11. ศึกใหญ่
จินฟานกลับเข้าเมืองหลวง โดยไม่ลืมพาฮูหยินของตนกลับไปด้วย นี่จึงเป็นคราแรกที่ทั้งคู่เดินทางด้วยกัน และเดินเข้าจวนพร้อมกันด้วย เพื่อให้ทุกคนรู้ว่าเขาไม่ได้เป็นอันใดมาก ไท่ฮูหยินเอ่ยขอบคุณหลานสะใภ้อยู่หลายคราที่ช่วยจินฟานไว้ ท่านโหวก็เช่นกัน
หนิงเหอก็ได้แต่ยิ้มรับไม่ได้เอ่ยอันใดมาก บอกเพียงว่ามันคือหน้าที่ของนาง ก่อนจะขอตัวกลับเรือนไปโดยไม่กล่าวอันใดกับสามีเลย ทำเอาแม่ทัพหนุ่มถึงกับไปไม่เป็น
“รีบไปเข้าเฝ้าไม่ใช่หรือ ไปเถอะ” เมื่อเห็นบุตรชายยังยืนนิ่ง ท่านโหวจึงเอ่ยเตือนสติเขา จินฟานจึงคำนับบิดาและท่านย่า ก่อนจะออกไปจากจวน และไม่ลืมสั่งให้องครักษ์ของฮูหยินเฝ้านางให้ดี ห้ามมิให้ออกจากจวนเด็ดขาด จงเฟยถึงกับผูกคิ้วเป็นปมทว่าเขาก็รับคำ
หนึ่งชั่วยามผ่านไป จินฟานก็กลับมาแจ้งข่าวกับบิดาว่าเขาต้องนำทัพใหญ่ไปช่วยทำศึกที่ชายแดน และศึกครั้งนี้ไม่ได้เกิดเพียงด้านเดียว ยังมีทางทิศตะวันออก ซึ่งติดกับแคว้นอูอันด้วย เรียกได้ว่า แคว้นโจวกำลังมีศึกประชิดทั้งสองด้าน ทำให้คนที่รามือจากกองทัพอย่างชินอ๋องต้องนำทัพด้วย เพื่อแยกกันรบกับฝ่ายศัตรู
“ท่านพ่อลูกต้องเดินทางเดี๋ยวนี้ไม่อาจรอช้าได้ รักษาตัวให้ดีนะขอรับ” เอ่ยกับบิดา ก่อนจะหันไปหาท่านย่าของตน รวมถึงพี่น้องและแม่เล็กทั้งสอง หนึ่งในผู้ที่ยืนอยู่ก็มี หนิงเหอด้วย เพราะต้องมาส่งเขาตามหน้าที่
ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยอันใดกับนาง เสียงหวานของใครบางคนก็ดังขึ้นมาเสียก่อน นั่นคือหลี่หลิน
“พี่จินฟานข้ามาส่งพี่” บอกโดยไม่เกรงใจฮูหยินของจวนนี้สักนิด เพราะหลี่หลินรู้ดีว่าแม่ทัพหนุ่มไม่ได้มีใจต่อนาง การแต่งงานมีข้อตกลงใดนางรู้ดี เพราะจินฟานเล่าให้ฟังจนหมด และยังบอกให้นางรอเขาด้วย
“พี่หลี่หลินช่างดีจริง ๆ อุตส่าห์มาส่งพี่ใหญ่ก่อนจะไปออกรบ” ชิงสุ่ยรีบตรงเข้าไปเกาะแขนทันที
“พี่สะใภ้อย่าใส่ใจเลยนะ อย่างไรพี่ก็เป็นฮูหยินใหญ่” ปันปันขยับเข้ามายืนใกล้หนิงเหอบ้าง
“อย่ากังวลเลยเจ้าค่ะ พี่ไม่ใส่ใจเลย ใครจะมาส่งใครก็ช่าง ไม่เกี่ยวกับพี่” บอกก่อนจะยื่นบางสิ่งให้คนสนิทของสามี “นี่เป็นยาที่ข้าปรุง เก็บไว้เผื่อจะต้องใช้มัน อย่างน้อยหากถูกพิษก็ยังชะลออาการได้ จะได้หาหมอรักษาได้ทัน” สั่งคนของสามีเสร็จนางก็หันมาหาเขา
“ข้าขอส่งท่านแม่ทัพตรงนี้นะเจ้าคะ ขอให้ได้รับชัยชนะกลับมา” เอ่ยจบนางก็ย่อตัวให้อย่างนอบน้อม แล้วหันมาหาท่านโหวและไท่ฮูหยิน รวมถึงแม่เล็กทั้งสอง แล้วหมุนตัวเดินออกไปจากห้องโถงนี้ พร้อมกับเสียงถอนหายใจในเวลาต่อมา
“เฮ้อ! อึดอัดชะมัด”
“ฮูหยินเหตุใดท่านออกมาเร็วเพียงนี้” เสี่ยวจูเอ่ยถาม เพราะนางและสหายยืนรอด้านนอก จงเฟยก็อยู่ด้วย
“ข้าไม่อยากอยู่เป็นก้างใคร คนรักท่านแม่ทัพมาไม่เห็นหรือ มีข้าอยู่เขาก็พลอดรักกับนางไม่ได้สิ” เอ่ยบอกเสียงใส ไม่มีท่าทีของคนเสียใจสักนิด จะเป็นเช่นนั้นไปได้เยี่ยงไร
ในเมื่อนางไม่ได้รู้สึกอันใดกับเขา ยิ่งไปกว่านั้นก่อนนี้จินฟานก็แสดงออกให้เห็นชัดเจนว่ารังเกียจนาง แล้วหนิงเหอจะต้องสนใจเขาเพื่ออันใด
“เอาล่ะไม่ต้องพูดถึงเรื่องคนอื่น ไปยกอาหารมาเถอะข้าหิวจะแย่แล้ว” ว่าพร้อมกับดันสาวใช้ทั้งสอง
เพราะรู้ดีว่านางต้องเอ่ยถามอีกเป็นแน่ ยามนี้จึงมีแต่หนิงเหอและองครักษ์หนุ่มที่เดินกลับเรือนพักด้านหลัง แม้นางจะได้สิทธิ์พักในเรือนของสามีก็เถอะ
“เหตุใดฮูหยินเอ่ยราวกับไม่รู้สึกอันใดกับท่านแม่ทัพล่ะขอรับ อย่างไรท่านก็เป็น”
“พี่เฟยอย่าได้เอ่ยเรื่องนี้อีก ข้ากับเขาเกี่ยวข้องกันแค่สถานะ ซึ่งไม่กี่ปีมันจะต้องจบลง ต่อไปอย่าเอ่ยอีก” กดเสียงใส่คนตัวโต ประโยคหลังหันกลับมาหาเขา ทว่าสายตานางกลับมองผ่านไปยังร่างสูงที่ยืนอยู่ด้านหลัง
“ข้ามีเรื่องต้องคุยกับเจ้า” เสียงเย็นเปล่งออกมา ทำให้จงเฟยต้องขยับถอยออกมายืนอีกมุม เมื่อผู้เป็นนายเดินมาพร้อมกับรั้งเอาร่างเล็กตรงไปที่เรือนด้วย
หนิงเหอถอนหายใจกับการกระทำของเขาที่มันไม่เคยเปลี่ยนไปเลยสักนิด ดีแต่ใช้กำลังข่มเหงอยู่ตลอด แม้นางจะช่วยชีวิตเขาไว้ก็เถอะ
“ว่ามาท่านมีสิ่งใดจะสั่งเสีย” ถามเขาในขณะที่ทั้งคู่ยืนเผชิญหน้ากันในห้องโถงของเรือน ประโยคที่คนตัวเล็กเอ่ยทำเอาจินฟานถึงกับหน้าชา
“ข้าอาจต้องไปนาน สึกนี้อีกฝ่ายมีแม่ทัพที่เก่งกลยุทธ์มาก ไม่แน่ว่าข้าอาจจะไม่ได้กลับมา จดหมายหย่าอยู่กับท่านพ่อแล้ว หากข้า…หากข้าตายไปจริง ๆ ท่านพ่อจะคืนอิสระภาพให้เจ้า แต่ถ้าเจ้าอยากอยู่ที่นี่ต่อไปในฐานะฮูหยินข้า ก็สุดแล้วแต่เจ้า” บอกสิ่งที่เขาเตรียมไว้ให้นาง น่าแปลกที่จินฟานรู้สึกกระอักกระอ่วนที่จะพูดมัน
“มีแค่นี้หรือ เช่นนั้นก็ขอบคุณที่บอกกล่าว ข้าเองก็หวังให้ท่านได้รับชัยชนะ ไม่ตายในสนามรบเสียก่อน ข้ายินดีจะรับจดหมายหย่าจากมือท่านเองมากกว่า” บอกเขาก่อนจะยิ้มบางส่งให้ แล้วถอยออกมาห่างเขาถึงสองก้าว จินฟานรู้สึกใจหายเมื่อเห็นการกระทำของนาง ทว่าเขาก็ไม่เอ่ยสิ่งใด หมุนตัวเดินออกไปโดยไม่หันกลับเช่นกัน
“ข้าหวังว่าท่านจะปลอดภัยกลับมาท่านแม่ทัพ” เอ่ยออกมาเบา ๆ มองแผ่นหลังอีกฝ่ายที่เดินออกไปจนกระทั่งลับตา ก่อนจะเป็นคนสนิททั้งสามเดินเข้ามา หนึ่งในนั้นได้ยินสิ่งที่ทั้งคู่พูดคุยกันอย่างชัดเจน เพราะอดเป็นห่วงนายหญิงไม่ได้ จึงเสียมารยาทมายืนเฝ้าอยู่ข้างนอก
“ดีจริง ท่านแม่ทัพมากล่าวลาฮูหยินน้อยด้วยตนเอง ดูท่าคงจะเริ่มใจอ่อนแล้วเป็นแน่” เสี่ยวจูเอ่ยในสิ่งที่คิด
“เลิกเอ่ยถึงคนผู้นั้นเถอะ ข้าหิวแล้ว” บอกก่อนจะเดินไปรอที่โต๊ะ สาวใช้จึงได้แต่เงียบปากไว้ คงมีเพียงองครักษ์หนุ่มที่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น ยามนี้เขาจึงยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู พร้อมกับใบหน้าเปื้อนยิ้มราวกับคนมีความสุข
*********************************
จวนชินอ๋อง
“สืบได้ความว่าเช่นใด” ซีหลางเอ่ยถามคนสนิทถึงเรื่องที่ให้ไปทำ ในขณะที่เขายืนให้สาวใช้แต่งตัว
เขาเองก็ต้องออกรบเช่นกัน เพราะมีศึกขนาบข้างทั้งสองทิศ ซึ่งมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“กระหม่อมทำตามรับสั่งแล้ว ทว่าชาวบ้านต่างก็บอกว่าเรือนนั้นไม่ใช่ที่พักของนางพ่ะย่ะค่ะ” ซือโม่บอกเสียงอ่อย ครานี้เขาทำงานพลาดจริง
นัยน์ตาคมหันมาหาคนสนิทที่ยืนก้มหน้าสำนึกผิด ไม่ถึงอึดใจเสียงตำหนิก็ดังขึ้น “สตรีผู้เดียวเจ้าก็ยังหาที่มาไม่ได้หรือ ข้าควรให้เจ้าอยู่ข้างกายหรือไม่”
“กระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ใครจะคิดว่านางจะเล่ห์เหลี่ยมมากเพียงนี้ หลอกให้ไปส่งที่หมู่บ้านริมทะเลสาป แต่มันกลับไม่ใช่ที่พักนาง” องครักษ์หนุ่มคุกเข่าลงเล่าเรื่องราวให้ผู้เป็นนายฟัง
แต่แทนที่ชินอ๋องจะโกรธ ยามนี้เขากลับเผยยิ้ม เมื่อฟังคำพูดของคนสนิทเอ่ยถึงสตรีตัวน้อยที่ช่วยชีวิตตนไว้ นางเฉลียวฉลาดจริง ๆ นั่นแหละ ไม่เช่นนั้นคงไม่หลอกล่อคนของเขาจนหลงกลเช่นนี้
“ช่างเถอะ ทำเรื่องที่สำคัญก่อน เตรียมม้าเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่” หันมาถามองครักษ์อีกคนที่ยืนอยู่
“พ่ะย่ะค่ะ ด้านแม่ทัพลู่ก็ออกเดินทางไปแล้ว”
“อืม เช่นนั้นเราก็ออกเดินทางได้ การศึกมิอาจรอช้า” ออกคำสั่งเมื่อสวมชุดเรียบร้อยแล้ว ท่วงท่าองอาจใครเห็นเป็นต้องลอบมอง ทว่าทุกคนก็ยังตื่นกลัวอำนาจของอ๋องผู้นี้ ซึ่งมีมากเกินกว่าผู้คนจะคาดคิด
เสียงควบม้าดังก้องในเมือง และมันก็เลือนหายไปในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ จนกระทั่งความสงบกลับคืนมา แต่ก็ไม่ทั้งหมดเพราะราษฎรต่างก็ร้อนใจกันมากกว่า การศึกครานี้มีประชิดมาทั้งสองด้าน ทำเอาราษฎรแคว้นโจวต่างก็ขวัญเสีย แม้จะมีแม่ทัพใหญ่นำทัพเองก็เถอะ
********************************************