7 ลองดูก็ไม่เสียหาย
เกือบเดือนแล้วที่เมคินดึงตัวที่ปรึกษาทางกฎหมายของบริษัทมาเป็นผู้ช่วย เพราะช่วงนี้เขาต้องออกไปพบลูกค้าและเซ็นสัญญาซื้อขายอยู่หลายแห่ง
“คุณเมคินครับเสร็จงานนี้แล้วผมว่าคุณควรหาเลขาได้แล้วนะครับ” ฉัตรภพทนายประจำบริษัทและยังพ่วงตำแหน่งเพื่อนรักของอีกฝ่าย เริ่มจะหมดความอดทน เพราะลำพังงานของตัวเองก็หนักเอาการอยู่แล้ว
“ก็นายไงเลขา”
“มันไม่ตลกนะครับ บอกตามตรงนะผมเหนื่อยมาก”
“เดี๋ยวฉันเพิ่มเงินเดือนให้” เขาต่อรอง
“โธ่ คุณเอาเงินมาล่อผมทุกที ให้ตายเหอะ”
“แล้วยอมไหมล่ะ”
ฉัตรภพไม่ตอบ เขาไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน แต่ที่อิดออดอย่างนี้เพราะเขาทำแต่งานจนไม่มีเวลาไปสวีตกับคนรักอย่างเคย
“ภพ” ถ้าลองได้เรียกชื่อจริงอย่างนี้แสดงความชายหนุ่มผู้เป็นเจ้านายกำลังเปลี่ยนมาเป็นโหมดเพื่อน
“ว่า”
“กูขอถามอะไรหน่อย”
“ว่ามา”
“เรื่องมึงกับแฟน ที่บ้านรู้เรื่องไหม”
“รู้สิ ถามทำไม”
“แล้วพ่อกับแม่มึงโอเคกับมึงหรือเปล่า”
“ไม่ แต่กูไม่สน กูไม่ได้ทำอะไรผิด กูรู้คนอื่นอาจไม่เข้าใจ แต่กูอยู่แบบนี้มีความสุข เขาทำให้กูอยากมีชีวิตต่อ อยากตื่นมาเห็นหน้าเขาทุกๆ วัน”
“ก็จริงนะ โลกมันไปไกลแล้ว ถ้าเอาแต่แคร์กับคำพูดคนอื่นก็คงใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุข มึงโชคดีที่ทางบ้านเข้าใจ”
“เข้าใจก็ดีอยู่หรอกนะ แต่มันก็มีปัญญาตามมาอยู่ดี”
“ปัญหาอะไรวะ”
“ก็เรื่องเลขานั่นแหละ กี่คนต่อกี่คนก็โดนกูไล่ออกหมด พวกเขาเลยจะหาเลขาผู้ชายให้กู”
“ก็ดี กูจะได้ไม่เหนื่อย”
“แต่กูไม่โอเค มันเหมือนกูถูกจับคลุมถุงชนยังไงไม่รู้”
เมคินเล่าให้เพื่อนรักฟังต่อว่าคนที่ทางบ้านจะให้มาเป็นเลขาของเขานั้นเป็นลูกชายของเพื่อนสนิทแม่ของเขา เป็นคนที่เขาและฉัตรภพรู้จักดีและรู้ด้วยว่าผู้ชายคนนั้นมีรสนิยมยังไง
“กูว่าคุณติณณ์ก็น่ารักดี เหมาะกับมึงดี”
“แต่กูไม่ได้ชอบเขา” เขารีบปฏิเสธเสียงแข็ง
“มึงพูดเหมือนมีคนชอบอยู่แล้ว” ฉัตรภพพยายามมองตาเพื่อหาคำตอบ
“กูไม่รู้ว่าชอบ หรือแค่รู้สึกถูกชะตา เชื่อไหม กูไม่เคยใจเต้นแรงแบบนี้มาก่อน”
“เทียบกับคนก่อนของมึงล่ะ” เขาหมายถึงปราชญ์คู่นอนคนล่าสุดของเพื่อน
“มันไม่เหมือนกัน กับปราชญ์มันก็แค่หาความสุขด้วยกัน จบก็แยกย้าย”
เมคินมีคู่นอนชื่อปราชญ์กำลังเรียนอยู่ปีสี่ เขาเจอกับปราชญ์ที่บาร์ประจำแห่งหนึ่งเพราะเจ้าของร้านเป็นคนแนะนำให้ จากนั้นก็เรียกใช้บริการเด็กหนุ่มเรื่อยมา ทั้งสองไม่ได้คบกันในแบบคู่รักเพราะทุกครั้งเมคินก็จะจ่ายเงินให้กับคู่นอนอย่างเหมาะสมและปราชญ์เองก็ไม่ได้มีเขาแค่คนเดียว
“แล้วคนนี้คิดจริงจังเหรอ”
“มันบอกไม่ถูกเหมือนกัน มึงก็รู้กูไม่เคยคบใครมาก่อน”
“มึงไม่ลองคบดูล่ะ เผื่อจะเจอคนที่อยู่ด้วยแล้วมีความสุขเหมือนกูไง ไม่ต้องกังวลเรื่องโรคด้วย”
“กูกลัวเขาไม่ใช่แบบที่กูคิด”
“มึงดูไม่ออกเหรอ”
“อือ กูดูไม่ออก” เขายอมรับกับเพื่อนอย่างไม่อาย
“พามาเจอสิ เดี๋ยวกูช่วยดูให้ เรื่องแบบนี้บางทีคนเราก็ไม่รู้หรอกนะว่าตัวเองเป็นแบบไหน สังคมมันยังไม่เปิดกว้างเท่าไหร่ ถ้าดูแล้วใช่มึงก็ลุย ถ้าไม่ใช่ก็แยกย้าย”
“อือ กูว่าจะลองชวนมาเรียนรู้งานจากมึงดู”
“นี่มึงจะให้เป็นเลขาเลยเหรอ”
“ก็ใช่ ถ้าไม่เป็นเลขากูแล้วจะสังเกตได้ยังไง จริงไหม”
“งั้นกูขอภาวนาให้ใช่นะ” ฉัตรภพหัวเราะอย่างอารมณ์ดี เพราะถ้าคนที่เพื่อนพูดถึงเป็นอย่างที่คิดเขาก็ไม่ต้องมาทำงานกับเมคินอีกต่อไป
พอเพื่อนรักเดินออกไปแล้วเมคินก็จมอยู่กับความคิดของตัวเอง ตั้งแต่ได้เจอกับทิวา เขาก็มักจะคิดถึงแต่เรื่องของชายหนุ่มอยู่บ่อยครั้งอยากรู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ จะหางานได้หรือยัง พอได้เห็นว่าผู้จัดการร้านที่ทิวาไปทำงานเป็นคนแบบไหน เขาเลยยิ่งคิดหนัก ไม่อยากปล่อยให้ทิวาไปทำงานกับคนแบบนั้นถ้าเป็นไปได้ก็อยากชวนมาทำงานด้วยกัน
ถ้าทิวาไม่ได้เป็นแบบที่เขาคิด มันก็ไม่มีอะไรเสียหายเพราะตอนนี้เขาก็กำลังหาคนมาทำงานด้วย เป็นทิวายังดีกว่าเป็นคนที่ครอบครัวติดต่อให้ เพราะเขารู้ว่าติณณ์พยายามที่จะใกล้ชิดเขาหลายครั้งแล้ว แม้ว่าผู้ชายแบบติณณ์จะหายากเขาก็ไม่เคยคิดจะรับใครเข้ามาเพียงเพราะมีรสนิยมเดียวกัน
ยังเหลือเวลาอีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาเลิกงาน เขาอยากกลับไปคุยกับทิวา อยากชวนให้มาทำงานด้วย อยากให้โอกาสตัวเองได้เรียนรู้และเปิดใจรับใครสักคนเข้ามาในชีวิต และหวังว่าอีกคนก็คงไม่รังเกียจที่เขาเป็นแบบนี้
แต่ถ้าหากคุยแล้วทิวาไม่ยอมเขาก็จะไม่บังคับแม้อาจจะเสียใจอยู่บ้าง แต่ก็จะเคารพการตัดสินใจของชายหนุ่ม ส่วนเรื่องที่รู้สึกดีกับทิวา เมคินคิดว่ายังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม คงต้องสังเกตและให้เวลาอีกนิดเพื่อให้แน่ใจว่าเขามองคนไม่ผิด
อันที่จริงแล้ววันนี้เมคินมีนัดกับปราชญ์ซึ่งเขานัดไว้ล่วงหน้าตั้งแต่วันก่อนเพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับทิวา เขาจึงต้องโทรไปยกเลิกพร้อมกับจ่ายเงินค่าเสียเวลาให้กับเด็กหนุ่มซึ่งถ้าเขาไม่ไปตามนัดปราชญ์ก็คงไปรับงานอื่นได้ แต่เงินจำนวนนั้นไม่ได้มากมายสำหรับคนอย่างเขา เมคินจึงไม่รู้สึกเสียดายเลยสักนิด
จัดการธุระเสร็จแล้วก็นั่งทำงานต่อ แต่ก็ได้แค่เปิดรายงานในไอแพดวนไปมาแค่เพียงไม่กี่หน้า เพราะเรื่องของทิวายังกวนใจอยู่
ในเมื่อนั่งอยู่ในห้องก็ไม่มีประโยชน์เมคินจึงตัดสินใจกลับคอนโดก่อนเวลาเลิกงาน
เขากำลังจะลุกจากเก้าอี้ผู้บริหาร ประตูหน้าห้องก็เปิดออก
“หิมะจะตกไหมเนี่ย วันนี้น้องชายของพี่เลิกงานก่อนเวลา จะไปไหนเหรอคิน”
“มีธุระนิดหน่อยครับพี่เมย์ ว่าแต่พี่มีอะไรกับผมหรือเปล่า”
“ไม่มีหรอกแต่แม่ให้มาชวนไปทานข้าวเย็น คินไม่ได้กลับไปที่บ้านหลายวันแล้วนะ”
“ทานข้าวอย่างเดียวใช่ไหม”
“ก็ทานข้าวสิ คินถามแปลก”
“ผมบอกไว้ก่อนนะพี่เมย์ ถ้าไปถึงบ้านแล้วมีคนอื่นผมกลับทันทีนะ”
“โอ๊ย พี่ล่ะเบื่อคนรู้ทัน คืองี้นะ เย็นนี้แม่ชวนเพื่อนมาทานข้าวด้วย เลยอยากให้คินไปทำความรู้จักไว้”
“แล้วเพื่อนแม่คนนี้มีลูกสาวหรือลูกชายล่ะ”
“ก็คนเดิมนั่นแหละ ถ้าคินไม่อยากให้แม่จับคู่ให้ก็รีบหาแฟนสิ จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ไม่เป็นปัญหา พ่อกับแม่แค่อยากให้คินมีคนคอยดูแลจะได้ไม่เหงา”
“ทุกวันนี้ผมก็ไม่เหงานะพี่”
“ไม่เหงา แต่ไม่ลงเอยกับใครสักที อายุก็เยอะแล้ว”
“เยอะที่ไหนพี่เมย์ 30 เองนะ ยังมีเวลาสนุกอีกเยอะ”
“จ้า พ่อคนอายุน้อย พี่ไปก่อนนะ เย็นนี้เจอกันที่บ้าน”
“ครับพี่เมย์”
ครั้งแรกครอบครัวของเมคินรู้เรื่องที่เขาไม่ชอบผู้หญิงนั้นต่างก็ตกใจไม่น้อย เขาต้องใช้เวลาเป็นเดือนกว่าพ่อกับแม่จะยอมรับ แต่ทุกอย่างก็ดีขึ้นเมื่อเขาพิสูจน์ตัวเองให้ทุกคนได้เห็นว่าพฤติกรรมและรสนิยมของเขาไม่มีผลต่อการทำงาน และพ่อของเขายังยอมรับในตัวลูกชายมากขึ้น เมื่อลูกชายของเพื่อนคนหนึ่งที่แต่งงานมีครอบครัวจนมีลูกด้วยกันแล้ว แต่กลับไม่มีความสุขเพราะไม่ได้แสดงออกในสิ่งที่ตัวเองชอบ สุดท้ายลูกชายของเพื่อนก็ปลิดชีวิตตัวเองเพราะทนแรงกดดันจากครอบครัวฝ่ายหญิงไม่ไหว
จากนั้นเป็นต้นมาครอบครัวของเขาเลยเปิดใจรับเรื่องนี้ได้และไม่เคยบังคับเขาให้คบกับผู้หญิงคนไหนอีกเลย แต่ดูเหมือนตอนนี้เขาจะตกที่นั่งลำบากอีกครั้ง เพราะครอบครัวกำลังจับคู่ให้เขากับลูกชายของเพื่อนแม่
ยังพอมีเวลาเหลือกว่าจะถึงเวลาอาหารเย็นของที่บ้าน เมคินเลยรีบออกจากห้องทำงานระหว่างทางเขาโทรศัพท์ไปหาทิวา แต่โทรออกกี่ครั้งก็ฝากข้อความเหมือนเดิม ชายหนุ่มร้อนใจเพราะคิดว่าเขาอาจจะกลับไปแล้ว เขารีบเหยียบมิดไมล์ เพียง 20 นาทีก็มาถึงคอนโดของตัวเอง