12. ไม่เหมือนเดิม
สามเดือนผ่านไป หนิงเหอยังคงใช้ชีวิตเช่นเดิม ทว่านางได้เพิ่มพื้นที่ปลูกพืชผักมากมายจนบ่าวต่างก็สงสัย
“นายหญิง เหตุใดท่านถึงให้คนปลูกผักเลี้ยงเป็ดไก่มากมายเพียงนี้เจ้าคะ” อดไม่ได้เสี่ยวจูจึงถาม ผู้เป็นนายก็ได้แต่ยิ้ม พร้อมกับปรุงสมุนไพรไปด้วย ทว่าทนความอยากรู้ของแต่ละคนที่เอาแต่จ้องนางไม่ได้จึงตอบ
“แคว้นโจวปกติก็ทำการเกษตรน้อยอยู่แล้ว เจ้าคิดว่ามีศึกเช่นนี้เราจะมีเสบียงสำหรับทหารเพียงพอหรือ หากศึกแค่ด้านเดียวก็ว่าไปอย่าง” บอกสิ่งที่คิดและเคยเรียน
ทว่ามันกลับไม่ตรงตามบันทึก เพราะแคว้นโจวไม่เคยพบกับศึกสองด้านเช่นนี้ แน่นอนว่าเสบียงไม่มีทางพอ
“นายหญิงทราบเรื่องนี้ด้วยหรือขอรับ” จงเฟยเอ่ยถามด้วยความสงสัย เขาก็เห็นนางอยู่แต่กับพืชผักสมุนไพรทั้งวัน ไปรู้เรื่องพวกนี้มาจากที่ใดกัน
“เอาเถอะข้ารู้ก็แล้วกัน คาดว่าต่อไปอาจมีชาวบ้านมาเรียนรู้วิธีปลูกพืชผักเลี้ยงสัตว์ที่นี่ ภายหน้าทุกคนอาจจะต้องเหนื่อยหน่อย ถือเสียว่าทำเพื่อบ้านเมืองนะ”
“หากเป็นเช่นนั้นจริง พวกเราก็เต็มใจเจ้าค่ะ” เสียงตอบรับของสาวใช้ดังขึ้น รวมถึงคนงานที่ได้ยินคำกล่าวของนายหญิง ซึ่งทั้งหมดล้วนแต่เป็นคนในหมู่บ้านนอกเมือง
ยามนี้มีอาชีพมีงานทำ และยังมีรายได้เพิ่มขึ้นด้วย ชื่อเสียงของหนิงเหอจึงเริ่มถูกพูดถึง ทว่านางก็ยังปกปิดฐานะของตนที่เป็นสะใภ้ของสกุลลู่อยู่ ยามนี้นางก็อายุสิบห้าปีเต็มแล้ว ความงามก็เริ่มเผยออกมามากขึ้น
ทว่าหนิงเหอก็ยังใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่งกายด้วยอาภรณ์เฉกเช่นชาวบ้านทั่วไป ลงมือทำทุกอย่างเองเป็นที่ชื่นชมของบ่าวที่รับใช้รวมถึงคนงานนับสามสิบคน
สมุนไพรรักษาโรคและบาดแผลถูกปรุงขึ้น และส่งไปยังชายแดนที่ทำศึก ด้วยการสนับสนุนของท่านโหวที่ทุ่มเงินให้สะใภ้เต็มที่ ขาดเหลือสิ่งใดเขารีบจัดหาให้ทันที
********สองปีต่อมา********
วันเวลาผ่านไปเรื่อย ชายแดนก็ยังคงทำศึกแพ้ชนะสลับกันไปมา แต่แคว้นโจวเสียเปรียบตรงที่ทหารเริ่มเสียขวัญ เพราะเสบียงไม่พอบางวันได้กินอิ่ม บางวันกินแต่น้ำต้มข้าวเท่านั้น จึงทำให้หมดแรงต่อสู้โดยง่าย
ยามนี้จึงทำให้เสียเมืองไปถึงสองเมือง ทางทิศเหนือของแคว้น ซึ่งเป็นการนำทัพของจินฟาน ยามนี้พวกเขาต้องถอยร่นมาที่เมืองฉาง ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงสามวัน เป็นที่กังวลใจของฮ่องเต้อย่างมาก
ต่างจากฝั่งของชินอ๋องที่ยังคงรักษาเมืองได้ และตีเมืองของอีกฝ่ายมาได้ถึงสาม ทำให้แคว้นต้าเว่ยส่งสาส์นยอมจำนนหย่าศึกในที่สุด
ยามนี้ชินอ๋องกำลังนั่งให้หมอในค่ายทำแผล ซึ่งถูกแทงเข้าที่ช่วงท้อง แม้จะไม่สาหัสมาก ทว่ามันก็ทำให้เขาออกแรงลำบาก แต่ใจเขายามนี้ร้อนรุ่มยิ่งกว่า
“เคลื่อนพลสามหมื่นนายไปชายแดนช่วยแม่ทัพลู่ จะต้องตีเอาเมืองกลับคืนมาให้ได้” ซีหลางไม่รอช้าสั่งยกทัพทันที ที่นี่เขาปล่อยให้แม่ทัพภาคจัดการ
“ม้าเร็วถือจดหมายของฝ่าบาทมาพ่ะย่ะค่ะ” ในขณะที่กำลังจะเคลื่อนพล คนสนิทก็นำจดหมายมาส่งให้ ผู้เป็นนายเปิดอ่านเพียงครู่ก็หันมาสั่งคนของตน
“ซือโม่ เจ้านำทัพล่วงหน้าไปก่อน ข้าจะกลับเมืองหลวง เสร็จธุระแล้วจะรีบตามไป” เอ่ยสั่งคนของตนแล้วก็ควบม้าออกไป มีคนสนิทและองครักษ์อีกห้าติดตาม
สี่วันกับการควบม้าในช่วงกลางวัน ชินอ๋องกลับมาถึงเมืองหลวงก็รีบเข้าเฝ้าทันที โดยที่บาดแผลก็ยังคงมีเลือดซึมออก เพราะรักษาไม่ค่อยดีนัก
“น้องพี่ เจ้าไม่จำเป็นต้องร้อนใจเพียงนี้ก็ได้ ดูเถอะบาดแผลยังมีเลือดออกอยู่เลย” ฮ่องเต้วัยสี่สิบ เอ่ยกับพระอนุชาที่ดีกับเขาเป็นที่สุด ต่างจากพี่น้องคนอื่นนัก
“กระหม่อมไม่เป็นอันใด ฝ่าบาทมีสิ่งใดรับสั่งรีบบอกมาเถอะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะรีบเดินทางไปที่ชายแดน” เพราะไม่อยากเสียเวลาให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ การศึกไม่อาจรอช้าได้แม้แต่วันเดียว
“มีเสบียงที่ต้องได้รับการคุ้มกันอย่างดี และอาวุธร้ายที่ใช้ทำศึก มันอาจช่วยให้เรากอบกู้บ้านเมืองได้โดยง่าย เราไม่วางใจผู้อื่น จึงอยากให้เจ้านำขบวนไปเอง” คำบอกเล่าของพระเชษฐาทำเอาซีหลางถึงกับผูกคิ้วเข้าหากัน คำว่าอาวุธร้ายหมายถึงสิ่งใดกันแน่
“อาวุธร้าย?” ถามในสิ่งที่สงสัย
“คนของกระหม่อมสร้างขึ้นมาพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทดลองดูแล้ว สามารถทำลายหุ่นฟางหลายสิบตัว เมื่ออยู่ในระยะไม่ห่างกันมาก หากเป็นมนุษย์เชื่อว่าคงแขนขาขาดในยามนั้นเลยพ่ะย่ะค่ะ” ลู่จิ้งโหวรีบเอ่ยบอก
“มีอาวุธร้ายเช่นนี้จริงหรือ แล้วใครกันที่สร้างขึ้นมา เหตุใดก่อนนี้ถึงไม่เคยได้ยิน” คำถามมากมายผุดขึ้น ไม่ต่างจากคราแรกที่ฮ่องเต้ทราบเรื่อง
“ซีหลาง เรื่องนี้เจ้าอย่าได้ถามเอาความจริงจากท่านโหวเลย แม้แต่ข้าเขาก็ยังไม่ยอมบอก กล่าวว่าคนที่ทำขึ้นร้องขอไว้ เพื่อความปลอดภัยของตัวเขาเอง” ฮ่องเต้เอ่ยกับอนุชาตน ซีหลางจึงได้แต่รับคำ
“เช่นนั้นกระหม่อมจะเดินทางเดี๋ยวนี้เลย” บอกแล้วก็คำนับหมายจะออกไปอย่างที่เอ่ย ทว่าพระเชษฐาได้ร้องเรียกเขาไว้เสียก่อน
“ช้าก่อนซีหลาง อาวุธนี้ต้องมีคนสั่งการ เพราะการใช้งานและรักษาไม่ได้ง่ายนัก เจ้าต้องพาคนที่รู้เรื่องไปด้วย”
ชินอ๋องพยักหน้ารับ เพราะไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้ ท่านโหวจึงเดินตามออกมาด้วย เพราะต้องไปแจ้งข่าวกับผู้ที่ต้องติดตามขบวน
***********ยามเว่ย [13:00-14:59] *************
ณ เรือนนอกเมืองของหนิงเหอ ยามนี้นางกำลังเตรียมตัวเดินทางไปกับขบวนขนอาวุธ เพื่อส่งมอบและสอนการใช้งานแก่ทหาร ตลอดปีกว่าที่ผ่านมา
นางศึกษาวิธีทำลองผิดลองถูกกับการสร้างระเบิดจากมูลค้างคาว ซึ่งไปพบเมื่อตอนขึ้นไปหาสมุนไพร ความคิดนี้จึงแล่นเข้ามา แม้จะไม่เคยมีพื้นฐานมากนัก
แต่คนในร่างก็เคยศึกษามาบ้างในช่วงที่เรียนมหาลัย จึงลองคิดค้นสร้างอาวุธขึ้นมา ไม่คิดว่ามันจะสำเร็จด้วยซ้ำ แต่ถึงกระนั้นก็ใช้เวลาเกือบสองปีอยู่เหมือนกันกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ
“ระวังตัวให้มากนะ เจ้าอย่าได้ออกโรงเองเด็ดขาด หากฝ่ายนั้นรู้ว่าเจ้าคือผู้สร้างอาวุธ ภายหน้าเจ้าจะใช้ชีวิตลำบากรู้หรือไม่” ท่านโหวเอ่ยเตือนสะใภ้ของตน การครานี้เขาไม่อยากให้นางไปเอง บอกสอนใครสักคนเอาก็ได้
ทว่าหนิงเหอก็ยังดึงดันว่าตนต้องไปเอง สุดท้ายเขาก็ต้องยอม เมื่อมารดาออกความคิดเห็นว่า ให้สามีภรรยาได้พบกันบ้าง เพราะยามนี้หลานสะใภ้โตขึ้นมาก ใบหน้าก็งดงามราวเทพธิดา มิแน่ไปคราวนี้อาจมีข่าวดีก็เป็นได้
“ท่านพ่ออย่าได้กังวลเลยเจ้าค่ะ ลูกก็แค่ไปดูแลอาวุธเท่านั้น หากไม่ไปก็วางใจไม่ได้จริง ๆ เจ้าค่ะ”
“เจ้านี่นะ เป็นสตรีแท้ ๆ แต่คิดเพื่อบ้านเมืองเสียมากมาย ไหนจะเรื่องเลี้ยงสัตว์ทำสวนทำไร่อะไรพวกนี้อีก ไม่คิดว่าสกุลลู่ของเราจะโชคดีที่มีสะใภ้ดีเช่นเจ้า” คนแก่กล่าวชมซึ่งหน้า
ลู่จิ้งโหวก็มักจะเอ่ยเช่นนี้ประจำ คนฟังก็ได้แต่ยิ้มตาม ทว่าภายในใจกลับรู้สึกอีกอย่าง
“ท่านพ่ออย่ากล่าวหนักเช่นนี้เลยเจ้าค่ะ ลูกต้องเดินทางแล้ว ประเดี๋ยวชินอ๋องจะตำหนิเอาได้” รีบหาทางเลี่ยงเมื่อได้ยินคำของท่านโหวที่เอ่ยมาเช่นนี้
“จริงด้วย ชินอ๋องไม่ชอบรอใครเสียด้วย ยามนี้เขาก็บาดเจ็บหนักอาจทำให้หงุดหงิดก็เป็นได้ เรารีบไปเถอะ” บอกก่อนจะพากันขึ้นม้าเพื่อตรงไปยังจุดนัดพบ ส่วนสตรีนางเดียวต้องอยู่บนรถม้า แม้ว่ายามนี้หนิงเหอจะแต่งกายด้วยชุดบุรุษก็เถอะ
ทว่าความงามที่มีตั้งแต่เริ่มโตเป็นสาว มันก็ไม่อาจปิดบังได้เลย อีกสองเดือนนางก็อายุสิบเจ็ดแล้ว ใบหน้าจึงเปรียบได้กับดอกไม้ที่กำลังผลิบาน เผยความงามสดใสให้ผู้คนได้เห็น
*********************************************