9. จำต้องอยู่
ความโกลาหลเริ่มเบาบางลงเมื่อกองทัพนับพันบุกเข้ามา ยามนี้คนร้ายถูกจับกุมตัวไปเกือบหมด มีที่หนีรอดไปได้ไม่กี่คน ส่วนเชื้อพระวงค์และฮ่องเต้ยังคงอยู่ในวังหลวง ผู้ที่ชาวเมืองเห็นต่างก็เป็นเพียงเหล่าองครักษ์ปลอมตัวทั้งนั้น
ระเบียงอยู่สูงการมองจึงไม่ชัดเจน เป็นที่สังเกตยากว่าใช่ตัวจริงหรือไม่ นี้เป็นแผนล่อให้กลุ่มกบฎลงมือ เพียงแต่ชินอ๋องไม่คิดว่ามันจะใช้พิษด้วย มิหนำซ้ำยังใช้คนจากต่างแดนมาลอบสังหาร ซึ่งมีอาวุธประหลาดมากมาย ทำให้รับมือได้ยากจนเกิดความผิดพลาดขึ้น
แม้แต่ชินอ๋องยังคาดไม่ถึงทั้งที่วางแผนรับมือไว้ทุกด้านแล้ว แต่ยังดีที่ฝ่ายเขามีคนมากกว่า สุดท้ายน้ำน้อยก็ย่อมแพ้ไฟ และยังมีกลยุทธ์แก้กลคนร้าย ด้วยการใช้อาวุธของพวกมันทำร้ายพวกมันเองของหนิงเหอ ทำให้จำนวนของศัตรูลดลงอย่างรวดเร็ว จนสามารถจับกุมกบฎได้ในบางส่วน ที่เหลือทหารก็ยังออกตามล่าอยู่ทั่วเมือง
ด้านจงเฟยก่อนนั้นเขามัวแต่ต่อสู้กับคนร้าย จึงทำให้คราดกันกับผู้เป็นนาย ยามนี้เขาอยู่กับท่านแม่ทัพ ซึ่งอาการดีขึ้นมากจนลุกมาสั่งการทหารได้ เมื่อรู้ว่าฮูหยินตนหายไปเขาก็ยืนเงียบอยู่พักหนึ่ง
“สั่งคนออกตามหา นางน่าจะรู้วิธีรักษาดีที่สุด” น้ำเสียงเขายังคงเย็นชาเช่นเดิม คนสนิทจึงรีบทำตาม เพราะอดเป็นห่วงฮูหยินน้อยไม่ได้
“นี่ท่านแม่ทัพไม่ห่วงฮูหยินจริง ๆ หรือตงเล่อ”
“ข้าว่าไม่ เจ้าก็เห็น ท่านแม่ทัพสีหน้าเป็นเช่นไร”
“นั่นสิ แต่ละวันมีแต่อยากให้นางตาย ทว่าคนที่ช่วยชีวิตในวันนี้กลับเป็นคนที่ตนรังเกียจเสียได้”
“ท่านแม่ทัพคงเกรงว่านางจะทวงบุญคุณกระมัง” สองสหายเดินออกมาแล้ว ก็พากันเอ่ยถึงเรื่องที่พวกตนคาดการณ์ ซึ่งมันก็ไม่ผิดนักในสิ่งที่พากันสงสัย
จินฟานเกรงว่าฮูหยินของตนจะมาทวงบุญคุณจากเขา ไม่แน่นางอาจใช้เรื่องนี้เข้าหาก็ได้ นึกมาถึงตรงนี้แม่ทัพหนุ่มก็หงุดหงิดขึ้นมา ภายในใจตีกันยุ่งเหยิงไปหมด อีกใจเขาก็สำนึกบุญคุณที่นางช่วยชีวิตวันนี้ หากหนิงเหอไม่โผล่มา ยามนี้เขาคงท่องยมโลกไปแล้ว
ด้านคนที่แม่ทัพนึกถึง กำลังนั่งตรวจอาวุธลับที่มันเคลือบยาพิษอยู่ด้วยความสนใจ มีสายตาของชินอ๋องจับจ้องอยู่ตลอด ไม่ยอมเอนตัวนอนแม้แต่น้อย หากเป็นคนทั่วไปคงคิดว่าเขากำลังจับผิดนางอยู่ ทว่ามันไม่ใช่เช่นนั้น คงมีแค่เขาคนเดียวที่รู้ว่าทำเช่นนี้ทำไม
“รู้แล้ว เป็นพิษทากขาว แม้จะมีพิษร้ายแรง ทว่ารักษาง่ายมาก” บอกก่อนจะยิ้มร่าออกมา ทำเอาองครักษ์ทั้งสองที่ยืนอยู่ถึงกับยิ้มกว้าง
“อย่างไรแม่นางน้อย” ลั่วไห่รีบเอ่ยถาม
“ต้มน้ำด้วยสมุนไพรห้าชนิดนี้ ดื่มและแช่เจ้าค่ะ พิษจะเจือจางไปเอง ไม่เกินสองวันก็หาย” บอกตามจริง พร้อมกับยื่นเทียบยาให้ด้วย
“เอ่อ ข้าบอกวิธีรักษาแล้ว จะปล่อยข้าไปได้หรือยัง” ถามออกไปแล้วก็นั่งตัวเกร็ง เมื่อเห็นสายตาคมดุของคนตัวโตที่นั่งอยู่บนเตียง ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเดินเข้ามาหาด้วย ‘ไม่น่าให้กินยาบรรเทาอาการเลยแฮะ’ นึกในใจ
“เจ้าจะไปได้ก็ต่อเมื่อข้าหายแล้ว” เสียงเย็นเปล่งออกมา ทำเอาสตรีตัวน้อยถึงกับหดคอลง นึกหวาดกลัวอีกฝ่ายขึ้นมาดื้อ ๆ เขาดูมีอำนาจมาก และรูปงามจนนางไม่กล้ามองเขาตรง ๆ กลัวเผลอใจไปกับรูปลักษณ์นี้
แม้เขาจะดูมีอายุมากกว่าก็เถอะ มันอาจจะสิบหรือมากกว่านั้นก็ว่าได้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ดูดีมาก
“เจ้าอายุเท่าไหร่” ชินอ๋องเริ่มตั้งคำถาม เขาสงสัยในความสามารถของนาง เพราะสตรีตรงหน้าคงยังไม่ถึงวัยปักปิ่น ทว่าคำพูดและท่าทางนางดูเหมือนโตกว่ารูปร่างมาก เรื่องนี้คงไม่ใช่แค่เขาที่สงสัย
“เอ่อ อีกสองเดือนก็จะถึงวัยปักปิ่นแล้วเจ้าค่ะ ท่านน้ามีอันใดหรือเจ้าคะ” บอกไปตามจริง มิหนำซ้ำยังตีสนิทเรียกอีกฝ่ายว่าน้าอีก ถึงแม้เขาจะยังดูดีพอให้เรียกพี่ได้ก็เถอะ แต่สถานการณ์นี้มีสัมมาคารวะไว้น่าจะดีที่สุด
“หึหึ ข้าไม่ยักรู้ว่าตนเองมีหลานสาว” แม้จะไม่ชอบใจที่คนตัวเล็กเอ่ยเรียกตนเช่นนี้ ทว่าซีหลางก็ต้องยอมรับมันเมื่อรู้อายุของนาง เพราะมันห่างจากเขาถึงสิบเจ็ดปี นางเรียกเช่นนี้ก็ไม่แปลกนัก เพราะเขาแทบจะเป็นบิดาคนตรงหน้าได้เลย หากแต่งงานไปตั้งแต่อายุเท่านาง
“หากท่านน้าไม่ให้กลับ เช่นนั้นข้าวานเอาเทียบยาส่งไปที่จวนแม่ทัพลู่ด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ พอดีท่านแม่ทัพก็ถูกพิษเช่นกัน และคงรอการรักษาอยู่ก็เป็นได้” เมื่อรู้ว่าตนไม่อาจกลับเรือนได้ จึงห่วงคนที่ถูกพิษก่อนหน้านั้น นี่ก็ผ่านมาหนึ่งชั่วยามแล้ว เกรงว่าสามีอาจจะหาหมอรักษาไม่ได้ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นบุตรของท่านโหว คนที่ดูแลนางในยามนี้ จะปล่อยให้ตายไปก็ไม่ใช่เรื่อง
“ซือโม่ได้ยินแล้วก็รีบไปจัดการเสีย” หันไปสั่งคนของตน ก่อนจะสั่งคนในเรือนเตรียมอาหารให้คนตัวเล็ก ส่วนเขาขอตัวไปชำระร่างกายอีกห้อง ซึ่งมีเพียงฉากกั้นไว้เท่านั้น ทำเอาหนิงเหอต้องรีบหันหลังให้ทันที จะออกไปจากที่นี่ก็ไม่ได้ เพราะหน้าประตูมีคนเฝ้าอยู่
‘เฮ้อ นี่มันอะไรกัน ชีวิตนี้ทำไมหาความสุขไม่ได้เลย’ บ่นในใจ พร้อมกับทอดสายตาออกไปทางหน้าต่าง เนิ่นนานจนกระทั่งสัมผัสได้ถึงมือเย็นที่วางลงบนบ่า
พอหันมาก็ถึงกับนิ่งงัน เพราะภาพตรงหน้ามันคือลอนท้องแกร่ง สายตานางมันหยุดที่สะดือเขา ซึ่งมีแพขนไล่ยาวลงมาจนถึงปมกางเกงที่ใส่อยู่ ดวงตาสวยกลมโตเท่าไข่ห่าน มองไต่ขึ้นไปเรื่อยโดยเฉพาะช่วงเอวสอบของคนตรงหน้า ก่อนจะเลื่อนขึ้นไปจนถึงเม็ดไตสีเข้ม
ลำคอระหงกลายเป็นละลอกคลื่นทันที พร้อมกับกะพริบตาถี่ไปด้วย เรียกได้ว่ายามนี้นางเอาแต่จ้องรูปร่างอีกฝ่ายไม่วางตา มันเป็นสิ่งที่สตรีในยุคนี้ไม่ควรทำ ทว่าคนที่มาจากยุคปัจจุบันไหนเลยจะอาย มีของดีให้ดูส่งตรงถึงหน้า หนิงหนิงมีหรือจะเก็บอาการได้
“หุหุ จะจะ แบบนี้เลือดกำเดาไหลได้เลยนะ” พึมพำกับภาพที่เห็น ก่อนที่ทุกอย่างจะสะดุดลง เมื่อเสียงทุ้มดังมาให้ได้ยิน พร้อมกับนั่งลงตรงหน้านาง
“มองพอหรือยัง มียาหรือไม่ เอามาใส่แผลให้ที” คนตัวโตเอ่ยบอก ก่อนจะยกยิ้มที่มุมปาก
เมื่อเห็นว่าเด็กน้อยยังคงมองรูปร่างเขาโดยไม่กระดากอายสักนิด ขนาดองครักษ์ที่ยืนอยู่ยังถึงกับยิ้มแหย อายแทนนางที่เอาแต่จ้องเขา ทว่าเด็กคนนี้กลับไม่สะทกสะท้านสักนิด ไม่แปลกใจเลยที่นางคล่องแคล่วนัก ภาพที่นางกระโดดเข้ามาทางหน้าต่างเขาก็ยังจำได้ นางคงทำตามใจตนเองทุกอย่างเลยกระมัง
“นี่ ไม่ได้ยินนายท่านเอ่ยหรือ” ลั่วไห่รีบเตือน เมื่อเห็นเด็กสาวยังคงเอาแต่จ้องร่างกายผู้เป็นนาย
“เอ่อ แล้วทำไมท่านน้าไม่ให้พี่สองคนนี้ทาล่ะ” ถามเสียงติดขัด เพราะตอนนี้ร่างกายมันร้อนยังไงบอกไม่ถูก ถึงจะชอบมองหุ่นผู้ชาย ทว่าพอนานไปคนเรามันก็ต้องกระดากอายกันอยู่แล้ว คราแรกนางก็แค่ตกใจเท่านั้น เลยกวาดสายตาเสียทั่วตัวเขาเลย
“เจ้าเป็นหมอ และเป็นสตรี รู้หนักเบากว่าพวกเขา รีบทาข้ารู้สึกหนาวแล้ว” ออกคำสั่งอีกครั้ง
“ชิ ก็ใครให้มาถอดผ้าเปลือยร่างกายเช่นนี้ล่ะ แค่แหวกออกก็ทาได้หรอก” บ่นให้อีกฝ่ายโดยไม่เกรงสักนิด สองคนสนิทก็ได้แต่หน้าเสีย กลัวว่าผู้เป็นนายจะสั่งลงโทษสตรีตัวน้อยก่อนจะได้รักษา
และสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นคือชินอ๋องโน้มหน้าเข้าหาเด็กสาว ก่อนจะกระซิบข้างหูนางที่นั่งตัวแข็งทื่ออยู่
“ก็เห็นเจ้าเรียกข้าว่าท่านน้า เลยอยากให้รู้ว่าข้าไม่ได้แก่ถึงเพียงนั้น” กล่าวจบซีหลางก็เหยียดตัวตรงเช่นเดิม พร้อมกับยกยิ้มที่มุมปาก ซึ่งมันทำให้หนิงเหอถึงกับใบหน้าเห่อร้อนทันที
#ท่านอ๋อง จะอ่อยน้องแบบนี้ไม่ได้นะ