

บทนำ คุณหนูไร้ตัวตน
บทนำ
คุณหนูไร้ตัวตน
จืดจางไร้ค่า
สตรีรูปร่างบอบบาง สวมใส่เสื้อผ้าเก่าที่ปะชุนซ้ำๆ จนมีลวดลายหลากสีอย่างน่าขบขัน ผมสีดำคลับถูกรวบมวยอย่างระเกะระกะไม่เป็นทรง ใบหน้าที่ปกติมักก้มต่ำมองปลายเท้าค่อยๆ เงยขึ้นมองทิวทัศน์เบื้องหน้าระดับเดียวกับสายตา
‘ข้าไม่ได้เงยหน้าเช่นนี้...มานานแค่ไหนแล้วนะ’
ทันทีที่เงยหน้าขึ้น ไหล่ที่งองุ้มก็ผายออก แผ่นหลังตั้งตรงรับกับดวงตานางหงส์ ประกายตาวาววับเต็มไปด้วยพลังชีวิตแตกต่างจากเมื่อก่อนที่มักหม่นเศร้าดั่งคนไร้ชีวิตชีวา
เรียวปากอวบอิ่มสีชาดค่อยๆ แย้มยิ้มน้อยๆ เป็นยิ้มที่ปนไปด้วยความสังเวชและความโล่งใจระคนกัน
‘ขะ...ข้ากลับมาแล้ว ข้ากลับมาแล้วจริงๆ’
ราวกับมีก้อนแข็งๆ แล่นมาจุกอยู่ในลำคอ เรียวปากอวบอิ่มที่คลี่ยิ้มเม้มเข้าหากันเป็นเส้นตรง สวรรค์คงนึกสมเพชเวทนาที่นางมีชีวิตอาภัพปราศจากความสุขนับตั้งแต่ลืมตาเกิดจนสิ้นสุดลมหายใจสุดท้าย จึงได้ส่งนางให้หวนคืนกลับมาอีกครา หลังจากที่นางเสียชีวิตจากการถูกสามีเฒ่ารุ่นราวคราวปู่ทารุณกรรมจนช้ำในตายอย่างโหดร้าย
นางตายไปพร้อมกับบุตรที่มีอายุครรภ์เพียงสองเดือนกว่าๆ เท่านั้น
มือข้างหนึ่งจับกระโปรงเอาไว้ก่อนจะยกเท้าก้าวผ่านธรณีประตูเข้าไปในโถงประชุมโอ่อ่า ยอบกายน้อยๆ ทำความเคารพประมุขของตระกูลผู้มีศักดิ์เป็นบิดาผู้ให้กำเนิด
“ลี่เซียนคารวะท่านประมุขเจ้าค่ะ”
ชาติก่อน ‘ม่านลี่เซียน’ แทบจำไม่ได้เลยว่าครั้งสุดท้ายที่ได้เหยียบย่างเข้ามาในโถงประชุมอันทรงเกียรติของตระกูลม่านนั้นเมื่อใด เพราะนับตั้งแต่นางลืมตาถือกำเนิด นางก็เป็นเพียง ‘คุณหนูไร้ตัวตน’ แห่งสกุลม่านมาโดยตลอด
แม้นางจะเป็นบุตรสาวคนโตของตระกูล แต่ถือกำเนิดจากสตรีที่บิดามิได้รักใคร่ชอบพอ ด้วยถูกผู้ใหญ่จับคลุมถุงชนให้แต่งงานโดยไร้ใจ
ซึ่งลี่เซียนคือผลผลิตของ ‘ความชิงชัง’ นั้นเอง
‘ม่านจางหมิ่น’ และ ‘ไท่ซูเซียว’ ต่างฝ่ายต่างไม่รักกัน ต่างฝ่ายต่างเมินเฉยต่อกันดั่งคนแปลกหน้า ทันทีที่ไท่ซูเซียวคลอดบุตรสาวออกมา ก็ขอหย่าขาดจากบิดาแล้วเดินทางกลับสกุลเดิมทันที
ทั้งที่เวลานั้นนางเป็นเพียงทารกตัวแดงๆ ที่มีอายุแค่เพียงสิบวันเท่านั้น อย่าว่าแต่จะได้ดื่มนมสักหยดจากอกของมารดาเลย แม้แต่อ้อมกอดอบอุ่นนางก็ไม่เคยได้รับ
นางเติบโตโดยเหล่าสาวใช้ช่วยกันเลี้ยงดูไปวันๆ พอแค่ให้นางมีชีวิตรอด ให้น้ำต้มข้าว ให้ที่ซุกหัวนอน มีสภาพไม่ต่างจากสุนัขตัวหนึ่งในจวนที่กว้างใหญ่
สามเดือนหลังจากนั้นบิดาก็รับ ‘หวังฮุ่ยซิว’ หญิงคนรักเข้ามาเป็นภรรยา พิธีวิวาห์ถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่จนเป็นที่กล่าวขานไปทั้งเมืองดั่งจะประกาศให้ทุกคนประจักษ์ในรักมั่นคงที่ต่างฝ่ายต่างมีให้แก่กัน ทั้งสองมีบุตรที่เกิดจากความรักด้วยกันสองคน
คุณหนูม่านถิงถิง และ คุณชายม่านซีซวนเติบโตขึ้นท่ามกลางความรักของบิดามารดา รายล้อมไปด้วยเหล่าข้าทาสบริวารที่พร้อมจะปรนนิบัติรับใช้ด้วยความภักดี ทว่าคุณหนูใหญ่ผู้ไร้ตัวตนกลับไม่มีใครเลย
ไม่มีใครอยู่เคียงข้างเลยสักคน...
เรือนที่หญิงสาวอยู่อาศัยนั้นแม้เป็นเรือนเดิมของมารดาที่เคยอาศัยอยู่ แต่ก็ผุพังไปตามกาลเวลาด้วยไม่เคยถูกแยแสทำนุบำรุงซ่อมแซม เสื้อผ้าที่นางสวมใส่ทุกวันนี้เป็นเสื้อผ้าที่มารดาทิ้งเอาไว้เพราะเก่าและล้าสมัยเกินกว่าจะนำกลับไปด้วย
ตัวตนของนางจืดจางและแห้งแล้งดั่งผืนดินที่แตกระแหงไม่มีแม้ต้นหญ้าสักต้นแต่งแต้มลงมา
ทางด้านมารดานั้นก็หาได้น้อยหน้าบิดา หย่าขาดไปได้เพียงหนึ่งปี มารดาก็แต่งงานใหม่กับรองหัวหน้าองครักษ์เสื้อแพร ครองรักกันอย่างมีความสุขหวานชื่น มีบุตรฝาแฝดชายหญิงเป็นดั่งโซ่ทองคล้องใจ
ม่านลี่เซียนจึงเป็นเพียงส่วนเกินในครอบครัวใหม่ของบิดามารดา
นางไม่อาจหันหน้าไปพึ่งพาใครได้ แม้ใช้ชีวิตไปวันๆ ไม่ทำตัวโดดเด่น แต่ถึงอย่างนั้นมารดาเลี้ยงและน้องสาวต่างมารดาก็มักจะสั่งสาวใช้ให้มาหาเรื่องกลั่นแกล้งรังแกนางมาโดยตลอด
ที่บิดาเรียกนางมาในวันนี้ ก็เพื่อให้นางเป็นหนึ่งในสตรีทั้งเจ็ดที่องค์ฮ่องเต้จะแต่งตั้งเป็น ‘ภรรยาสมรสพระราชทาน’ แก่สหายคู่พระทัย ‘โหวหย่งเหวิน’ หรือผู้ที่มีสมญานามว่า ‘หมาป่าโลหิต’ บุรุษผู้มีกลิ่นอายเลือดคาวคลุ้ง ด้วยดาบของเขาฆ่าฟันมนุษย์และสัตว์ปีศาจมานับครั้งไม่ถ้วน
แรกทีเดียวบิดาต้องการให้ ‘ม่านถิงถิง’ ไปเข้ารับการคัดเลือก เพราะผู้ที่ได้รับการคัดเลือกเป็นภรรยาของหยางโหว ย่อมได้มาซึ่งอำนาจ เงินทอง เส้นสายที่ทำให้ตระกูลเดิมแข็งแกร่งขึ้น ด้วยทุกคนต่างรู้ดีว่าหยางโหวมีอำนาจเป็นรองเพียงโอรสสวรรค์เท่านั้น
ทว่าหยางโหวมีลักษณะนิสัยสันโดษ พูดน้อย ขี้หงุดหงิด โมโหร้าย ไม่คบค้าสมาคมกับใคร อีกทั้งยังไม่ฝักใฝ่ในอำนาจการเมือง จึงยิ่งได้รับการไว้วางพระทัยจากฮ่องเต้
และที่สำคัญที่สุด...ด้วยพลังเหนือธรรมชาติที่หยางโหวครอบครอง ฮ่องเต้จึงต้องการให้สหายเพียงหนึ่งเดียวมีทายาทสืบเชื้อสาย เพื่อส่งต่อพลังเหนือธรรมชาตินี้ไม่ให้จางหายไปจากแผ่นดิน
ทรงมองการณ์ไกลว่าบุตรของหยางโหวจะเป็นสหายร่วมรบของพระโอรสเฉกเช่นพระองค์และหยางโหวสนิทสนมกัน และหวังอยากให้บุตรชายของหยางโหวช่วยคุ้มครองพระโอรสของพระองค์ที่เวลานี้มีวัยเพียงห้าชันษาเท่านั้น
แน่นอนว่าฮ่องเต้ทรงดำริเรื่องนี้กับหยางโหวมากว่าห้าปีแล้ว ทุกครั้งที่พบหน้าพระองค์จะหยิบยกเรื่องนี้มาหว่านล้อมเสมอ แต่หยางโหวกลับปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย ฮ่องเต้ก็หาได้ละความพยายามจนในที่สุดหยางโหวจึงตอบรับคล้ายปัดรำคาญอยู่ในที
