10. เฉยชา
คนตัวเล็กถึงกับทำอันใดไม่ถูก ลุกพรวดขึ้นแล้ววิ่งออกไปจากห้องนี้ตรงไปที่ประตู โดยไม่มีใครวิ่งตามนอกจากองครักษ์ ดีที่ซือโม่คว้าแขนนางไว้ได้ทัน
“นายท่านให้ข้าน้อยไปส่ง ขึ้นรถม้าเถอะขอรับ แม่นางจะไปลงที่ใดก็บอกแล้วกัน” องครักษ์หนุ่มรีบเอ่ย เกรงว่านางจะยิงหน้าไม้ที่ถือติดมือมาด้วยใส่เขา
“นายท่านฝากขออภัยที่แกล้งแม่นางเมื่อครู่ด้วย เอาไว้จัดการธุระเรียบร้อยเขาจะไปขอบคุณแม่นางด้วยตนเองอีกที” ซือโม่บอกกล่าวถ้อยคำของผู้เป็นนาย
“มะ” หนิงเหอหมายจะบอกว่าไม่ ทว่าเมื่อนึกอะไรได้จึงเงียบไป แล้วเอ่ยอย่างอื่นแทน “อืม เช่นนั้นท่านช่วยไปส่งข้าที่หมู่บ้านริมทะเลสาบแล้วกัน ข้าพักอยู่ที่นั่น” โกหกเรื่องที่อยู่ องครักษ์จึงพาขึ้นรถม้าไปส่งยังจุดหมาย
พอมาถึงหนิงเหอก็แสร้งบอกว่าเรือนหมอนี้เป็นบ้านของตน องครักษ์หนุ่มก็เชื่อสนิทใจ เมื่อเห็นชาวบ้านบางคนทักทายนาง และเด็กสาวก็เดินเข้าไปด้านใน เขาจึงได้กลับไปรายงานผู้เป็นนายให้ทราบเรื่อง
ทว่าร่างเล็กกลับเดินลัดเลาะออกทางด้านหลัง มุ่งไปที่ท่าเรือ เพื่อข้ามฝากไปอีกหมู่บ้าน และยังต้องไปต่ออีกหนึ่งก้านธูป โดยการเดินเท้าซึ่งไม่เป็นปัญหาเลยสักนิด นางทำเช่นนี้เพื่อไม่ให้ผู้คนสืบรู้ว่าเป็นผู้ใด
จนกระทั่งมาถึงเรือนพักนอกเมืองของตน คิ้วสวยผูกกันเป็นปมทันที เมื่อเห็นรถม้าของจวนสกุลลู่ มันไม่ใช่คันที่นางใช้ ทว่าหากเดาไม่ผิดมันเป็นของสามีนาง
“มาทำไม หรือยังไม่ได้รับเทียบยาถอนพิษ” เมื่อนึกได้เช่นนั้นก็รีบเดินตรงไปที่เรือนพัก เหล่าองครักษ์เห็นก็รีบตรงเข้ามาถามไถ่ โดยเฉพาะจงเฟย
“ฮูหยินปลอดภัยนะขอรับ” ถามอย่างร้อนใจ
“อืม แล้วพี่และคนอื่น ๆ ล่ะ”
“พวกเราปลอดภัยดีเจ้าค่ะ มีแต่ท่านแม่ทัพที่” เสี่ยวจูยังเอ่ยไม่จบ จางหย่าก็เดินออกมาจากเรือนเสียก่อน
“ฮูหยินรีบไปดูท่านแม่ทัพเถอะขอรับ” ท่าทางองครักษ์ร้อนใจยิ่งนัก เป็นเพราะยามนี้จินฟานยังไม่ได้รับการถอนพิษ เขาตรงมาหาฮูหยินตนก่อน จึงทำให้สวนทางกับผู้ที่ส่งเทียบยาไปให้ อาการเขายามนี้จึงทรุดหนัก จนใบหน้าเขียวคล้ำไม่ต่างจากชินอ๋อง
“บ้าจริง รีบจับเขาลุกนั่ง” หันไปบอกกับองครักษ์ จางหย่าและจงเฟยจึงรีบทำตาม หนิงเหอปลดอาภรณ์ของสามีออก ก่อนจะเริ่มฝังเข็มขับพิษทันที
ไม่นานนักโลหิตสีดำคล้ำก็พุ่งออกมาจากริมฝีปากหนา ยามนี้จินฟานได้สติแล้ว เขามองเห็นฮูหยินตัวน้อยของตนกำลังเดินไปที่โต๊ะ เขียนบางสิ่งอย่างรีบร้อน ไม่นานก็ยื่นส่งให้สาวใช้ซึ่งรีบร้อนออกไปเช่นกัน ก่อนที่นางจะลุกเดินเข้ามาหาเขา พร้อมกับจับชีพจรให้
“ขับพิษส่วนที่จะแล่นเข้าหัวใจแล้ว ต่อไปก็กินยาสลายพิษ และต้องแช่สมุนไพรด้วยนะเจ้าคะ คืนนี้ท่านแม่ทัพคงต้องพักที่นี่ไปก่อนคงไม่เป็นไรกระมัง” เอ่ยด้วยเสียงเรียบ ไม่บ่งบอกถึงความเป็นห่วงเลยสักนิด
“ขอบใจ” คนเจ็บก็ตอบมาแค่นั้น ก่อนจะขยับเอนตัวลงนอน ซ้ำยังหมายจะหันหลังให้อีก
“แผลของท่านจำต้องทายาก่อน” บอกเสียงเรียบ
พร้อมกันนั้นนางก็รั้งไหล่แกร่งให้หันมาด้วย คนสนิทจึงลุกออกมายืนมองอยู่ห่าง ๆ เพราะเกรงผู้เป็นนายจะขัดขืน ไม่ยอมให้ฮูหยินทายาให้ ทว่ากลับไม่เป็นเช่นที่คิด
จินฟานนอนแผ่หราบนเตียง ปล่อยให้ฮูหยินตนทายาจนแล้วเสร็จ ยามนี้เองที่เขาได้มองหน้านางชัด ๆ คนตัวเล็กมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่ปรากฏความรู้สึกใดออกมา สร้างความฉงนแก่ใจเขายิ่งนัก นางควรถาม ไม่ก็เอ่ยสิ่งใดบ้างสิ
“เจ้าไปที่ใดมา เหตุใดพึ่งกลับจนป่านนี้” อดไม่ได้จึงถามขึ้นมาเสียเอง เพราะทนความเฉยชาของนางไม่ไหว
“รักษาคน” ตอบออกไปแค่นั้น ก่อนจะลุกจากเตียงให้คนสนิทเขาจัดการต่อ ทำเอาแม่ทัพหนุ่มถึงกับหน้าเจื่อน เพราะฮูหยินตนไม่ได้มีท่าทีห่วงใยเขาแม้แต่น้อย
“พี่เสี่ยวเหม่ย หากต้มยาเรียบร้อยแล้วก็ยกมาให้ท่านแม่ทัพดื่มนะ ส่วนที่ต้องใช้แช่ก็จัดการเตรียมไว้ได้เลย ดื่มยาแล้วก็ลงไปแช่ประมาณหนึ่งเค่อก็พอ” สั่งสาวใช้ที่รับหน้าที่เรื่องยา ก่อนจะออกจากห้องพักไป ซึ่งมันเป็นห้องนอนของนาง ทว่ายามนี้ต้องยกให้คนเจ็บ แต่เมื่อเดินออกมาก็เห็นองครักษ์หนุ่มกำลังทำแผลอยู่หลังเรือน
“ตอนที่ข้าถาม เหตุใดพี่ถึงบอกว่าไม่เป็นไร” ตำหนิเขาทันที ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามกัน ซึ่งยามนี้จงเฟยปลดเสื้อของตนลงมาหนึ่งข้าง เผยแผงอกแน่นไม่ต่างจากคนที่นอนอยู่บนเตียง และใครอีกคนที่ทำนางกระดากอายจนต้องรีบหนีออกมาจากเรือนนอกเมืองหลังนั้น
จงเฟยถูกฟันที่แขนซ้าย ในช่วงที่เขากำลังวิ่งตามคนตัวเล็กนี่แหละ จึงทำให้เขาพลาดไม่ทันระวังตัว
“ข้าน้อยไม่เป็นอันใดขอรับ” บอกอย่างเกรงใจ ทว่าผู้เป็นนายก็ยังล้วงเอายาออกมาทาให้เขา ก่อนจะพันผ้าให้อย่างดี พร้อมกับเป่าราวกับจะทำให้มันหายเสียอย่างนั้น
“ข้าร่ายมนต์แล้ว พรุ่งนี้หายเจ็บแน่นอน เอาล่ะ ข้าไปอาบน้ำดีกว่า วันนี้เหนื่อยมากเลย พี่เฟยต้มบะหมี่ให้กินด้วยนะ” บอกเขาก่อนจะเดินอ้าปากหวอตรงไปยังห้องนอนอีกห้อง เพราะนี่ก็ยามเฉินแล้ว [07:00-08:59] เกิดเรื่องทั้งคืนเรียกได้ว่าร่างนี้ไม่ได้พักเลย
กว่าจะรักษาคนเสร็จ ไหนจะเดินทางกลับเรือนนี้อีก ดีที่หนิงเหอใช้แรงมาตลอด เลยทำให้นางแกร่ง แม้จะตัวเล็กแค่นี้ หากเป็นคุณหนูทั่วไปคงหมดสติไปตั้งแต่เกิดการลอบสังหารแล้ว ทว่านางกลับยังดูมีพลังเหลืออีก
จงเฟยรับคำ พร้อมกับมองนางอย่างเอ็นดู เมื่ออีกฝ่ายลับตาไปเขาก็ก้มลงมองผ้าพันแผลของตนแล้วก็ยิ้ม “ขอบคุณนะขอรับ” เอ่ยจบเขาก็ใส่อาภรณ์ตามเดิม ก่อนจะตรงไปยังครัวทำสิ่งที่ผู้เป็นนายสั่ง
ด้านจินฟานยังคงรักษาตัวอยู่ที่เรือนนี้ต่อ มีคนสนิทคอยดูแล รวมถึงเสี่ยวจูและเสี่ยวเหม่ยที่ผลัดกันมาส่งยาให้ ตลอดสามวันเขาไม่เห็นหน้าฮูหยินเลย ได้ยินเพียงว่านางถามอาการเขากับสาวใช้เท่านั้น
จนกระทั่งเขาหายและแข็งแรงดี จึงออกมาเดินเตร่อยู่ข้างนอก จึงได้เห็นว่าด้านหลังซึ่งเป็นป่าไผ่ มีเป้ายิงธนูมากมาย และคนที่กำลังฝึกซ้อมอยู่ก็คือฮูหยินตัวน้อยซึ่งไม่น่าจะมีแรงน้าวสายได้
ทุกดอกล้วนแต่เข้าเป้า แม้จะไม่ตรงจุดกลางก็เถอะ ทว่าหากยิงคนอย่างไรนางก็คงไม่พลาด คนสนิททั้งสองไม่ได้ตื่นตกใจเช่นเขา คงเพราะสามวันมานี้ได้เห็นมาบ้างแล้ว จึงได้เอาแต่ยิ้มและส่งเสียงชื่นชมเท่านั้น
“ไม่คิดเลยว่าฮูหยินจะเก่งเพียงนี้” ตงเล่อเอ่ย
“นั่นสิ เป็นเจ้าหรือที่ฝึกให้นาง” จางหย่าหันมาถาม จงเฟย อีกฝ่ายก็พยักหน้าและเล่าให้ฟังว่าตลอดสามเดือนที่ออกมาที่นี่ ฮูหยินจะขึ้นเขาเก็บสมุนไพรและฝึกอาวุธ กลางคืนก็ศึกษาตำรายาต่าง ๆ
ทุกคำจินฟานยืนฟังอย่างตั้งใจ ไม่คิดว่าฮูหยินตนจะทำเรื่องเช่นนี้ มันตรงกันข้ามกับสิ่งที่เขาคิดไว้มาก นางควรร่ำเรียนหลักจรรยาของสตรี เพื่อเอาไว้ใช้กับเขาไม่ใช่หรือ
ไยต้องพาตนเองมาลำบากอยู่นอกเมือง หรือจะเป็นเช่นที่บิดาเขาเอ่ย นางตั้งใจจะหย่ากับเขาเมื่ออายุครบสิบแปดจริง ๆ เป็นเขาเองที่ตั้งแง่กับนางงั้นหรือ
ทว่ายังไม่ทันที่จะได้เอ่ยอันใดอีก ทหารจากวังหลวงก็ตรงเข้ามารายงานเสียก่อน
“ท่านแม่ทัพ ฝ่าบาทรับสั่งให้ท่านเข้าเฝ้าเป็นการด่วน ได้ยินว่ายามนี้แคว้นชิงหนานยกทัพมาประชิดชายแดนแล้วขอรับ” ถ้อยคำของทหารส่งข่าว ทำเอาทุกคนต่างก็ชะงักไป แม้แต่คนที่กำลังเล็งธนูอยู่ก็เช่นกัน
‘มีสงคราม? หากเดาไม่ผิด ช่วงเวลานี้น่าจะเป็นศึกทางทิศเหนือ ศึกที่กินเวลานานถึงสามปี อีตาแม่ทัพนี่ก็คงต้องไปออกรบ ดีเลยแบบนี้จะได้ไม่ต้องทนเห็นหน้ากัน’