่อาจควบคุมได้เลย นางไม่เคยรู้สึกต้องการบุรุษมากถึงเพียงนี้มาก่อน สัมผัสที่เขามอบให้ทำให้นางแทบไม่เป็นตัวเอง “ขอบคุณสวรรค์ที่ทำให้ข้าได้มาพบกับเจ้า” ชายหนุ่มพึมพำแผ่วเบาราวกับพูดกับตัวเอง แต่เพราะริมฝีปากของเขายังคงวนเวียนอยู่บริเวณหัวไหล่ หญิงสาวจึงได้ยินถ้อยคำนั้นอย่างแจ่มชัด การมีค่ากับใครสักคน การมีตัวตนกับใครสักคน การถูกทะนุถนอมโดยใครสักคน มันทำให้รู้สึกดีได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ราวกับมีแสงอันอบอุ่นอาบไล้ลงมาที่หัวใจ มันชุ่มชื่นและตื้อตันจนไม่อาจสรรหาคำสวยงามใดๆ มาบรรยายได้ เรียวปากร้อนซุกไซ้ไปตามลำคอระหง จมูกโด่งกดแรงๆ ฝังลงไปบนเนื้อนุ่มก่อนจะสูดกลิ่นหอมหวานจากกายสาว จากนั้นจึงใช้ฟันงับเบาๆ สลับกับขบเม้มด้วยเรียวปาก ทำให้ขนอ่อนบริเวณต้นคอของม่านลี่เซียนถึงกับลุกชัน สะเทิ้นสะท้านจนเผลอส่งเสียงครวญครางออกมาแผ่วเบา
บทนำ คุณหนูไร้ตัวตน
บทนำ
คุณหนูไร้ตัวตน
จืดจางไร้ค่า
สตรีรูปร่างบอบบาง สวมใส่เสื้อผ้าเก่าที่ปะชุนซ้ำๆ จนมีลวดลายหลากสีอย่างน่าขบขัน ผมสีดำคลับถูกรวบมวยอย่างระเกะระกะไม่เป็นทรง ใบหน้าที่ปกติมักก้มต่ำมองปลายเท้าค่อยๆ เงยขึ้นมองทิวทัศน์เบื้องหน้าระดับเดียวกับสายตา
‘ข้าไม่ได้เงยหน้าเช่นนี้...มานานแค่ไหนแล้วนะ’
ทันทีที่เงยหน้าขึ้น ไหล่ที่งองุ้มก็ผายออก แผ่นหลังตั้งตรงรับกับดวงตานางหงส์ ประกายตาวาววับเต็มไปด้วยพลังชีวิตแตกต่างจากเมื่อก่อนที่มักหม่นเศร้าดั่งคนไร้ชีวิตชีวา
เรียวปากอวบอิ่มสีชาดค่อยๆ แย้มยิ้มน้อยๆ เป็นยิ้มที่ปนไปด้วยความสังเวชและความโล่งใจระคนกัน
‘ขะ...ข้ากลับมาแล้ว ข้ากลับมาแล้วจริงๆ’
ราวกับมีก้อนแข็งๆ แล่นมาจุกอยู่ในลำคอ เรียวปากอวบอิ่มที่คลี่ยิ้มเม้มเข้าหากันเป็นเส้นตรง สวรรค์คงนึกสมเพชเวทนาที่นางมีชีวิตอาภัพปราศจากความสุขนับตั้งแต่ลืมตาเกิดจนสิ้นสุดลมหายใจสุดท้าย จึงได้ส่งนางให้หวนคืนกลับมาอีกครา หลังจากที่นางเสียชีวิตจากการถูกสามีเฒ่ารุ่นราวคราวปู่ทารุณกรรมจนช้ำในตายอย่างโหดร้าย
นางตายไปพร้อมกับบุตรที่มีอายุครรภ์เพียงสองเดือนกว่าๆ เท่านั้น
มือข้างหนึ่งจับกระโปรงเอาไว้ก่อนจะยกเท้าก้าวผ่านธรณีประตูเข้าไปในโถงประชุมโอ่อ่า ยอบกายน้อยๆ ทำความเคารพประมุขของตระกูลผู้มีศักดิ์เป็นบิดาผู้ให้กำเนิด
“ลี่เซียนคารวะท่านประมุขเจ้าค่ะ”
ชาติก่อน ‘ม่านลี่เซียน’ แทบจำไม่ได้เลยว่าครั้งสุดท้ายที่ได้เหยียบย่างเข้ามาในโถงประชุมอันทรงเกียรติของตระกูลม่านนั้นเมื่อใด เพราะนับตั้งแต่นางลืมตาถือกำเนิด นางก็เป็นเพียง ‘คุณหนูไร้ตัวตน’ แห่งสกุลม่านมาโดยตลอด
แม้นางจะเป็นบุตรสาวคนโตของตระกูล แต่ถือกำเนิดจากสตรีที่บิดามิได้รักใคร่ชอบพอ ด้วยถูกผู้ใหญ่จับคลุมถุงชนให้แต่งงานโดยไร้ใจ
ซึ่งลี่เซียนคือผลผลิตของ ‘ความชิงชัง’ นั้นเอง
‘ม่านจางหมิ่น’ และ ‘ไท่ซูเซียว’ ต่างฝ่ายต่างไม่รักกัน ต่างฝ่ายต่างเมินเฉยต่อกันดั่งคนแปลกหน้า ทันทีที่ไท่ซูเซียวคลอดบุตรสาวออกมา ก็ขอหย่าขาดจากบิดาแล้วเดินทางกลับสกุลเดิมทันที
ทั้งที่เวลานั้นนางเป็นเพียงทารกตัวแดงๆ ที่มีอายุแค่เพียงสิบวันเท่านั้น อย่าว่าแต่จะได้ดื่มนมสักหยดจากอกของมารดาเลย แม้แต่อ้อมกอดอบอุ่นนางก็ไม่เคยได้รับ
นางเติบโตโดยเหล่าสาวใช้ช่วยกันเลี้ยงดูไปวันๆ พอแค่ให้นางมีชีวิตรอด ให้น้ำต้มข้าว ให้ที่ซุกหัวนอน มีสภาพไม่ต่างจากสุนัขตัวหนึ่งในจวนที่กว้างใหญ่
สามเดือนหลังจากนั้นบิดาก็รับ ‘หวังฮุ่ยซิว’ หญิงคนรักเข้ามาเป็นภรรยา พิธีวิวาห์ถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่จนเป็นที่กล่าวขานไปทั้งเมืองดั่งจะประกาศให้ทุกคนประจักษ์ในรักมั่นคงที่ต่างฝ่ายต่างมีให้แก่กัน ทั้งสองมีบุตรที่เกิดจากความรักด้วยกันสองคน
คุณหนูม่านถิงถิง และ คุณชายม่านซีซวนเติบโตขึ้นท่ามกลางความรักของบิดามารดา รายล้อมไปด้วยเหล่าข้าทาสบริวารที่พร้อมจะปรนนิบัติรับใช้ด้วยความภักดี ทว่าคุณหนูใหญ่ผู้ไร้ตัวตนกลับไม่มีใครเลย
ไม่มีใครอยู่เคียงข้างเลยสักคน...
เรือนที่หญิงสาวอยู่อาศัยนั้นแม้เป็นเรือนเดิมของมารดาที่เคยอาศัยอยู่ แต่ก็ผุพังไปตามกาลเวลาด้วยไม่เคยถูกแยแสทำนุบำรุงซ่อมแซม เสื้อผ้าที่นางสวมใส่ทุกวันนี้เป็นเสื้อผ้าที่มารดาทิ้งเอาไว้เพราะเก่าและล้าสมัยเกินกว่าจะนำกลับไปด้วย
ตัวตนของนางจืดจางและแห้งแล้งดั่งผืนดินที่แตกระแหงไม่มีแม้ต้นหญ้าสักต้นแต่งแต้มลงมา
ทางด้านมารดานั้นก็หาได้น้อยหน้าบิดา หย่าขาดไปได้เพียงหนึ่งปี มารดาก็แต่งงานใหม่กับรองหัวหน้าองครักษ์เสื้อแพร ครองรักกันอย่างมีความสุขหวานชื่น มีบุตรฝาแฝดชายหญิงเป็นดั่งโซ่ทองคล้องใจ
ม่านลี่เซียนจึงเป็นเพียงส่วนเกินในครอบครัวใหม่ของบิดามารดา
นางไม่อาจหันหน้าไปพึ่งพาใครได้ แม้ใช้ชีวิตไปวันๆ ไม่ทำตัวโดดเด่น แต่ถึงอย่างนั้นมารดาเลี้ยงและน้องสาวต่างมารดาก็มักจะสั่งสาวใช้ให้มาหาเรื่องกลั่นแกล้งรังแกนางมาโดยตลอด
ที่บิดาเรียกนางมาในวันนี้ ก็เพื่อให้นางเป็นหนึ่งในสตรีทั้งเจ็ดที่องค์ฮ่องเต้จะแต่งตั้งเป็น ‘ภรรยาสมรสพระราชทาน’ แก่สหายคู่พระทัย ‘โหวหย่งเหวิน’ หรือผู้ที่มีสมญานามว่า ‘หมาป่าโลหิต’ บุรุษผู้มีกลิ่นอายเลือดคาวคลุ้ง ด้วยดาบของเขาฆ่าฟันมนุษย์และสัตว์ปีศาจมานับครั้งไม่ถ้วน
แรกทีเดียวบิดาต้องการให้ ‘ม่านถิงถิง’ ไปเข้ารับการคัดเลือก เพราะผู้ที่ได้รับการคัดเลือกเป็นภรรยาของหยางโหว ย่อมได้มาซึ่งอำนาจ เงินทอง เส้นสายที่ทำให้ตระกูลเดิมแข็งแกร่งขึ้น ด้วยทุกคนต่างรู้ดีว่าหยางโหวมีอำนาจเป็นรองเพียงโอรสสวรรค์เท่านั้น
ทว่าหยางโหวมีลักษณะนิสัยสันโดษ พูดน้อย ขี้หงุดหงิด โมโหร้าย ไม่คบค้าสมาคมกับใคร อีกทั้งยังไม่ฝักใฝ่ในอำนาจการเมือง จึงยิ่งได้รับการไว้วางพระทัยจากฮ่องเต้
และที่สำคัญที่สุด...ด้วยพลังเหนือธรรมชาติที่หยางโหวครอบครอง ฮ่องเต้จึงต้องการให้สหายเพียงหนึ่งเดียวมีทายาทสืบเชื้อสาย เพื่อส่งต่อพลังเหนือธรรมชาตินี้ไม่ให้จางหายไปจากแผ่นดิน
ทรงมองการณ์ไกลว่าบุตรของหยางโหวจะเป็นสหายร่วมรบของพระโอรสเฉกเช่นพระองค์และหยางโหวสนิทสนมกัน และหวังอยากให้บุตรชายของหยางโหวช่วยคุ้มครองพระโอรสของพระองค์ที่เวลานี้มีวัยเพียงห้าชันษาเท่านั้น
แน่นอนว่าฮ่องเต้ทรงดำริเรื่องนี้กับหยางโหวมากว่าห้าปีแล้ว ทุกครั้งที่พบหน้าพระองค์จะหยิบยกเรื่องนี้มาหว่านล้อมเสมอ แต่หยางโหวกลับปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย ฮ่องเต้ก็หาได้ละความพยายามจนในที่สุดหยางโหวจึงตอบรับคล้ายปัดรำคาญอยู่ในที