บท
ตั้งค่า

5. ยังพอมีเวลา

หนิงเหอได้แต่ครุ่นคิด ไม่รู้จะทำเช่นใดจึงจะยกเลิกงานแต่งนี้ได้ มันกระทันหันเกินไป หากตนมีญาติพี่น้องอยู่ ก็คงไม่ต้องถูกพาตัวมาที่นี่

ตั้งแต่ตื่นมาในร่างนี้เมื่อห้าเดือนก่อน นางก็เฝ้าถามมารดาว่ามีญาติพี่น้องที่ไหนหรือไม่ ทว่าคำตอบที่ได้คือ ‘ไม่’ ซึ่งมันไม่ควรจะเป็นเช่นนี้ บิดาเจ้าของร่างก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร เพราะมารดาไม่ยอมบอกเลย เอ่ยเพียงแต่ว่าเขาตายจากไปแล้วเท่านั้น ตนจึงไม่รู้ว่าควรไปพึ่งใครดี

“พี่สองคนไปพักเถอะ ข้าคงไม่มีอะไรจะให้ทำแล้ว” บอกก่อนจะยิ้มบางให้ นางลุกขึ้นเดินไปที่เตียงด้วยท่าทางเหนื่อยล้า ทั้งที่ไม่ได้ทำสิ่งใดที่ใช้กำลังเลย

เสียงประตูปิดลง หนิงเหอก็เดินมาถึงเตียงพอดี เสียงถอนหายใจดังขึ้น ก่อนจะเอนตัวลงนอนมองเพดาน ซึ่งมีผ้าม่านผูกโยงลงมาคลุมทั้งสี่ทิศ

“ทำไงดี หรือว่าเราจะหนีไปเลย” นึกถึงสิ่งที่ง่ายสุด ร่างเล็กดีดตัวขึ้นทันที ยิ้มร้ายเผยออกมาก่อนจะเอ่ย

“จริงด้วย คนยุคนี้รังเกียจสตรีที่มีมลทินเป็นที่สุด ถ้าเราหนีสำเร็จคนสกุลลู่ก็ไม่มีทางยอมรับเราแน่” เมื่อคิดวางแผนได้แล้ว ภายในใจก็เลิกว้าวุ่น จึงเอนตัวนอนอีกรอบ แล้วนางก็ผล็อยหลับไปในที่สุด

ด้านแม่ทัพลู่ ยามนี้กำลังยืนนิ่งปล่อยให้บิดาตำหนิเรื่องที่ตนลงมือกับว่าที่ฮูหยิน เพราะมันไม่สมควรที่จะทำเช่นนั้นจริง ๆ ยามนี้จึงได้แต่ก้มหน้ารับโดยดี

“จินฟานเจ้านะเจ้า แค่ทำดีกับน้องแค่นี่มันยากนักหรือ หนิงเหอก็ตัวแค่นั้น ยังไม่ถึงวัยปักปิ่นด้วยซ้ำ ไยเจ้าถึงรังแกนางได้ลง” ลู่จิ้งโหวตำหนิเสียงเหนื่อย

“ท่านพ่อ นางลบหลู่สกุลของเรา ลูกก็แค่สั่งสอนนางเท่านั้น” แม่ทัพหนุ่มยังคงเอ่ยถึงเหตุผล แม้จะรู้สึกผิดอยู่ก็เถอะ ทว่าสตรีนางนั้นก็ทำให้เขาทนไม่ไหวจริง ๆ

“แล้วอย่างไร สิ่งที่นางเอ่ยมาก็ล้วนแต่จริงทุกคำ เราต่างหากที่ทำไม่ดีกับนางก่อน หนิงเหอน่าสงสารเพียงนั้น เจ้าก็ยังทำได้ลงคอ ต่อให้เจ้าไม่มีใจ อย่างน้อยก็น่าจะนึกถึงบุญคุณที่มารดานางช่วยชีวิตพ่อไว้บ้างสิ พ่อขอเจ้าแค่ให้นางอายุครบสิบแปดปี จากนั้นหากเจ้าไม่พอใจที่จะให้นางเป็นฮูหยินก็เขียนใบหย่าเสีย พ่อขอแค่สี่ปี เจ้าให้ไม่ได้หรือ” เกลี้ยกล่อมบุตรตนเสียงอ่อน

“แล้วท่านพ่อคิดว่านางจะยอมงั้นหรือ ตำแหน่งฮูหยินแม่ทัพ สตรีทั่วเมืองต่างก็อยากเป็นนะขอรับ”

จินฟานเอ่ยในสิ่งที่คิด คาดว่ามันคงไม่ง่ายเช่นที่บิดากล่าว ถึงยามนั้นเขาเชื่อว่านางไม่มีทางยอมเป็นแน่

“เรื่องนั้นพ่อจะคุยกับน้องเอง พ่อเชื่อว่านางเองก็ไม่ได้อยากแต่งกับเจ้านักหรอก” บอกตามที่เห็น หากเป็นสตรีทั่วไปรู้ว่าจะได้แต่งกับบุตรชายตนคงตาเป็นประกายแล้ว ทว่าหนิงเหอกลับไม่มีทีท่าเช่นนั้นเลย

“หากเจ้าไม่แน่ใจ ก็เขียนจดหมายหย่าเก็บไว้เลย ถึงเวลาพ่อจะเป็นคนยื่นให้หนิงเหอเอง หากเจ้ายังยืนยันว่าไม่ต้องการนาง” บอกเสียงหนักแน่น

“เช่นนั้นท่านพ่อก็บอกนางให้เข้าใจ ลูกไม่เต็มใจรับนางเป็นฮูหยินแน่นอน เด็กน้อยเช่นนั้น” ยังมิวายหยันถึงว่าที่ฮูหยินของตน ซึ่งยังคงรูปร่างเหมือนเด็กที่พึ่งโต แม้จะมีหน้าตาจิ้มลิ้มก็เถอะ ทว่าจินฟานไม่ได้ถูกตาต้องใจนางเลย ฮูหยินของเขาต้องเป็นจ้าวหลี่หลินเท่านั้น เมื่อนึกถึงตรงนี้ก็ทำให้เขาหนักใจเพราะยังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับนาง

“หึหึ น้องยังเด็ก ความงามยังไม่เฉิดฉาย หากอายุสิบเจ็ดสิบแปดแล้ว เกรงแต่เจ้าจะลืมคนในใจไปเสียน่ะสิ”

“ไม่มีทางจะเป็นเช่นนั้นแน่ หากไม่มีเรื่องใดแล้ว ลูกขอตัวนะขอรับ” เอ่ยจบเขาก็คำนับบิดา ก่อนจะเดินออกไปตามด้วยคนสนิททั้งสอง ลู่จิ้งโหวจึงได้แต่ทอดถอนใจ หวังให้วันข้างบุตรตนและฮูหยินจะรักใคร่สามัคคีกัน

“ข้าคิดผิดหรือคิดถูกกันนะ” เอ่ยในสิ่งที่ตนทำ ทว่าเขาได้ลั่นวาจาไปแล้ว จะเปลี่ยนแปลงก็คงยาก คงต้องรอดูว่าจากนี้จะเป็นเช่นไรต่อไป

สองวันผ่านไป

คราแรกคนที่คิดจะหนีออกจากจวนได้พยายามหาทางอยู่ตลอด ทว่าเวรยามนั้นหนาแน่นเกินไป ทำให้หมดหนทางจะออกจากที่นี่ มิหนำซ้ำยังมีบุรุษอีกสองคนยืนเฝ้าที่หน้าประตูอยู่ตลอด ข้างกายก็มีเสี่ยวจูและเสี่ยวเหม่ยคอยประกบอยู่ไม่ห่าง

ตั้งแต่ได้รับคำสั่งจากท่านโหวและไท่ฮูหยิน ราวกับพวกเขารู้ความคิดนาง ที่หมายจะหนีออกจากที่นี่

ทว่ายามนี้นางรู้แล้วว่าเรื่องแต่งงานนั้นมีข้อตกลงเช่นไร อีกทั้งท่านโหวก็บอกแล้วว่าบุตรชายเขาจะไม่รังแกนางอีก ต่างคนต่างอยู่จนกว่านางจะอายุครบสิบแปด ถึงยามนั้นหากตนต้องการหย่าก็สามารถทำได้โดยไม่มีข้อแม้

“เป็นแบบนี้ก็ดีอย่างน้อยก็ไม่ขาดทุน อีตาแม่ทัพนั่นก็คงไม่ยุ่งกับเราหรอก เขามีคนของใจอยู่แล้วนี่” นอนพึมพำอยู่บนเตียงผู้เดียว ก่อนจะยิ้มดีใจกับข่าวที่ได้ยินวันนี้ อีกอย่างคือการหารือพูดคุยเรื่องแต่งงานในห้องโถง ก็ไม่มีอะไรยุ่งยากนัก ไท่ฮูหยินก็ดูเหมือนจะรู้เรื่องข้อตกลงด้วย นางจึงมีท่าทีเปลี่ยนไปจากวันแรกมาก

“สี่ปี เราต้องหาอะไรทำเป็นชิ้นเป็นอัน วันหน้าเมื่อเราหย่าจะได้ไม่อดตายถ้าออกจากจวนนี้” นอนคิดถึงสิ่งที่จะทำให้ตนอยู่รอดหากไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว

“เอาไงดี จะปลูกผักในจวนก็คงทำไม่ได้แน่” ดีดตัวลุกขึ้นมานั่งครุ่นคิดอยู่ไม่นาน ริมฝีปากน้อยก็เผยยิ้ม

“เป็นหมอรักษานี่แหละง่ายสุด อย่างน้อยเราก็มีความรู้เรื่องสมุนไพร ท่านแม่ในยุคนี้ก็ทิ้งตำราไว้ตั้งมากมาย สี่ปีต่อจากนี้เราจะต้องพยายามศึกษาให้มาก ถือว่าเรียนมหาลัยอีกรอบก็แล้วกันนะหนิงหนิง” เอ่ยกับตนเอง ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนอีกรอบ

นางเอ่ยเช่นนี้ก็เพราะช่วงอยู่ในยุคปัจจุบัน เธอมักจะไปช่วยคุณปู่จัดยาสมุนไพรเสมอ เพราะท่านเป็นหมอแผนโบราณและยังมีวิชาฝังเข็มที่หนิงหนิงได้เคยเรียนรู้มาด้วย หากให้เทียบกับยุคนี้นับว่าห่างชั้นกันมาก

เพราะยุคปัจุบันสามารถระบุตำแหน่งรวมถึงอาการป่วยได้ชัดเจนมากกว่า ทำให้รู้ว่าจุดไหนสามารถขับพิษได้ดีที่สุด หากนางใช้วิชาที่เคยเรียนจากคุณปู่มา คงทำเงินไม่ยากในยุคนี้ เรียกว่าสามารถเลี้ยงดูตนเองได้เลย

อีกอย่างหากนางเฝ้าเรียนศึกษาเรื่องนี้ คาดว่าท่านโหวต้องสนับสนุนเป็นแน่ รอให้ถึงวันพรุ่งค่อยเอ่ยเรื่องนี้กับเจ้าของจวน ยามนี้จึงหลับตาลงได้อย่างสบายใจ

สายของอีกวันหนิงเหอก็ทำอย่างที่คิด นางเอ่ยเรื่องนี้กับท่านโหว และก็เป็นไปตามคาดคือเขาตอบตกลงแต่ต้องรอให้นางแต่งกับบุตรชายเสียก่อน

ไม่นานเกินรอวันมงคลก็มาถึง แขกเหรื่อมากมายมาร่วมยินดี ทว่าทั้งเจ้าสาวและเจ้าบ่าวต่างก็มีสีหน้าเรียบเฉยไม่ต่างกัน ตั้งแต่วันเข้าจวนหนิงเหอก็ไม่เคยเจอจินฟานอีกเลย จนมาถึงวันนี้ที่แต่งงานกัน เขาก็ไม่ได้มาเข้าหอ หลังจากทำพิธีด้านนอกเสร็จเขาก็กลับเข้าห้องตนเอง ไม่ออกไปพบแม้กระทั่งแขกเหรื่อ

ทว่าไหนเลยเจ้าสาวตัวน้อยจะสนใจ นางถูกพาเข้าห้องหอแล้วก็ปลดผ้าคลุมออก เปลี่ยนอาภรณ์ทิ้งกายลงนอนไม่สนสิ่งใดเช่นกัน

หลังจากงานแต่งผ่านไปได้หนึ่งเดือน ท่านโหวก็มอบเรือนหลังเล็กให้กับฮูหยินน้อยของสกุล เพื่อใช้สำหรับศึกษาปรุงยาตามที่นางต้องการ ยามนี้บ่าวในจวนจึงกลายเป็นหนูทดลองให้หนิงเหอรักษา

ช่วงแรกพวกเขาต่างก็ตื่นกลัว ทว่าพอคนหนึ่งหาย ยามอีกคนป่วยก็มาขอยาที่นางกิน เพราะในเรือนนี้เกือบจะกลายเป็นโรงหมอขนาดย่อมไปแล้ว เพราะมีสมุนไพรเกือบทุกชนิด บางคนปวดเมื่อยตามตัวนางก็ฝังเข็มบรรเทาอาการให้และมันก็ได้ผลดีเสียด้วย

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel