14. เว้นระยะ
“แต่เจ้าก็สร้างอาวุธเพื่อสังหารคน” เมื่อนึกถึงอีกเรื่องได้เขาก็เอ่ยถามนางอีก เพราะอยากรู้ว่าใช่คนตรงหน้าหรือไม่ที่ลู่จิ้งโหวกล่าวถึง จึงถามถึงเรื่องนี้ทันที หนิงเหอเงยหน้ามองเขาเล็กน้อย ก่อนจะขยับออกห่างแล้วเก็บอุปกรณ์ใส่กล่องไว้ตามเดิม พร้อมกับตอบเขา
“รักษาก็เพื่อช่วยชีวิต สร้างอาวุธก็เพื่อช่วยชีวิต หากปล่อยให้ยืดเยื้อคนตายก็จะเพิ่มขึ้น อย่างไรเรื่องนี้ก็เลี่ยงไม่ได้ แต่ถ้าสงครามจบเร็วเหล่าทหารก็ได้กลับบ้านเร็ว ไม่ว่าฝ่ายไหนพวกเขาก็มีครอบครัวรออยู่ทั้งนั้น”
ประโยคของสตรีตัวน้อยล้วนแต่จริงทุกคำ สิ่งที่ทำให้ซีหลางวางมือก็เพราะเหตุนี้ ยามกลับจากศึกแล้วพบเจอครอบครัวของทหาร เขารู้สึกหดหู่เป็นอย่างมาก ตนรอดชีวิต แต่ทหารชั้นประทวนกลับได้เพียงเงินบำรุงขวัญและหลุมศพในสุสานให้ผู้คนสรรเสริญ
“แล้วเจ้าแน่ใจหรือว่าอาวุธเหล่านั้นจะทำให้ศึกจบลงได้อย่างรวดเร็วเช่นที่หวัง” ถามถึงพิษสงของมัน เพราะเขายังไม่เคยเห็น จึงไม่แน่ใจนัก
“เพคะ หม่อมฉันหวังว่าจะเป็นดั่งคาด” บอกอย่างที่คิด เพราะนางเองก็ไม่ได้มั่นใจเต็มร้อย แม้จะทดลองดูแล้วก็เถอะ คนจากยุคปัจจุบันก็ไม่ได้เก่งด้านนี้นัก แค่รู้วิธีทำเลยทดลองดูก็เท่านั้น เห็นว่าพอใช้ได้เลยทำขึ้นมาเพื่อทุ่นแรง จะได้ไม่ต้องใช้ทหารมากมายเช่นทุกวันนี้
“เอาเถอะ ข้าเชื่อเจ้า ข้าจะพักสักหน่อย ห้ามเจ้าลงจากรถม้าเด็ดขาด” กำชับคำเสร็จก็ขยับไปนั่งอีกฝั่ง
“เพคะ” รับคำก่อนจะเปิดม่านออกไปมองด้านนอก ชินอ๋องมองตามการกระทำอันเฉยชาของนางแล้วก็ถอนหายใจ เขาคงหมดหวังจริง ๆ นางแต่งงานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือหนิงเหอไม่ใส่ใจเขานอกเหนือจากเรื่องของการรักษาเลย นึกมาถึงตรงนี้ใจเขาก็ยิ่งเจ็บ
‘นี่ข้าพึงใจสตรีที่มีเจ้าของแล้วกระนั้นหรือ’ นึกในใจ สายตาเขาก็ยังจับจ้องที่ร่างเล็ก ซึ่งยามนี้นางโผล่หน้าออกไปพูดคุยกับองครักษ์หนุ่ม ดูสนิทสนมกันยิ่งนัก
“เบาเสียงข้าจะนอน” ออกคำสั่งเสียงดังพอให้คนด้านนอกได้ยิน ผ้าม่านจึงปิดลงทันที หนิงเหอจึงได้แต่นั่งตัวตรง พร้อมกับเหลือบมองคนที่นั่งจ้องนาง
“เงียบแล้วไม่นอนหรือเพคะ” ถามกวนอีกฝ่ายเสียอย่างนั้น เมื่อเห็นเขาเอาแต่มอง
“รถม้าโยกแรง เสียงคนพูดก็ดัง” บ่นไปเรื่อย ก่อนจะเบี่ยงหน้าหลับตาค้อนให้คนตัวเล็กด้วย
หนิงเหอก็ได้แต่ขำกับท่าทางของเขา เคยได้ยินว่าชินอ๋องเป็นคนที่เคร่งครัดในกฎ เย็นชา ไม่ค่อยพูด ทว่าเหตุใดกับนางเขาถึงหาเรื่องคุยได้ตลอด และยังทำตัวเหมือนเด็กอีกต่างหาก ทั้งที่อายุในยามนี้ก็สามสิบสามเข้าไปแล้ว
“อีกไกลไหมเพคะ กว่าจะเดินทางไปถึง” ถามเป็นการเป็นงาน เพราะรู้สึกอึดอัดกับช่วงเวลาเช่นนี้ ถึงแม้จะแสดงท่าทีเฉยชา ทว่าภายในใจนางกลับเต้นรัวจนกลัวจะถูกคนตัวโตจับได้ ว่านางตื่นเต้นยามที่อยู่ใกล้เขาเช่นนี้
นี่สินะที่เขาเรียกว่าอยู่ใกล้คนที่ใช่มักจะใจเต้นแรง ทว่าหนิงเหอยังต้องคอยเตือนตนเองว่านางแต่งงานแล้ว แค่ปล่อยให้เขากอดเมื่อครู่ก็ไม่เป็นการอันควร ยังต้องนั่งรถม้าคันเดียวกันจนถึงแดนสงครามอีก
“สามวัน แต่ไม่ต้องห่วงเดินทางวันพรุ่งข้าจะขี่ม้าไป เจ้าแต่งตัวเป็นบุรุษเช่นนี้ ซ้ำยังมีผู้ติดตามแค่คนเดียว นั่งรถม้ากับข้าวันเดียวคงไม่มีใครรู้กระมัง”
เอ่ยจบเขาก็หันหน้าออกหน้าต่าง สั่งให้คนของตนเอาน้ำมาให้ ยามนี้เองหนิงเหอจึงนึกได้ว่ายังไม่ได้ให้เขากินยา จึงยื่นเม็ดยาส่งให้เขา ชินอ๋องหันมาก็หยิบมันใส่ปากแล้วดื่มน้ำตามทันที โดยไม่กลัวสักนิดว่ามันจะเป็นยาพิษ ทำเอาอีกฝ่ายอดถามไม่ได้
“ไม่กลัวว่าจะเป็นยาอันตรายหรือเพคะ” ถามแล้วก็รอคำตอบ ก่อนที่ประโยคนั้นจะดังมาให้คนฟังได้สะอึก
“ข้าหวังให้มันเป็นยาพิษเสียด้วยซ้ำ ได้ตายเพราะน้ำมือเจ้าคงจะดีไม่น้อย ดีกว่าได้ยินว่าเจ้าเป็นของผู้อื่น” ถ้อยคำประชดลอยมา หนิงเหอได้แต่อึ้งกับคำพูดของชินอ๋อง
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีสายตาตัดพ้อส่งมาด้วยนางจึงรีบหันหนี ใจอยากลุกออกไปจากตรงนี้เหลือเกิน ทว่าหากทำเช่นนั้นไม่รู้เขาจะแผลงฤทธิ์อันใดหรือไม่ จึงจำต้องนิ่งเฉยทำเป็นไม่ใส่ใจคำพูดของอีกฝ่าย ทว่ายามนี้ใจดวงน้อยมันเต้นรัวจนแทบจะทะลุออกมาแล้ว
การเดินทางอันแสนอึดอัดช่างยาวนานเหลือเกิน กว่าจะมืดค่ำ ขบวนหยุดลงที่ชาญเมืองริมแม่น้ำสายหนึ่ง ชินอ๋องไม่รอช้ารีบลงจากรถม้าทันที
“นายน้อยไม่ลงมาหรือขอรับ” เพราะมีคนเดินมาใกล้ จงเฟยจึงต้องเปลี่ยนสรรพนามเรียกใหม่
“อืม ข้าอยากล้างหน้าล้างตาเสียหน่อย” บอกกล่าวคนของตน ก่อนจะเดินลงมา ดีที่ชินอ๋องให้รถม้าขยับออกห่างกลุ่มทหาร และไม่ให้คนเดินมาใกล้แถวนี้ยกเว้นยามที่ต้องตรวจตรา เรียกว่าเขาคิดรอบคอบมาก เพื่อไม่ให้คนรู้ว่าคนบนรถม้าเป็นสตรีนั่นเอง
“เจ้าหนุ่มนั่นหน้าตาคุ้นนะพ่ะย่ะค่ะ เหมือนเคยเห็นที่ไหน” ซือโม่เอ่ยพร้อมกับทำท่าครุ่นคิด
“อืม ข้าก็ว่าคุ้น” ลั่วไห่เอ่ยขึ้นบ้าง เมื่อเห็นบุรุษหนุ่มรูปร่างอ้อนแอ้นเดินลงมาจากรถม้า ตรงไปยังลำธารห่างออกจากผู้คน ผู้เป็นนายก็ได้แต่มองตาขวาง
“นี่พวกเจ้าจำไม่ได้?” ถามออกไป สายตาเขาก็ยังมองไปยังร่างเล็กที่กำลังถอดรองเท้าเพื่อลงไปแช่น้ำ
“ไม่พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องรู้จักกระนั้นหรือ” คนสนิทหันมาถามอย่างสนใจ เพราะได้ยินว่าคนผู้นี้รักษาบาดแผลให้ผู้เป็นนายด้วย ไม่คิดว่าจะเก่งวิชาแพทย์อีก
‘เหตุใดมีข้าที่จำนางได้อยู่คนเดียว เช่นนี้แล้วเจ้ายังจะเมินเฉยกับข้าอีกหรือเด็กน้อย สามีเจ้าต่างหากที่ไม่ใส่ใจ ปล่อยให้เจ้าเดินทางมากับบุรุษนับพัน โดยไม่กังวลสักนิดว่าภรรยาตนจะเสื่อมเสียหรือไม่’ ยังมิวายตัดพ้อสตรีที่เขาปักใจ มันก็น่าแปลกที่ซีหลางถูกใจนางตั้งแต่แรกเห็น
สองปีก่อน ในตอนที่เขายืนอยู่บนกำแพงเมือง มองภาพผู้คนเดินเที่ยวงานเทศกาล รอยยิ้มที่สดใสของเด็กสาวใกล้วัยปักปิ่น มันตราตรึงจนเขาลืมไม่ลง พบนางอีกครั้งเมื่อตอนที่ร่างเล็กกระโดดหน้าต่างเข้ามาช่วย และลืมตาตื่นมาอีกทีหลังจากนางถอนพิษให้
วันนี้ได้พบนางอีกครั้ง ซีหลางยังแอบคิดเข้าข้างตนเองเลยว่าสวรรค์เมตตาเขาแล้ว ไม่เช่นนั้นคงไม่ชักพาให้กลับมาเจอนางอีกเช่นนี้ ทว่าวันเดียวกันเขาก็รับรู้ว่านางเป็นของผู้อื่นเสียแล้ว
แต่มันก็ยังมีเรื่องแปลกให้เขายังคงความสงสัย สตรีแต่งงานแล้วเหตุใดไม่อยู่เฝ้าเรือน สร้างอาวุธพวกนี้ได้เยี่ยงไร และยังเดินทางมากับผู้ติดตามเพียงแค่คนเดียวอีก และเขารู้ดีว่าชายหนุ่มนี้เป็นใคร
ชินอ๋องครุ่นคิดเรื่องของสตรีตัวน้อยไปทั่ว และยังเอาแต่จ้องมองหนุ่มสาวที่วัยไล่เลี่ยกันไม่วางตา ทำเอาคนสนิทต่างก็มึนงงกับท่าทีของผู้เป็นนาย และซีหลางก็เป็นเช่นนี้จนกระทั่งหนิงเหอกลับขึ้นรถม้า
“นายหญิงนอนได้นะขอรับ” จงเฟยชะโงกหัวเข้ามาถามตรงหน้าต่าง ทำเอาคนที่คอยสังเกตอยู่ตลอดเวลาถึงกับลุกพรวดขึ้น จนคนสนิทตกใจมองตามผู้เป็นนายที่ตั้งท่าจะเดินไปยังรถม้า
แต่พอเห็นชายหนุ่มนั่นขยับเดินออกมา เขาก็นั่งลงตามเดิม สองสหายก็ได้แต่มองตามแต่ไม่กล้าเอ่ยอันใด จนกระทั่งทานอาหารกันเสร็จ คนสนิทก็จัดที่นอนให้ แม้จะแปลกใจที่ท่านอ๋องไม่ยอมขึ้นไปนอนบนรถม้า ซึ่งมันน่าจะสบายกว่า ทว่าพอเห็นหน้าแล้วก็ไม่มีใครกล้าถาม
เช้ามาชินอ๋องก็บังคับม้าเช่นปกติที่เคยทำ จนกระทั่งสามวันผ่านไปพวกเขาก็มาถึงเมืองฉาง มีคนสนิทและรองแม่ทัพมาต้อนรับ เพราะจินฟานบาดเจ็บหนัก ไม่อาจลุกออกมาได้ ยามนี้ยังนอนรักษาตัวอยู่
#อ๋องเอยใจเย็น ๆ นะ นั่นเมียชาวบ้านนะ 555