13. พบเจออีกครั้ง
ลานกว้างหน้าประตูเมืองหลวง ยามนี้มีรถลากนับสิบจอดรออยู่ พร้อมด้วยรถม้าอีกหนึ่งคัน ทหารอีกนับพันคนที่ยืนรายล้อมตามจุดต่าง ๆ รอผู้นำขบวนที่พึ่งมาถึง
ทุกคนมองมาที่ร่างสูงงามสง่าบนหลังม้า ยามนี้มีใบหน้าอิดโรยเป็นอย่างมาก เพราะอาการบาดเจ็บที่เขาไม่ยอมรักษาให้ดี เมื่อซีหลางเห็นรถม้าก็พอจะเดาออกว่าบนนั้นเป็นใคร คงหนีไม่พ้นผู้คิดค้นอาวุธร้ายที่ว่าเป็นแน่ คนผู้นี้จึงไม่ยอมลงมาคารวะเขา
“ท่านอ๋องกระหม่อมว่าพระองค์ควรทำแผลให้ดีกว่านี้นะพ่ะย่ะค่ะค่อยออกเดินทาง หรือไม่ก็หารถม้าสักคันก่อน หากทรงอาการดีขึ้นค่อยเปลี่ยนเป็นควบม้าก็ได้” คนสนิทเอ่ยแนะ เพราะยามนี้ช่วงท้องของท่านอ๋องมีโลหิตไหลออกมาอีกแล้ว เกรงว่าเดินทางต่อไปจะทำให้ยิ่งหนัก
“ไยต้องหารถม้าเพิ่มให้ลำบาก ก็มีอยู่ตรงนั้นแล้วมิใช่หรือ” ไม่ว่าเปล่าแต่เขายังลงจากม้า ตรงไปขึ้นรถม้าโดยไม่บอกกล่าวอันใดก่อน ทำเอาจงเฟยถึงกับทำสิ่งใดไม่ถูก จะห้ามก็ทำไม่ได้เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นใคร มิหนำซ้ำคนของท่านอ๋องยังสั่งให้ออกเดินทางเลย
ผ้าม่านเปิดออกพร้อมกับร่างสูงที่มุดเข้ามา คนตัวเล็กที่กำลังหยิบขนมเข้าปากได้แต่ตะลึงงัน ทั้งสองจ้องมองกันอยู่เช่นนั้น ก่อนที่รถม้าจะกระตุกเพราะการเคลื่อนตัว ทำเอาคนที่บาดเจ็บยืนไม่อยู่ ถลาลงไปหาสตรีตัวน้อยทันที เป็นเหตุให้ใบหน้าทั้งคู่แนบชิดกันโดยไม่ตั้งใจ
หนิงเหอตาโตเท่าไข่หาน เมื่อแก้มเนียนใสมีริมฝีปากหนาของบุรุษตัวโตแนบอยู่ นางรีบใช้มือดันเขาออกทันที ทำให้มือน้อยปะทะบาดแผลเข้าอย่างจัง
“โอ๊ย!” คนเจ็บเปล่งเสียงร้องออกมา พร้อมกับขยับกายมานั่งพิงขอบหน้าต่างที่มีม่านปิดอยู่
“ท่านอ๋องเกิดอันใดขึ้นพ่ะย่ะค่ะ” เสียงคนสนิทถาม ทำเอาหนิงเหอถึงกับตาโตกว่าเดิม
‘เขาคือชินอ๋องงั้นหรือ’ คนไม่รู้ได้แต่นึกในใจ ไม่คิดว่าคนที่ตนเคยช่วยไว้เมื่อสองปีก่อนจะเป็นถึงท่านอ๋องได้
“ไม่มีอันใด ออกเดินทางต่อเถอะ” เปิดม่านออกไปสั่งคนของตน เมื่อสัมผัสได้ว่ารถม้าเคลื่อนตัวอีกครั้ง ซีหลางก็หัน
ปลดอาภรณ์ออก ทำเอาผู้ที่นั่งอยู่ถึงกับตาโตอีกรอบ ก่อนจะร้องถามเขาเสียงหลง
“นี่ท่าน เอ๊ย…พระองค์จะทำอันใดเพคะ” ท้วงอีกฝ่ายเมื่อเห็นเขารั้งอาภรณ์ด้านบนลงมา
นางรีบเบี่ยงหน้าหนีทันที ริมฝีปากหนาเผยยิ้ม เมื่อเห็นท่าทีต่างออกไปของคนตัวเล็ก ครั้งแรกที่เจอกันนางเอาแต่จ้องรูปร่างเขา ทว่ายามนี้กลับหันหนี มิหนำซ้ำแก้มยังขึ้นสีเรื่ออีกต่างหาก คงเพราะนางโตเป็นสาวแล้วกระมัง จึงรู้สึกกระดากอายต่างจากคราวก่อน
“หันมาดูสิ เจ้าทำแผลข้าเปิด จะต้องรับผิดชอบรักษาข้าให้หายดี” เสียงทุ้มเปล่งออกมา นัยน์ตาเขาก็ยังคงจ้องที่แก้มเนียน
แม้นางจะแต่งกายด้วยชุดบุรุษและมัดผมขึ้น อีกทั้งใบหน้าเปลี่ยนไปจากเดิมมิน้อย ทว่าซีหลางกลับจำได้ดี โดยเฉพาะดวงตาคู่สวยนี้
หนิงเหอค่อย ๆ หันกลับมาหาเขา เพราะมือของตนก็มีคราบเลือดของอีกฝ่ายอยู่ เข้าใจได้ว่าเขาไม่ได้โกหก
“ไยท่านอ๋องไม่ทำแผลก่อนจะออกเดินทาง ได้ยินว่าพระองค์ควบม้ามาตลอดสี่วัน เหตุใดไม่ดูแลตนเองเพคะ” ต่อว่าเขาอย่างลืมตัว ทว่าอีกคนก็ไม่ได้โกรธ
“เรื่องบ้านเมืองสำคัญ รอช้าแม้แต่วันเดียวเกรงว่าจะยิ่งพบเจอกับปัญหาหนัก” เอ่ยบอกไปอย่างที่คิด และเคยพบพานมา ทว่าเมื่อเขาเห็นสายตาของนางเขาก็ถึงกับหน้าเสีย เพราะคนตัวเล็กเอาแต่จ้องบาดแผลบนตัว
“กลัวหรือ” ถามแล้วก็หมายจะดึงผ้าขึ้น
“เปล่าเพคะ แค่คิดว่าพระองค์คงเจ็บมาก หม่อมฉันจะใส่ยาให้เพคะ” เอ่ยก่อนจะขยับลงมารื้อกล่องยาที่นำติดตัวมาด้วย ทว่าด้านนอกกลับมีเสียงดังขึ้นมา
“นายหญิงนั่งรถม้าเป็นเช่นใดขอรับ” จงเฟยเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เกรงว่าผู้เป็นนายจะอึดอัดที่ต้องนั่งไปกับบุรุษ แม้อีกฝ่ายจะเป็นอ๋อง ทว่ามันก็ไม่เหมาะไม่ควรนัก เพราะนางคือฮูหยินน้อยจวนสกุลลู่
หนิงเหอขยับขึ้นมานั่งตามเดิม ก่อนจะเปิดม่านออกไป ซึ่งเผยใบหน้าของชินอ๋องซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามด้วย และมันอยู่ฝั่งเดียวกันทำเอาองครักษ์หนุ่มถึงกับหน้าเสีย
“ข้าสบายดี กำลังจะทำแผลให้ท่านอ๋อง พี่เฟยไม่ต้องเป็นห่วง ข้ารู้ดีว่าควรทำตัวเช่นไร เตรียมม้าไว้แล้วกัน ทำแผลเสร็จข้าจะลงไป” บอกกล่าวกับองครักษ์เสียงหวาน ซึ่งเป็นปกติยามที่นางพูดคุยกับคนสนิททั้งสาม ที่อยู่ข้างกายมาตลอดสองปีกว่าตั้งแต่อยู่ในสกุลลู่มา
ผ้าม่านปิดลงแล้ว หนิงเหอเองก็หันมาจัดการใช้ผ้าชุบยาที่ทำขึ้นมาเพื่อเช็ดแผล ก่อนจะบรรจงซับมันเบา ๆ ทว่าคนเจ็บได้แต่จ้องนาง ตั้งแต่ได้ยินคำเรียกขององครักษ์หนุ่ม ‘นายหญิง’ นั่นหมายถึงนางอาจจะเป็นภรรยาของใครไปแล้ว จึงถูกเอ่ยเรียกเช่นนี้
อดไม่ได้ซีหลางจึงเอ่ยถาม “เจ้าแต่งงานแล้วหรือ” เสียงที่เปล่งออกมาเบาเป็นอย่างมาก ทว่าคนตรงหน้าก็ได้ยินชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้นคือใจดวงน้อย มันเต้นรัวจนไม่เข้าใจว่าเกิดขึ้นเพราะเหตุใด ใบหน้าหวานเงยขึ้นสบตาอีกฝ่ายอย่างลืมตัว ซีหลางก็จ้องนางอยู่เช่นกัน
“เพคะ” ตอบกลับสั้น ๆ ก่อนจะก้มลงทำแผลให้เขาต่อ จนกระทั่งใส่ยาเรียบร้อยนางก็พันผ้าให้ ซึ่งมันต้องโอบรอบตัวอีกฝ่าย ทว่าหนิงเหอก็พยายามทำมันโดยใช้ความรู้สึกของหมอที่ทำหน้าที่ของตน
ทว่า! แขนแกร่งที่วางอยู่ข้างตัวกลับขยับกอดรัดนางไว้ หนิงเหอจึงได้แต่ขืนตัว แต่ก็ไม่เป็นผล
“อย่าขยับ ขอข้ากอดเจ้าเถอะนะ สัญญาว่าจะไม่ล่วงเกินเจ้าอีก ก่อนนั้นข้าให้คนตามหาเจ้า แต่คนของข้าก็ไม่ได้เรื่อง และยังมีศึกทำให้ข้าต้องหมดโอกาสทำความรู้จักเจ้าไป ยามนั้นเจ้าเองก็ยังเด็กอยู่ข้าจึงชะล่าใจ ไม่คิดว่าสองปีต่อมาเจ้าจะแต่งงานออกเรือนไปเสียได้ ผิดที่ข้ากลับมาช้าเกินไป” ร่ายยาวถึงความรู้สึกที่เขามีต่อนาง
ทำเอาหนิงเหอได้แต่ชะงักงันในอ้อมกอดของอีกฝ่าย ไม่คิดว่าชินอ๋องจะสารภาพความรู้สึกกับตนเช่นนี้ ทั้งที่พบกันเพียงแค่สองครั้งเท่านั้น เขาก็อยากได้นางเสียแล้ว
‘ได้ยินว่าชินอ๋องไม่มีชายา ไม่สนสตรีใด มีอนุสองคนแต่ไม่ให้อยู่ในจวน จนมีข่าวลือว่านกเขาไม่ขัน แล้วทำไมเขามาสารภาพเรื่องพวกนี้กับเราล่ะ อย่าบอกนะว่าเป็นรักแรกพบอะไรแบบนั้น’ นึกในใจ ยามนี้สับสนยิ่งนัก
“ปะ ปล่อยได้แล้วเพคะ ประเดี๋ยวใครเห็นเข้าจะไม่ดี” กล่าวพร้อมกับดันร่างแกร่งออก ยามนี้แก้มเนียนแดงก่ำเป็นลูกตำลึงไปแล้ว มันยิ่งทำให้น่ามองกว่าเดิม
“ชื่อเจ้า” เอ่ยถามเสียงอ่อน คนตัวเล็กเงยหน้ามองเขาเล็กน้อย ก่อนจะจับแขนสองข้างเขากางออก แล้วพันผ้าให้แล้วเสร็จ พร้อมกับตอบคำถามของอีกฝ่ายด้วย
“ซูหนิงเหอเพคะ” บอกพร้อมกับผูกปมผ้า ที่แขนนางก็ทำไม่ต่างกัน เมื่อแล้วเสร็จก็จัดอาภรณ์ให้เขา น่าแปลกที่หนิงเหอไม่รู้สึกฝืนหรือรังเกียจที่เขาเป็นคนอื่น นางทำให้ชินอ๋องอย่างเต็มใจ ข้อนี้แม้แต่ตัวนางเองก็ไม่รู้ และไม่ได้สังเกตการกระทำของตนเองสักนิด
เพราะโดยปกติหนิงเหอก็รักษาให้คนเจ็บที่แวะเวียนมายังเรือนนอกบ่อย ๆ รวมถึงองครักษ์คนสนิทยามที่บาดเจ็บ ก็ได้ผู้เป็นนายรักษาให้ตลอด
“เจ้าอ่อนโยนกับผู้ป่วยเช่นนี้เสมอหรือ” อดไม่ได้จึงเอ่ยถาม สายตาเขาก็ยังมองใบหน้าหวานเช่นเคย
“เพคะ หม่อมฉันเป็นหมอก็ต้องอ่อนโยนเป็นปกติอยู่แล้ว” บอกตามจริง ทำเอาซีหลางถึงกับหน้าเจื่อน เห็นคนตัวเล็กรักษาเขาอย่างดีทุกครั้ง คิดว่านางจะทำเช่นนี้กับเขาเพียงผู้เดียวเสียอีก
#สงสารชินอ๋อง นอกจากน้องจะเรียกท่านน้าแล้ว ยังถูกมองว่านกเขาไม่ขันอีก 555